บทที่ 30 แบ่งเส้นชัดเจน
บทที่ 30
แบ่งเส้นชัดเจน
“ถ้าพวกท่านคิดจะเข้าไปค้น ข้าก็มีข้อแม้” หลินซีเหยียนกล่าวและเผยรอยยิ้มออกมา ความงามบนใบหน้าของนางนั้นเต็มไปด้วยความเย็นชาที่น่ากลัว “ผู้คนในเรือนเชียนเหยียนนี้เป็นของข้าห้ามใครเข้ามายุ่งเกี่ยวอีก และต่อจากนี้ก็ห้ามไม่ให้คนอื่นเข้ามาอีกด้วย ตกลงไหม?”
ข้อแม้นี้ออกจะมากเกินไป แต่มหาเสนาบดีหลินก็ได้ยอมตกลงเพื่อที่จะค้นหาผู้ชายที่แอบเอาเข้ามาคนนั้นแล้วขับไล่ หลินซีเหยียนออกไปจากจวนให้ได้
หลินซีเหยียนก็ได้ถอยหลบ และมองไปที่หลินเสวี่ย เหยียนที่ไม่รอช้าเข้าไปด้านใน และคิดอย่างดูถูกในใจ ผู้ชายคนนั้นไม่มีตัวตนแต่แรกแล้วและเสื้อผ้าก็ยิ่งหาไม่พบใหญ่ เพราะนางได้ทำลายชุดนั้นไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นย่อมที่จะหาอะไรไม่พบแม้แต่เศษผงก็ตาม
หลินเสวี่ยเหยียนได้มองหาแทบจะกลับข้างในออกนอก แต่ก็ไม่พบใครแม้แต่เศษเสี้ยว
“พอได้แล้ว พาตัวเสวี่ยเหยียนออกมา ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครในนี้จริงๆ” มหาเสนาบดีหลินนั้นเป็นถึงมหาเสนาบดีของอาณาจักร แต่หน้าเขาก็ไม่ได้หนาขนาดที่จะให้ลูกสาวของเขาเองมาพูดดูถูกได้ ถึงเขาจะพูดว่าที่ทำไปก็เพื่อนางก็เถอะแต่มันก็ไร้ยางอายเกินไป
หลิวเสวี่ยเหยียนทำเป็นหูทวนลมไม่ได้ยินที่มหาเสนาบดีหลินกล่าว และยังดื้อรั้นที่จะค้นหาต่อไป แล้วก็พูดขึ้นมา “เป็นไปไม่ได้ จะต้องซ่อนเอาไว้ที่ไหนแน่ๆ”
หลินซีเหยียนหัวเราะออกมา ใครที่ได้ยินเสียงหัวเราะที่เหมือนกับกระดิ่งเงินนี้ต่างก็รู้สึกสั่นกลัวในใจ “ช่างน่าขันเสียจริง เชิญดูให้พอใจยังมีตรงไหนในเรือนของข้าที่เจ้ายังไม่ได้ค้นอีกไหม?”
หลังจากพูดกับหลินเสวี่ยเหยียนจบนางก็หันมามองมหาเสนาบดีหลิน “ท่านมหาเสนาบดีหลินที่เราตกลงกันไว้ว่าอย่างไรเจ้าคะ?”
