บทที่ 22 งานเลี้ยงวันเกิด
บทที่ 22
งานเลี้ยงวันเกิด
หลินซีเหยียนนั้นขี้เกียจจะไปต่อล้อต่อเถียงกับเขา จึงได้แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน
ส่วนซางกวนจิ่นเองก็ได้ยินเช่นกัน ก็ได้หันไปมอง เฮอเหวินจางแล้วพูดอย่างเหยียดหยัน “มีข้าอยู่ เจ้าต่างหากที่จะต้องตายน่ะ!”
“อย่างเจ้าน่ะเหรอ? ไม่รู้ใครกันนะที่โดนข้ารับใช้ของข้าอัดซะหงายเก๋งเมื่อสักครู่น่ะ” เฮอเหวินจางพูดอย่างเสียดสี
ซางกวนจิ่นก็ได้ง้างหมัดขึ้นมาอย่างโมโหแล้วชกเข้าไป เฮอเหวินจางก็ได้ลงไปนอนกับพื้นด้วยหมัดเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว แล้วทั้งสองคนก็ได้เข้าต่อสู้กันนัวเนียโดยที่ไม่มีใครยอมใครเลย
เหล่าข้ารับใช้ก็ได้รีบมาช่วย แต่ทั้งสองคนต่างก็เป็นนายน้อยของตระกูลใหญ่โตไม่มีใครด้อยกว่าใคร พวกเขาจึงไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี?
อย่างไรก็ดีมันก็เป็นแค่การทะเลาะกันของสองคุณชาย ราวกับไม่ได้ข้องเกี่ยวอะไรกับนาง หลินซีเหยียนก็ได้เดินจากไปโดยไม่ได้มีความห่วงใยเลยแม้แต่น้อย
ดั่งที่มีคนเคยกล่าวเอาไว้ สิ่งที่ดีไม่เคยแพร่ออกไป แต่สิ่งที่ไม่ดีกลับแพร่ออกไกลหลายพันลี้ เมื่อหลินซีเหยียนกลับมาถึงที่บ้าน แม่ของหลินหัวเยว่ที่ได้ทราบข่าวก็ได้รีบออกไปหาลูกสาวทันที
ส่วนมหาเสนาบดีหลินนั้นไม่ได้ออกไปด้วย แต่กลับอยู่รอนางที่จวน แน่นอนว่าหลินซีเหยียนไม่คิดว่ามหาเสนาบดีหลินนั้นจะเป็นห่วงนางแต่เหตุผลที่เขายังอยู่ที่จวนนั้นน่าจะเป็นเพราะเขาไม่สามารถออกไปพบหน้าใครได้
ซึ่งพูดได้ว่าหลินซีเหยียนนั้นรู้จักมหาเสนาบดีเป็นอย่างดีและรู้ดีถึงความเจ้าเล่ห์ของเขา
“ดูเหมือนเจ้ายังรู้ว่าเมื่อใดควรจะกลับมาบ้านนะ เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้างล่ะที่พี่สาวของเจ้าต้องถูกทำร้ายเพราะเจ้าน่ะ ไม่เพียงแต่นางจะเสื่อมเสียชื่อเสียงแล้ว แต่ยังอาจจะไม่มีบุตรได้อีก” มหาเสนาบดีหลินมองไปที่หลินซีเหยียนด้วยสายตาที่สกปรกราวกับว่าทุกสิ่งเป็นความผิดของหลินซีเหยียน
โชคดีที่หลินซีเหยียนนั้นเลิกหวังกับมหาเสนาบดีหลินไปนานแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่ได้รู้สึกผิดหรือเสียใจอะไร แต่นางก็ได้ยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยและพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน “ท่านมหาเสนาบดีกำลังจะบอกว่าการที่หลินหัวเยว่นั้นแย่งคู่หมั้นของข้าไปเป็นความผิดของข้าอย่างนั้นเหรอ? หรือว่าการที่หลินหัวเยว่มีลูกกับเฮอเหวินจางนั้นเป็นความผิดของข้าเหรอ?”
คำพูดที่เย็นชาของหลินซีเหยียนนั้นทำให้มหาเสนาบดีหลินถึงกับต้องหน้าเสียและหาคำพูดไม่ได้พักใหญ่เลยทีเดียว และเพื่อเป็นการรักษาหน้าของเขาจึงได้พูดออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “แต่หัวเยว่เป็นพี่สาวของเจ้านะ”
“แล้วนางเคยทำอะไรอย่างที่พี่สาวควรทำบ้าง? นอกจากนี้ข้าไม่เคยมีพี่สาว” หลังจากนั้นหลินซีเหยียนก็ได้เดินออกไปโดยที่ไม่รอให้มหาเสนาบดีหลินได้โต้ตอบ
กลับมาที่เรือน หลินซีเหยียนก็ไม่พบเทียนเอ๋อกับจิ่งชุนเลย แต่เพราะมีจิ่งชุนอยู่ด้วย นางจึงได้ไม่กังวลว่าเจ้าเด็กตัวแสบนั้นจะไปสร้างปัญหาที่ไหนเข้า
แต่ใครจะไปรู้ว่าเมื่อถึงเวลาค่ำ อันซานก็ได้ให้คำตอบที่คาดไม่ถึงแก่นางเทียนเอ๋อได้พาจิ่งชุนไปที่พระราชวังและยังไปชกต่อยกับองค์ชาย.......
