บทที่ 33 ค่าชดเชย
บทที่ 33
ค่าชดเชย
“นายน้อยสี่ได้เรียนการต่อสู้มาจากในกองทัพ วันนี้ข้าจะคอยดูว่าเจ้ายังจะเก่งกล้าสามารถพอหรือไม่?” หลินเสวี่ยเหยียนที่ยืนอยู่ข้างๆอย่างยินดี และคอยดูหลินซีเหยียนทำเรื่องโง่ๆให้ดู
หลินซีเหยียนนั้นก็ได้หลี่สายตามองไปที่หลินเฉิงอวี้ เขานั้นเป็นถึงผู้สืบสายเลือดของมหาเสนาบดี ดังนั้นมหาเสนาบดีย่อมไม่ปล่อยให้เขาต้องไปทำอะไรเสี่ยงๆแน่ เขาเข้าร่วมกับกองทัพก็แค่ฉากบังหน้าเท่านั้น แต่ไม่เคยไปสนามรบอย่างแน่นอน ยิ่งเรื่องของการต่อสู้ด้วยแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึง
เรียกได้ว่าที่หลินซีเหยียนคาดเดาเอาไว้นั้นถูกต้องเกินไปเสียด้วยซ้ำ หลินเฉิงอวี้นั้นไม่เคยไปที่สนามรบจริงๆ แต่เขาได้ไปหลบซ่อนตัวอยู่ในเรือนที่มหาเสนาบดีหลินได้จัดเตรียมเอาไว้ให้
มองไปที่ไม้เรียวหวายสีแดง มันได้ฟาดเข้าใส่ หลินซีเหยียนราวกับกระแสน้ำที่มาไม่ขาดสาย จิ่งชุนกับรั่วฉุ่ยก็ได้พากันหลบหนี เดิมที่หลินซีเหยียนนั้นสามารถที่จะหลบการฟาดเช่นนี้ได้อย่างง่ายดาย แต่เพื่อที่จะปกป้องสาวใช้ทั้งสองคนแล้ว นางจึงใช้แขนรับไม้เรียวนั้น
ถึงแม้ว่าไม้เรียวของหลินเฉิงอวี้นั้นจะฟาดมาแบบสะเปะสะปะ แต่ก็เต็มไปด้วยความรุนแรง หลังจากที่ผ่านไปพักหนึ่งแขนของหลินซีเหยียนก็ได้กลายเป็นสีแดงและบวม และมีรอยไม่เรียวที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน
“นายน้อยสี่ช่างทรงพลังจริงๆ” เมื่อหลินเสวี่ยเหยียนเห็นว่าหลินซีเหยียนนั้นบาดเจ็บ ก็ได้ตะโกนให้กำลังใจนายน้อยอย่างยินดี
“คุณหนู” จิ่งชุนกับรั่วฉุ่ยพูดออกมาอย่างกังวลเมื่อเห็นเช่นนั้น
หลินซีเหยียนก็ได้โบกมือเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร และให้สาวใช้ทั้งสองคนถอยออกไป
“ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะทนทายาดไม่เลวเลย” หลินเฉิงอวี้ไม่ได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างที่เขาหวังเอาไว้ทำให้รู้สึกไม่พอใจอย่างมาก เขาจึงได้ลงมือฟาดไม้เรียวใส่หลินซีเหยียนต่อ “ข้าคนนี้จะขอดูหน่อยเถอะว่ากระดูกของเจ้ากับไม้เรียวนี่อย่างไหนจะทนกว่ากัน”
หลินซีเหยียนก็ได้ขมวดคิ้วอย่างหมดความอดทน ดูเหมือนว่านางคงจะต้องทำให้เจ้าคนไร้สมองที่อยู่ตรงหน้านางนี้เจ็บตัวเสียหน่อยแล้ว ทำให้เขารู้จักเสียหน่อยว่าโลกใบนี้กว้างใหญ่เพียงใดและมีผู้คนอีกมากมายนอกโลกใบเล็กของเขา