ถึงแม้ว่ารอยยิ้มของหลินซีเหยียนจะทำให้คนหลงใหลเหมือนดอกลำโพงม่วงแล้ว แต่ก็เหมือนมีพายุที่ก่อตัวอยู่ในดวงตาที่มืดมิดของนาง ทำให้มหาเสนาบดีหลินรู้สึกกลัวขึ้นมา
“พาตัวนางออกไป” มหาเสนาบดีหลินนั้นไม่อาจทนอยู่ต่อได้แล้ว เขาสะบัดมือของเขาแล้วให้คนรีบไปลากตัว หลินเสวี่ยเหยียนออกมา
ถึงแม้ว่าหลินเสวี่ยเหยียนนั้นจะไม่พอใจก็ตามที แต่นางก็ยังถูกลากตัวออกไป
เมื่อศัตรูไปกันหมดแล้ว แต่ทุกคนในเรือนเชียนเหยียนต่างก็ยังหวาดกลัวอยู่ เพราะพวกเขานั้นเพิ่งถูกปกป้องโดยเจ้านายที่พวกเขาไม่ชอบ
“จิ่งชุน เจ้าไปปิดประตูหน้าต่างเรือนเชียนเหยียนทุกบาน ต่อจากนี้พวกเรามีเรื่องที่ต้องจัดการภายในกันหน่อย” หลินซีเหยียนเผยรอยยิ้มที่กดดันออกมาจากใบหน้าของนาง
ในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ ทุกคนนั้นไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ แต่แล้วก็มีเสียงท้องร้องออกมา หลินซีเหยียนที่ได้ยินก็หันไปพบเทียนเอ๋อที่มีสีหน้าอายๆ “ท่านแม่ เทียนเอ๋อหิวแล้วขอรับ”
หลินซีเหยียนยักคิ้วขึ้นมา “มีขนมอยู่ในห้องไปเอามากินก่อนไป”
เทียนเอ๋อดีใจแล้วรีบวิ่งเข้าไปในห้อง เมื่อปราศจากซึ่งเจ้าลูกชิ้นแล้ว บรรยากาศในเรือนแห่งนี้ก็หนักอึ้งมากกว่าเดิม
หลังจากที่ความเงียบได้เข้าครอบงำพักใหญ่ๆ หลินซีเหยียนก็ได้พูดขึ้นมา “ข้าเคยพูดแล้วว่าเรือนเชียนเหยียนแห่งนี้ข้าจะให้พวกเจ้าดูแล แต่การกระทำของพวกเจ้านั้นช่างเย็นชายิ่งนัก”
ทุกคนต่างก็ก้มหัวแล้วไม่พูดอะไรออกไป
เมื่อหลินซีเหยียนเห็นเช่นนั้น ดวงตาของนางก็ดำมืดมากขึ้นเรื่อยๆ เดิมทีนางคิดว่าคนเหล่านี้อาจจะเปลี่ยนไปบ้างหลังจากที่อยู่ด้วยกัน แต่กลับกลายเป็นเย็นชาต่อกันมาก
นางมองดูทุกคนแล้วหัวเราะไปที่พวกเขา “ในเวลานี้พวกเจ้ากลายเป็นคนของข้าแล้ว ข้าจะทำกับพวกเจ้าอย่างไรก็ได้”
แต่ก่อนที่หลินซีเหยียนจะได้พูดจบ นางก็ถูกขัดขึ้นมานางมองไปแล้วพบว่าเป็นแม่นมของนาง แม่นมจ้าวทำแจกันแตกแล้วกล่าว “คุณหนูเจ้าคะ ท่านทิ้งพวกเราไปไม่บอกสักคำ จนพวกเราต้องกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง แล้วตอนนี้ทำไมคุณหนูถึงยังได้ตามหาพวกเราอีกเจ้าคะ”
“ก็ให้กลับมาอยู่เรือนเชียนเหยียนแล้ว พวกเจ้าไม่ดีใจหรืออย่างไร?” หลินซีเหยียนถามอย่างช้าๆ แล้วมองอย่างเหม่อลอย
“พวกเรามีเจ้านายที่ดีกว่าและอนาคตที่ดีกว่าแล้ว ใครจะอยากกลับมาที่เรือนพังๆนี่อีกล่ะเจ้าคะ” แม่นมนั้นรู้สึกว่าในเวลานี้ชีวิตนางคงจบไม่สวยแล้ว นางจึงได้ระบายความคับแค้นใจออกมาให้หมด “ท่านเป็นเจ้านายของพวกเรานี่ ถ้าอยากจะขายพวกเรานักก็ขายเลยเจ้าค่ะ”
