บทที่ 23 เข้าร่วมงานด้วยกัน
บทที่ 23
เข้าร่วมงานด้วยกัน
“เทียนเอ๋ออยู่ที่สนามฝึก” เจียงหวายเย่ตอบกลับไปแล้วจากนั้นก็ใช้ให้คนไปตามให้
ไม่นานนักเทียนเอ๋อกับจิ่งชุนก็มา เทียนเอ๋อที่เห็นแม่ก็ไม่ได้รีบวิ่งเข้าไปหาแต่กลับหลบอยู่ด้านหลังของจิ่งชุน จากนั้นก็โผล่หัวออกมาเล็กน้อยแล้วเรียกด้วยเสียงอ่อยๆ “ท่านแม่”
หลินซีเหยียนก็ผงกหัวอย่างพึงพอใจ และริมฝีปากของนางก็ได้วาดเป็นแนวโค้งที่สวยงาม “โชคดีนะ ที่ดูเหมือนว่าเจ้ายังจำได้ว่ามีแม่อยู่”
เมื่อเทียนเอ๋อได้ยินเช่นนี้ก็กลัวจนตัวสั่น ท่านแม่ของเขาโกรธแล้วและสิ่งที่จะตามมาจะต้องสาหัสแน่ๆ จึงได้รีบอธิบาย “ท่านแม่อย่าเพิ่งโกรธข้านะ ถึงข้าจะไปชกต่อยคนอื่น แต่ข้าก็ชนะนะ!”
จิ่งชุนเองก็อยากจะปกป้องเขา แต่นางก็ไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกไป เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ระทึกที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้
“การเอาชนะได้เป็นเรื่องดี อย่างไรเสียเจ้าก็เป็นลูกชายของแม่” หลินซีเหยียนพูดชมความสำเร็จของเขา”
เทียนเอ๋อที่ได้ยินเช่นนั้นก็ได้ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาของเขาเป็นประกายราวกับลืมไปแล้วว่าเขาเพิ่งทำความผิดมา แล้ววิ่งเข้าไปหาหลินซีเหยียนอย่างยินดีแล้วกล่าว “ท่านแม่ขอรับ จริงๆแล้วข้าก็ไม่ได้ชนะหรอกขอรับ เมื่อวานนี้ตอนที่ข้ากำลังทะเลาะกับคนอื่นอยู่เกือบจะเอาชนะได้อยู่แล้ว ถ้าไม่มีคนที่ออกมาขวางเสียก่อน ข้าก็คงได้ตั๋วทองไปแล้ว”
“แล้วก็นะจริงๆแล้วทั้งหมดเป็นความผิดขององค์ชายนั่นแหละ เขาบอกอย่างชัดเจนว่าถ้าข้าช่วยเขาเขียนบทความแล้วเขาจะให้ตั๋วทองแก่ข้า ซึ่งข้าก็เขียนให้แล้วแต่เขากลับโกงข้า” ปากน้อยๆของเทียนเอ๋อพูดจ้อไม่หยุด แต่สีหน้าของหลินซีเหยียนนั้นกลับดำมืดมากขึ้นเรื่อยๆ และบรรยากาศก็ค่อยๆหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน ถึงแม้ว่าเทียนเอ๋อนั้นจะซื่อบื้อมากเพียงใด แต่เขาก็ยังรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่ผิดปกตินี้ได้อยู่
“ท่านแม่ หรือว่าท่านแม่รู้สึกไม่ค่อยดีงั้นเหรอขอรับ? ทำไมสีหน้าของท่านแม่ถึงได้ดำมืดเช่นนั้น?” เทียนเอ๋อกลืนน้ำลาย และยังคงยิ้มบนใบหน้าและถามกลบเกลื่อน
“เจ้าเด็กตัวแสบ แม่ของเจ้ากำลังโกรธอยู่ โกรธมากๆด้วย” หลินซีเหยียนพูดออกมาทีละคำอย่างช้าๆและชัดเจน
เทียนเอ๋อก็ได้มีสีหน้าขมขื่นขึ้นมาทันที “ท่านแม่ขอรับเทียนเอ๋อผิดไปแล้วขอรับ”
“ผิดอย่างไร?” หลินซีเหยียนถามด้วยสีหน้าที่จริงจัง
“ข้าไม่ควรทะเลาะกับคนอื่นเพราะตั๋วทองขอรับ” เทียนเอ๋อตอบอย่างหดหู่ แล้วจากนั้นก็แอบเงยหน้ามองไปที่แม่ของเขา เมื่อเห็นว่าไม่มีการตอบกลับมาจากท่านแม่ เขาก็ได้พูดต่อ “ข้าไม่ควรช่วยเขาเขียนบทความ, ข้าไม่ควรหนีออกมาแล้วอยู่รอท่านแม่, ข้าไม่ควรพาป้าจิ่งชุนเข้ามาในถ้ำเสือขอรับ”
แม้การจะเปรียบว่าถ้ำเสือนั้นมันออกจะฟังดูเกินไปหน่อย แต่สีหน้าที่จริงจังของหลินซีเหยียนก็ได้ผ่อนคลายลงมาบ้าง แต่นางก็จำเป็นต้องทำสีหน้าดุเข้าไว้ ไม่อย่างนั้นเจ้าตัวแสบนั่นก็จะไม่รู้สึกผิดถึงปัญหาที่เขาก่อนี้”