ในขณะที่หลินเฉิงอวี้ยังไม่ทันได้ตั้งตัว หลินซีเหยียนก็ได้พุ่งเข้าไปประชิดแล้วคว้าเอาไม้เรียวแดงออกมาจากมือของ หลินเฉิงอวี้
“หลินซีเหยียนดูเหมือนว่าเจ้าเองก็จะเรียนการต่อสู้มาบ้างสินะ” หลินเฉิงอวี้รู้สึกคาดไม่ถึงกับการต่อต้านของ หลินซีเหยียน
หลังจากที่พูดจบก็มองไปที่ไม้เรียวที่ถืออยู่ในมือของ หลินซีเหยียน หลินเฉิงอวี้นั้นหาได้มีความกลัวแต่อย่างใดไม่ เพราะว่าด้วยฐานะของเขาแล้ว ทำให้ไม่มีใครกล้าทำร้ายเขา
แต่น่าเสียดายที่หลินซีเหยียนนั้นเป็นตัวตนที่พิเศษ หลินซีเหยียนจึงได้เอาคืนนายน้อยสี่ด้วยไม้เรียวโดยปราศจากซึ่งความสงสาร
หลินเสวี่ยเหยียนที่ยืนดูอยู่ข้างๆที่เห็นเช่นนั้นแล้ว นางก็รู้สึกกลัวขึ้นมาและคิดว่าหลินซีเหยียนคงจะไม่ปล่อยนางไปง่ายๆแน่ นางจึงได้รีบหนีไปทันที ไม่ว่านายน้อยสี่จะตะโกนเรียกอย่างไรนางก็ไม่เหลียวกลับมามองเลย
“หลินซีเหยียนหยุดเถอะ” หลินเฉิงอวี้ร้องด้วยความเจ็บปวด “ไม่อย่างนั้นท่านพ่อไม่เอาเจ้าไว้แน่”
แล้วไม้เรียวก็หยุดลง แล้วหลินเฉิงอวี้ก็รู้สึกมีความหวังขึ้นมา เมื่อพบว่าผู้หญิงคนนั้นยังคงเกรงกลัวพ่อของตัวเองอยู่ “ถ้าเจ้าปล่อยข้าไป ข้าจะไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกท่านพ่อ”
เมื่อได้ยินคำขู่ที่ไร้น้ำหนักเช่นนี้ หลินซีเหยียนก็ได้นวดข้อมือของนางแล้วพูดอย่างเย้ยหยัน “นายน้อยสี่เหมือนจะเข้าใจอะไรผิดไป ต่อให้มหาเสนาบดีหลินอยู่ตรงนี้ ข้าก็ยังจะฟาดเจ้าอยู่ดี”
ในขณะที่พูดอยู่ หลินซีเหยียนก็ได้ส่งไม่เรียวให้จิ่งชุน แล้วจากนั้นนางก็ได้หันหน้ากลับไปหาหลินเฉิงอวี้ “ที่ข้าหยุดตีน่ะก็เพราะข้าเจ็บมือเฉยๆน่ะ”
“จิ่งชุน ข้าจะให้เจ้าเป็นคนฟาดเขาแทนข้าสักพักที” หลินซีเหยียนได้นวดข้อมือขณะที่นั่งอยู่เก้าอี้ และมองดูอย่างสนใจ
มือของจิ่งชุนที่ถือไม้เรียวอยู่นั้นก็เริ่มสั่นขึ้นมาและไม่กล้าที่จะลงมือ แต่พอนางเหลือบไปมองดูก็พบรั่วฉุ่ยที่กำลังทำแผลที่แขนให้คุณหนู ทำให้นางรู้สึกโกรธขึ้นมาและรวบรวมความกล้ากัดฟันฟาดไม้เรียวลองไปจนไม้เรียวโค้งราวกับสายรุ้ง
แต่น่าเสียดายที่ไม้นั้นพลาดไป
แต่หลินเฉิงอวี้ก็ไม่มีเวลาพอที่จะมาดีใจ เพราะไม้ที่สองกำลังฟาดลงมาแล้ว
ส่วนหลินเสวี่ยเหยียนที่รีบหนีไปก่อนนั้น ก็ได้ไม่ได้โง่ขนาดที่จะหนีไปเฉยๆ นางรีบไปแจ้งให้มหาเสนาบดีทราบโดยเร็ว