“ข้าไม่เคยบอกสักคำว่าจะขายพวกเจ้า” หลินซีเหยียนหันหน้ากลับมามองไปที่เหล่าคนที่อยู่ตรงหน้านาง แล้วก็หันหน้าออกไปด้านนอกทันที “ข้าจะปล่อยสถานะทาสของพวกเจ้า แต่พวกเจ้าจะต้องตอบคำถามบางคำถามของข้าเสียก่อน”
แล้วเหล่าข้ารับใช้และสาวรับใช้เหล่านี้ พอรู้ว่าตัวเองจะไม่ต้องเป็นทาสไปรับใช้ใครแล้วพวกเขาก็ดีใจขึ้นมา “คุณหนู ได้โปรดถามมาได้เลยหากว่าพวกเรารู้ พวกเราจะตอบอย่างแน่นอนขอรับ”
“พวกเจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับการตายของท่านแม่ของข้าบ้าง หรือมีอะไรที่พวกเจ้าสงสัยก็บอกมาให้หมด” หลินซีเหยียนถามด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ไม่ดีใจหรือเสียใจ
“ขอข้าน้อยพูดก่อนนายหญิงนั้นเป็นคนที่ใจกว้างกับข้ารับใช้อย่างพวกเรามากเจ้าค่ะ และนายท่านเองก็ดีกับภรรยาของท่านมากเช่นกัน ต่อมานายหญิงก็ได้ให้กำเนิดคุณหนูและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมากเจ้าค่ะ” หญิงสาวคนหนึ่งที่อยากกลับบ้านเกิดที่พูดออกมาด้วยตาสีแดง “แต่ข้าน้อยก็ไม่ทราบว่าทำไม พอคุณหนูอายุได้สัก 3 ขวบ นายท่านก็ได้พาภรรยาคนปัจจุบันมา แล้วหลังจากนั้นนายหญิงก็เริ่มอาการแย่ลงเรื่อยๆเจ้าค่ะ”
แล้วเหล่าสาวใช้กับข้ารับใช้ ต่างก็เล่าทุกเรื่องที่นางควรรู้อย่างหมดเปลือก
หลินซีเหยียนพอจะสรุปเรื่องราวได้หลักๆสองจุดจากที่พวกเขาเล่ามา อย่างแรกคือการตายของท่านแม่นั้นจะต้องเกี่ยวข้องกับภรรยาคนปัจจุบัน จางไฉ่เตี๋ย, อย่างที่สองหน้าที่การงานของมหาเสนาบดีก็ดีมากขึ้นเรื่อยๆหลังจากที่ท่านแม่เสียไป
พอจบเรื่องแล้วหลินซีเหยียนก็ได้ปล่อยพวกเขาไปตามสัญญา แต่ก็มีบางคนที่ปฏิเสธจะจะไปอย่างแม่นมของ หลินซีเหยียนจ้าวซื่อ, แม่ครัวสวี่หงอิง และยังมีสาวใช้อีกคนที่ชื่อรั่วฉุ่ย
“ทำไมพวกเจ้าถึงไม่ไปกับคนอื่นเขา” หลินซีเหยียนถาม
แม่นมจ้าวก็ได้ตอบด้วยตาแดงๆ “คุณหนู ท่านเปลี่ยนไปแต่เป็นไปในทางที่ดีขึ้น ท่านรู้วิธีปกป้องคนของท่านแล้ว และข้าน้อยก็เลี้ยงดูท่านมาจนโตดังนั้นข้าน้อยย่อมไม่ทิ้งท่านไปอยู่แล้วเจ้าค่ะ”
หลินซีเหยียนผงกหัว แล้วเดินไปจับมือกับแม่นมจ้าว
“คุณหนูเจ้าคะ ข้าน้อยเองก็ได้รับการช่วยเหลืออย่างดีจากนายหญิงมาก่อน ดังนั้นข้าก็จะติดตามคุณหนูไปตลอดเช่นกันเจ้าค่ะ แล้วอีกอย่างข้าเองก็ไม่มีพ่อแม่หรือญาติพี่น้องที่ไหนและที่ให้กลับไปด้วยเจ้าค่ะ” แม่ครัวกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ป้าสวี่ ต่อจากนี้ไปที่นี่จะถือเป็นบ้านของท่านด้วย” หลินซีเหยียนเผยรอยยิ้มออกมา ที่เกือบจะทำให้สายตาของแม่ครัวพร่าไป
หลังจากที่ตั้งสติได้ แม่ครัวก็ได้เอามือลูบอกแล้วกล่าว “คุณหนูเจ้าคะ เวลาออกไปข้างนอกอย่าไปยิ้มเช่นนี้ที่ไหนนะเจ้าคะ”
หลินซีเหยียนก็ยักคิ้วขึ้นมาแล้วถาม “ทำไมล่ะ มันน่าเกลียดเหรอ?”