“เจ้าเด็กบ้านั่น จะให้ข้าวางใจสักพักไม่ได้เลยรึยังไงนะ?” หลินซีเหยียนพูดอย่างกัดเขี้ยวเคี้ยวฟัน แต่โชคยังดีที่เทียนเอ๋อยังได้พบกับเจียงหวายเย่ในพระราชวัง ต่อให้เทียนเอ๋อเป็นเด็กฉลาดเพียงใด แต่ก็เกรงว่าไม่ใช่คู่มือของคนในพระราชวังที่สามารถกินผู้คนได้โดยที่กระดูกก็ยังไม่บ้วนทิ้งออกมา
“อันซานฝากขอบคุณองค์ชายแทนข้าด้วย” หลินซีเหยียนได้พูดแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจ
อันซานจึงได้ผงกหัวแล้วบอกว่าเขาจะนำข้อความนี้ไปบอกกับองค์ชายให้ และก่อนที่จะจากไปเขาก็ได้กล่าว “องค์ชายบอกไว้ว่าเขาจะรอแม่นางหลินมารับนายน้อยในตอนเช้านะขอรับ”
หลินซีเหยียนก็ได้ผงกหัว แล้วออกไปส่งอันซานที่หน้าประตู แต่แล้วพ่อบ้านที่คอยติดตามรับใช้มหาเสนาบดีก็ได้มาหา
“คุณหนูขอรับ ฮ่องเต้หมิงเอ๋อจะจัดงานเลี้ยงในวันพระราชสมภพขึ้น และนายท่านต้องการให้คุณหนูไปเข้าร่วมด้วยขอรับ” พ่อบ้านของมหาเสนาบดีนั้นไม่ใช่คนโง่ จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้ง เขาก็เข้าใจดีว่าคุณหนูรองนั้นไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว
มองดูท่าทีที่สุภาพของพ่อบ้านแล้ว หลินซีเหยียนก็ได้ตอบกลับไปอย่างกันเอง “งานเลี้ยงวันเกิดของราชวงศ์นั้นไม่เกี่ยวข้องอะไรกับข้า ข้าขอไม่ไป”
ส่วนพ่อบ้านที่เหมือนคาดไว้แล้วว่านางจะต้องตอบเช่นนั้น จึงได้ตอบกลับอย่างรวดเร็ว “แต่นายท่านได้กำชับเอาไว้ว่า คุณหนูนั้นได้ถูกเชิญด้วยตัวฮองเฮาเอง ดังนั้นคุณหนูจะต้องไปขอรับ”
หลินซีเหยียนก็รู้สึกไม่ดีขึ้นมาเมื่อต้องถูกบังคับให้ทำอะไร แต่นางก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป แล้วก็โบกมือด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก
เมื่อพ่อบ้านเห็นเช่นนั้นแล้วก็ไม่ได้พูดอะไร “คุณหนูขอรับ ถ้าเช่นนั้นข้าน้อยขอตัวก่อน”
วันนี้เรือนของนางเงียบเหงามากเพราะว่าเทียนเอ๋อกับจิ่งชุนไม่อยู่ ในขณะที่กำลังมองหลังพ่อบ้านอยู่นั้น นางก็นึกอะไรบางอย่างออก “พ่อบ้าน พวกคนเก่าคนแก่ที่อยู่ในเรือนของข้ายังอยู่ไหม?”