มหาเสนาบดีจึงได้รีบมาที่เรือนเชียนเหยียน นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกคิดผิดที่ปล่อยให้หลินซีเหยียนมีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้ เมื่อเขามาถึงเสื้อผ้าอย่างดีของหลินเฉิงอวี้นั้นได้ขาดเป็นชิ้นๆไปแล้ว
“ดูเหมือนท่านมหาเสนาบดีจะมาช้าไปหน่อยนะเจ้าคะ” หลินซีเหยียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
มหาเสนาบดียืนอยู่ที่หน้าประตู หอบตัวโยนก็มีสีหน้ามืดดำขึ้นมาทันที ถึงแม้ว่าลูกชายสืบสายเลือดของเขาจะถูกทำร้ายทำให้เขาโมโหจัด แต่ทว่าปีศาจตรงหน้าของเขานั้นยังไม่ใช่สิ่งที่จะเข้ายุ่งด้วยในเวลานี้
ราวกับนางรู้สึกไม่พอใจที่มหาเสนาบดีหลินนิ่งเงียบ หลินซีเหยียนก็ได้ยักคิ้วของนาง แล้วจิ่งชุนก็ได้ฟาดไม้เรียวใส่ต่อ
“ท่านพ่อ ช่วยข้าด้วยท่านพ่อ” หลินเฉิงอวี้นั้นได้สูญเสียความทะนงตัวในฐานะนายน้อยสี่ไปเสียแล้ว
มหาเสนาบดีหลินก็มองดูลูกชายสุดที่รักของเขาที่ตกอยู่ในฝ่ามือของหลินซีเหยียนแล้ว เขาก็รู้สึกโมโหอย่างมากที่ หลินเฉิงอวี้ต้องมาถูกทำร้ายเช่นนี้ เขานิ่งอยู่พักหนึ่งแล้วจึงกล่าว “พอได้แล้ว”
หลินซีเหยียนไม่ได้ทำอะไร แต่เป็นสาวใช้ชั้นต่ำที่มาทำร้ายลูกชายของเขาซึ่งยกโทษให้ไม่ได้มากยิ่งขึ้นไปอีก มหาเสนาบดีหลินคิดเช่นนั้นแล้วมองไปที่หลินซีเหยียนแล้วกล่าว “ซีเหยียน เฉิงอวี้เป็นน้องชายเพียงคนเดียวของเจ้า ปล่อยเข้าไปเถอะนะ!”
หลินซีเหยียนยักคิ้วของนางแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “จิ่งชุนตีต่อไป ข้ายังไม่ได้บอกให้เจ้าหยุด เจ้าก็อย่าหยุด”
นางพูดราวกับว่าไม่เห็นมหาเสนาบดีหลินอยู่ในสายตาเลยทำให้มหาเสนาบดีหลินสีหน้ามืดครึ้มมากยิ่งขึ้นไปอีก “หลินซีเหยียน เจ้ามากเกินไปแล้วนะ ที่นี่เป็นจวนของมหาเสนาบดีนะ”
“ข้ารู้ว่าที่นี่คือจวนของมหาเสนาบดี” รอยยิ้มของ หลินซีเหยียนนั้นทำให้รู้สึกหนาวสั่นขึ้นมา แล้วนางก็ได้ใช้สายตาที่น่าสะพรึงกลัวนี้จับจ้องไปที่มหาเสนาบดีหลินอย่างช้าๆ “แต่ข้าบอกแล้วว่าถ้ามาทำให้ข้าโกรธ ก็เตรียมรับผลที่จะตามมาด้วยก็แล้วกัน”
“เจ้ากล้าทำเช่นนี้กับพ่อของเจ้าอย่างนั้นเหรอ?” มหาเสนาบดีหลินอาศัยฐานะที่เป็นพ่อของหลินซีเหยียน จ้องและพูดใส่นาง
หลินซีเหยียนแหงนมองฟ้าแล้วกล่าว “ท่านมหาเสนาบดียังรู้ว่าตัวเองเป็นพ่อของข้าอยู่อย่างนั้นเหรอ?”