แม่ครัวรีบส่ายหัวแล้วกล่าว “ไม่ใช่หรอกเจ้าค่ะมันงดงามมาก ชนิดที่ว่าถ้าคุณหนูออกไปยิ้มเช่นนี้ข้างนอกที่ไหนเข้า คงได้มีคนตามมาเป็นพรวนแน่เจ้าค่ะ”
และคนสุดท้ายสาวใช้ที่ชื่อรั่วฉุ่ย รั่วฉุ่ยนั้นเหมือนจะเป็นคนค่อนข้างขี้กลัว เมื่อรู้สึกได้ถึงสายตาของหลินซีเหยียนที่จ้องมาที่นาง นางก็ได้ก้มหัวลงทันที “ข้าน้อย....ข้าน้อย....”
หลินซีเหยียนจึงได้รอดูนางอยู่พักใหญ่ โดยไม่ได้พูดอะไรออกมา ถึงแม้ว่าหลินซีเหยียนจะรออย่างอดทน แต่ทว่ารั่วฉุ่ยก็ได้ตะโกนออกมาอย่างกระวนกระวาย “คุณหนูเจ้าคะ ข้าน้อยไม่อยากไปไหนเจ้าค่ะ ข้าน้อยกลัว”
นางเงยหน้าขึ้นมามองหลินซีเหยียนด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตา ราวกับกวางที่กลัวว่าจะถูกทิ้ง
หลินซีเหยียนก็ได้กล่าว “ได้สิ”
ด้วยเหตุนี้เรือนเชียนเหยียนที่มีคนอยู่แน่นขนัดเมื่อไม่กี่วันก่อน ก็ได้กลับมาเงียบเหงาอีกครั้ง
“ท่านแม่ ข้ากินขนมหมดแล้ว” เทียนเอ๋อวิ่งออกมาและมายืนอยู่ข้างๆหลินซีเหยียนแล้วมองไปรอบๆ “ท่านแม่ คนอื่นๆหายไปไหนหมดแล้วล่ะขอรับ?”
หลินซีเหยียนผงกหัวแล้วกล่าว “จากนี้ไปพวกเราจะมีกันแค่นี้แหละ”
“ป้าจ้าว, ป้าสวี่, พี่จิ่งชุน, พี่รั่วฉุ่ย ต่อจากนี้ไปเทียนเอ๋อจะดูแลพวกท่านอย่างดีเลยขอรับ” เทียนเอ๋อกล่าวอย่างหนักแน่น
ด้วยคำพูดและเสียงของเด็กน้อยทำให้บรรยากาศที่หนักและเศร้าเมื่อสักครู่ได้หายไป
“ได้สิ ถ้าเช่นนั้นให้ป้าสวี่คนนี้ทำกับข้าวให้นายน้อยเองนะเจ้าคะ” แล้วแม่ครัวก็กะพริบตาให้กับเทียนเอ๋อ