“แม่นางหลิน ใกล้ได้เวลาไปที่งานแล้ว ข้าว่าพวกเราควรจะเตรียมตัวไปได้แล้ว” เจียงหวายเย่พูดขัดขึ้นมา แล้วดวงตาสีเข้มของเขาก็ได้เผยรอยยิ้มที่หาได้ยากออกมา
หลินซีเหยียนก็ตกใจนางนั้นลืมเจียงหวายเย่ไปเลย และมองไปที่เทียนเอ๋อที่กำลังก้มหัวรับความผิดอยู่ และพูดดุเขา “แม่โกรธเจ้าเพราะมาที่พระราชวังนี้โดยพลการ ส่วนเรื่องของตั๋วทองนั้นมันสมควรเป็นค่าแรงของเจ้าอยู่แล้ว”
เจียงหวายเย่ก็กระแอม แม่ลูกคู่นี้ช่างสุดยอดอะไรอย่างนี้ ในขณะที่จิ่งชุนกลับคิดว่าการที่สอนนายน้อยเช่นนี้เป็นเรื่องดีแล้วจริงๆเหรอ?
“ต่อไปนี้ไม่อนุญาตให้เจ้ามาที่พระราชวังนี้โดยพลการอีกแล้วเข้าใจไหม?” หลินซีเหยียนเมินเฉยต่อสายตาแปลกๆ แล้วพูดสอนเทียนเอ๋อตามวิธีการของนาง
เทียนเอ๋อก็ได้ผงกหัวอย่างจริงจัง “ท่านแม่ขอรับ เทียนเอ๋อจะไม่มาที่พระราชวังอีกแล้วขอรับ”
หลินซีเหยียนเองก็ผงกหัวอย่างพึงพอใจ แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าอีกเดี๋ยวเขาก็จะต้องไปที่พระราชวังอีก นางจึงได้กระแอมแล้วกล่าว “แต่ถ้าเจ้ามากับแม่ก็ไม่เป็นไร”
เมื่อพูดคุยกันจบแล้ว หลินซีเหยียนก็ได้จูงมือเทียนเอ๋อเพื่อเตรียมตัวไปพระราชวัง
แต่ในขณะที่นางกำลังจะออกพระราชวังรัตติกาล นางก็ถูกเรียกโดยองค์ชายเย่ “เดี๋ยวก่อนแม่นางหลิน ดูเหมือนว่ารถม้าของจวนมหาเสนาบดีนั้นจะออกไปแล้ว ถ้าแม่นางหลินไม่รังเกียจ แม่นางจะไปพร้อมกับเปิ่นหวางก็ได้นะ”
ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ หลินซีเหยียนก็คงจะปฏิเสธไปแล้ว แต่ทว่าจากการที่องค์ชายเย่ได้ช่วยเทียนเอ๋อในพระราชวังเอาไว้ ก็ปฏิเสธเรื่องที่นางมีความสัมพันธ์กับเจียงหวายเย่ได้ยาก
นางจึงได้ไม่ปฏิเสธและผงกหัว จากนั้นก็ได้ขึ้นไปบนรถม้าพร้อมกับเทียนเอ๋อ แล้วจิ่งชุนกับอันอี้ก็ได้เดินตามมาขึ้นทั้งสองด้านของรถม้า
ผู้คนมากมายกำลังหลั่งไหลเข้ามาในตำหนักอี้ชิงในพระราชวังหลวง ซึ่งล้วนแต่เต็มไปด้วยเหล่าภรรยาและลูกๆของเหล่าขุนนางมากมาย ซึ่งในบรรดานั้นมีคนอยู่สามคนซึ่งได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษ สำหรับเหล่าๆผู้ที่ถึงวัยแต่งงานแล้ว
คนแรกคือซูโยวอวิ๋น บุตรีคนแรกของท่านราชครู ซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นหญิงสาวที่มีความสามารถและความงามเป็นอันดับหนึ่งในเมืองหลวง นางนั้นทั้งสุภาพและสวยงามไร้จุดบกพร่องใดๆ เป็นที่ใฝ่ฝันของเหล่าหนุ่มๆทั้งปวง
คนที่สองคือเฉิงซินหรุ่ย บุตรีคนที่สองของแม่ทัพ เว่ยหยวน ซึ่งมีความเชี่ยวชาญการเล่นพิณ, เล่นหมากรุก, แต่งกลอนและวาดรูปตั้งแต่ยังเด็กๆ
และคนที่สามคือหลินหัวเยว่ บุตรีคนแรกของมหาเสนาบดี ซึ่งจากเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมานี้ ทำให้นางนั้นร่วงหล่นลงมาจากบัลลังก์นั้นแล้ว
“นี่พวกเจ้าได้ยินบ้างหรือไม่ว่าองค์ชายเย่จะมาเข้าร่วมงานเลี้ยงนี้ด้วยน่ะ” เฉิงซินหรุ่ยกล่าวขณะที่สายตาของนางจับจ้องไปที่ประตู
เมื่อเห็นเฉิงซินหรุ่ยที่มีท่าทีเช่นนี้ ซูโยวอวิ๋นก็ได้หัวเราะคิกคักแล้วกล่าว “ไม่นึกเลยว่าน้องเฉิงจะอยากพบองค์ชายเย่กับเขาด้วย?”