คำพูดประชดประชันนี้ทำให้มหาเสนาบดีหลินถึงกับหน้าแดง ถึงแม้ว่าเขาจะทำเป็นเมินต่อหลินซีเหยียนได้ แต่เขาก็รู้สึกได้ถึงคำพูดของเหล่าข้ารับใช้ถึงการดูแลที่เลวร้ายของนางเมื่อก่อน แต่เขาก็ยังเลือกที่จะทำเป็นเงียบเอาไว้
“จะยังไงก็เถอะ แล้วจะให้ข้าทำอย่างไรเจ้าถึงจะยอมปล่อยเฉิงอวี้ไป” มหาเสนาบดีที่ใช้ชีวิตมาร่วม 40 ปีและอยู่ในแวดวงข้าราชบริพารมาร่วม 20 ปี เขาไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะโดนหญิงสาวเล่นงานเช่นนี้
“ปล่อยเขาไปเหรอ? ได้สิ แต่เขาจะต้องชดใช้ให้ข้าและจะต้องแสดงถึงความจริงใจที่ทำให้ข้าพึงพอใจด้วย” หลินซีเหยียนยักคิ้วของนาง
“ตกลง ตกลง!” แต่ก่อนที่มหาเสนาบดีหลินจะตอบ เขานั้นกำลังลองคำนึงถึงผลดีผลเสียแล้วและคาดเดาความคิดของ หลินซีเหยียนอยู่นั้น หลินเฉิงอวี้ก็รีบตอบอย่างเร่งรีบ
หลินซีเหยียนก็โบกมือ “จิ่งชุนพอได้แล้ว”
มหาเสนาบดีจึงได้รีบส่งคนไปประคองหลินเฉิงอวี้และเตรียมที่จะออกไป แต่กลับถูกห้ามเสียก่อนและก่อนที่เขาจะได้พูดอะไร เขาก็ได้ยินเสียงที่หวานและใสราวกับกระดิ่งลมดังขึ้นมาก่อน “พวกเรามาเจรจาเรื่องของค่าชดเชยกันก่อน เขาถึงจะไปได้”
มหาเสนาบดีหลินและหลินเฉิงอวี้ก็แทบจะกระอักเลือดออกมา “ซีเหยียน พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันนะ นี่เจ้าจะไม่มีแม้กระทั่งความเชื่อใจในครอบครัวบ้างเลยเหรอ?”
แล้วหลินซีเหยียนก็กล่าว ความเชื่อใจแบบนั้นนางไม่เคยพบมาก่อน
ท่ามกลางความหมดหวัง หลินเฉิงอวี้ก็ได้กัดฟันและตกลงทำสัญญาว่าจะชดใช้ให้หลินซีเหยียนเป็นเงินถึง 3,000 ตำลึงทอง ซึ่งได้เรียกเป็นค่าเสียหายทางจิตใจ และได้ขอให้เขาทำหนังสือสัญญาท่ามกลางสายตาของทุกคน หลินเฉิงอวี้ที่เดิมทีก็บาดเจ็บสาหัสอยู่แล้ว หลังจากที่ลงนามเสร็จเรียบร้อยก็สลบไปทันที
เป็นคราวเคราะห์ของเหล่าคนไม่ดีแล้ว หลินซีเหยียนที่กำลังมีความสุขอยู่นั้นก็ได้รับข่าวที่ทำให้นางรู้สึกยินดีมากยิ่งขึ้นไปอีก