พ่อบ้านนั้นเมื่อถูกเรียกก็ได้หยุดเดินแล้วหันหน้ากลับมา หลังจากที่คิดอยู่พักหนึ่งก็ได้อบ “ส่วนใหญ่ก็ยังอยู่ขอรับ”
“ถ้าเช่นนั้นให้พวกเขากลับมาที่นี่พรุ่งนี้เช้าทีนะ” หลินซีเหยียนก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาแต่แฝงไปด้วยความเศร้าสร้อย
พ่อบ้านก็เหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะพูดออกมาและมองไปที่นางด้วยสายตาแปลกๆ
หลินซีเหยียนนั้นไม่เข้าใจว่าสายตาแปลกๆของพ่อบ้านนั้นจนกระทั่งเช้าวันต่อมา เพราะคนเก่าคนแก่เหล่านั้นที่เคยรับใช้แม่ของนางกลับมองมาที่นางด้วยสายตาที่ระแวดระวังและเกลียดชัง
หรือว่าหลินซีเหยียนคนก่อนจะเคยทำอะไรให้พวกเขาโกรธกันนะ? แต่วันนี้นางมีหลายอย่างที่จะต้องทำ ดังนั้นนางจึงพูดกับคนรับใช้เหล่านี้ด้วยสายตาที่เศร้าๆ “พวกเจ้าก็หาที่อยู่กันเอาเองละกัน ถ้าขาดเหลืออะไรก็รอข้ากลับมา”
หลังจากนั้นหลินซีเหยียนก็ได้ออกเดินทางไปที่พระราชวังรัตติกาลตามลำพัง
ประตูพระราชวังรัตติกาลไม่ได้ดูโออ่าเหมือนกับพระราชวังอื่น แต่ดูธรรมดามากๆแต่ก็ไม่ได้ทำให้ด้อยค่ามากนัก ซึ่งปกติประตูนี้จะปิดอยู่แต่ตอนนี้กลับเปิดราวกับว่ากำลังรอพบแขกคนสำคัญอยู่
หลินซีเหยียนเดินเข้าไป แต่ทว่านางกลับถูกหยุดเอาไว้โดยคนเฝ้าประตูพระราชวัง และพูดขึ้นมา “ได้โปรดไปที่ทางประตูข้างด้วย ถ้าหากว่ามีธุระอะไร”
“ข้าเดินเข้าไปทางประตูหลักไม่ได้เหรอ? ทำไมข้าถึงต้องเข้าทางประตูข้างด้วย?” หลินซีเหยียนถามอย่างติดตลก
แล้วคนเฝ้าประตูที่ได้ยินเข้าก็ได้เงยหน้าขึ้นมาอย่างหมดความอดทน เขามองไปที่หลินซีเหยียนและชี้ป้ายมีคำว่าพระราชวังรัตติกาลแล้วกล่าว “เจ้าไม่เห็นรึไงว่าที่นี่คือพระราชวังรัตติกาล นอกจากเจ้าของพระราชวังนี้กับคนสนิทของท่านแล้ว คนอื่นๆต้องเข้าทางประตูข้างเท่านั้น”
หลินซีเหยียนก็ผงกหัว แต่นางก็ไม่มีความคิดที่จะเดินเข้าทางประตูข้าง นางจึงได้นึกสนุกและโต้เถียงกับคนเฝ้าประตู ซึ่งคนเฝ้าประตูก็ไม่ยอมง่ายๆ ซึ่งเมื่อหลินซีเหยียนต้องการอะไรแล้วนางก็จะต้องทำให้ได้
คนเฝ้าประตูคนนี้น่าจะเป็นคนมาใหม่ จึงเป็นเรื่องปกติที่เขาจะไม่รู้จักหลินซีเหยียน ซึ่งเขาก็ไม่รู้จักแม้แต่อันอี้ ซึ่งทั้งคู่ต่างก็ถูกห้ามไม่ให้เข้าอยู่ที่หน้าประตูพระราชวัง จนในที่สุดอันอี้ก็ได้แอบลงมือทำอะไรบางอย่าง แล้วทั้งคู่ต่างก็เข้ามาได้ในที่สุด
เจียงหวายเย่นั้นกำลังรอหลินซีเหยียนอยู่ที่พระราชวังตั้งแต่เช้า แต่ทว่าพอมองซ้ายมองขวากลับยังไม่เห็นนางเลยแม้แต่เงา จนกระทั่งเขาเริ่มสงสัยว่าหลินซีเหยียนนั้นอาจจะให้เขารอเก้อเสียแล้ว หลินซีเหยียนก็ได้โผล่มาพอดี
หลังจากที่ทราบเหตุผลที่หลินซีเหยียนมาสายแล้ว เขาก็รู้สึกไม่ค่อยดีขึ้นมา จากนั้นก็ได้หยิบเอาแผ่นหยกขึ้นมาแล้วมอบให้กับหลินซีเหยียน “ถ้าหากว่าเจอคนที่ตาถั่วมาห้ามไม่ให้เจ้าเข้ามาอีก เจ้าก็แสดงแผ่นป้ายหยกนี้ให้เขาดู”
หลังจากที่รับแผ่นป้ายหยกมาแล้ว ดวงตาของนางก็มืดสนิทขึ้นมาแต่นางไม่อยากที่จะพูดอะไร
มันเป็นแผ่นป้ายหยกสีเขียว ซึ่งมีลายที่ดูซับซ้อนมากอยู่ข้างใน หลินซีเหยียนมองดูอยู่สักพักก็ไม่สามารถบอกได้ว่ามันคืออะไร?
แต่ถึงอย่างไรนางก็ยังคงมีธุระที่ต้องมาพบกับ เจียงหวายเย่อีกหลายหน มันก็จะเป็นการสะดวกดีที่จะรับมันเอาไว้ หลินซีเหยียนจึงได้เลิกใส่ใจแล้วรับมาโดยดี
“ข้ายังมีธุระอื่นที่ต้องจัดการ ดังนั้นข้าจึงมารับเทียนเอ๋อแล้วก็จะไปเลยเจ้าค่ะ” หลินซีเหยียนมองไปรอบๆแต่กลับไม่พบเทียนเอ๋อ นางจึงได้ขมวดคิ้วแล้วมองไปที่เจียงหวายเย่เป็นเชิงบอกว่าเทียนเอ๋ออยู่ที่ไหน?