ถึงแม้คำพูดเสียดสีเช่นนี้จะทำให้นางเจ็บแสบ แต่ทว่านางเองก็เป็นสาวน้อยคนหนึ่งที่กำลังใฝ่หาความรัก เฉิงซินหรุ่ยก็ได้ก้มหน้าอย่างอายๆ “พี่ซูจะหัวเราะน้องก็เชิญ จะว่าไปพี่ซูได้ยินเรื่องของบุตรีคนที่สองของมหาเสนาบดีที่กลับมาแล้วหรือยัง?”
ซูโยวอวิ๋นก็ผงกหัว และมีทีท่าสนใจขึ้นมาในสายตาของนาง
“ข้าจำได้ว่าเคยพบกับนางมาก่อนเมื่อนานมาแล้ว นางนั้นงดงามมาก แต่เดี๋ยวนี้ไม่รู้ว่านางเป็นอย่างไรบ้างแล้ว” เฉิงซินหรุ่ยกล่าว
เมื่อได้ฟังที่เฉิงซินหรุ่ยเล่าแล้ว นางก็คิ้วขมวดขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะพูดอย่างดูถูก “ต่อให้นางหน้าตาดีเพียงใด ก็คงเป็นได้แค่ไม้ประดับเท่านั้นแหละ”
เฉิงซินหรุ่ยก็ผงกหัวโดยไม่ได้รู้สึกอิจฉาอะไร
“ที่แท้พวกเจ้าก็มาอยู่ที่นี่นี่เอง ปล่อยให้ข้าหาเสียนาน” หลินหัวเยว่นั้นหน้าซีดมาก ราวกับเป็นจอกแหนที่ดูบอบบางและน่าหดหู่ แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเป็นเพราะนางเป็นชู้จนตั้งท้องและยังแท้งลูกอีกต่างหาก พวกนางก็ได้มองไปที่นางด้วยสายตารังเกียจ
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” เฉิงซินหรุ่ยรีบพูดขึ้นมาด้วยสีหน้ารังเกียจ
“ไม่นึกเลยว่าพวกน้องๆจะรังเกียจพี่ใหญ่อย่างข้ามากถึงขนาดนี้?” ดวงตาของหลินหัวเยว่นั้นก็เต็มไปด้วยน้ำตาและน่าสงสารขึ้นมา
ด้วยสภาพเช่นนี้หากมีคนที่อ่อนโยนมาเห็นเข้า พวกเขาก็คงคิดว่าเฉิงซินหรุ่ยนั้นรังแกคนอื่นอยู่เป็นแน่แท้
“พี่หลินพี่ร้องไห้เช่นนี้ คนอื่นที่ไม่รู้จะคิดว่าพวกเราแกล้งพี่เอาได้นะ” ซูโยวอวิ๋นยิ้มให้หลินหัวเยว่อย่างอ่อนโยน แต่นางพูดด้วยเสียงอันดังราวกับว่าตั้งใจให้คนอื่นได้ยินด้วย
เฉิงซินหรุ่ยก็ได้มองไปที่ซูโยวอวิ๋นอยู่สักพักหนึ่งจนเริ่มเข้าใจ เฉิงซินหรุ่ยจึงได้ไม่พอใจหลินหัวเยว่มากขึ้นเรื่อย นางจึงได้หลบเลี่ยงหลินหัวเยว่
จากนั้นทั้งสามสาวที่มีชื่อเสียงก็ได้กลายเป็นวิ่งไล่จับกัน แน่นอนว่าเป็นหลินหัวเยว่ที่เป็นคนไล่ ในขณะที่อีกสองคนเป็นคนหนี
ในขณะที่ทั้งคู่กำลังหยอกล้อหลินหัวเยว่อยู่นั้น ผู้ที่ทำหน้าที่ประกาศก็ได้แจ้งว่าองค์ชายเย่มาถึงแล้ว แล้วในงานเลี้ยงที่กำลังวุ่นวายก็ได้เงียบสงบลงทันที มีเพียงเหล่าขุนนางชั้นสูงบางคนที่มีสีหน้ารังเกียจในสายตาของพวกเขาและดื่มเหล้าในแก้วต่ออย่างไม่สนใจ