บทที่ 15 เรือนเชียนเหยียน
บทที่ 15
เรือนเชียนเหยียน
“ท่านมหาเสนาบดีหลิน ท่านช่างมีลูกสาวที่ดีจริงๆ!” กว๋อกงจิ่งหยางก็หน้าแดงโกรธจัดขึ้นมาเมื่อได้ยินที่ หลินซีเหยียนพูด และออกไปหลังจากที่พูดจบ
“ขอบคุณท่านกว๋อกงจิ่งหยางที่กล่าวชม” ใครที่ได้ยินกว๋อกงจิ่งหยางพูดก็รู้ว่าพูดประชด แต่หลินซีเหยียนก็ไม่ได้ตอบรับอย่างหยิ่งผยอง แต่ตอบกลับด้วยอำนาจคุกคามแทน
เมื่อได้ยินดังนั้นกว๋อกงจิ่งหยางที่กำลังเดินออกไปนอกประตูก็สะดุดล้มหัวทิ่มทันที แล้วก็มีคนอื่นๆมาประคองพาเขาออกไป
“เจ้า เจ้าคิดจะหักหน้าพ่อของเจ้างั้นเรอะ” มหาเสนาบดีหลินได้ชี้ไปที่หลินซีเหยียนราวกับหายใจไม่ออก
หลินหัวเยว่ก็ได้มองตอบด้วยสีหน้าที่เกลียดชัง ถ้าไม่ใช่เพราะหลินซีเหยียน นางก็คงได้แต่งกับพี่เหวินจางไปแล้ว
“เจ้าไปเอากฎของตระกูลมาให้ข้า” มหาเสนาบดีหลินตะโกนไปยังเด็กรับใช้ที่อยู่ข้างๆข้า
ท่ามกลางสายลมพัดมา และเสียงใบไม้ที่ดังกรอบแกรบ อันอี้ที่ซ่อนตัวอยู่ก็คิดว่าเขาควรจะเข้าไปช่วยดีหรือไม่ แต่เมื่อเขาเห็นว่าแม่นางหลินนั้นหนักแน่นมาก ซึ่งนางนั้นสีหน้าไม่ได้เปลี่ยนไปเลยท่ามกลางคนอื่นๆที่สร้างปัญหาให้นาง แต่นางก็ยังคงสีหน้านิ่งไม่เปลี่ยนและโต้กลับอย่างช้าๆ โดยเฉพาะจดหมายยกเลิกการหมั้นนั้นทำให้สถานการณ์ไม่สู้ดีเท่าไร
หลังจากนั้นสักพัก เด็กรับใช้ก็กลับมาพร้อมกับกฎของตระกูล ซึ่งกฎของตระกูลก็คือไม้เรียวหวายที่มีความยาว 4 ฟุต
“นังลูกไม่รักดี วันนี้ข้าจะสั่งสอนเจ้า” มหาเสนาบดีหลินหยิบเอาไม้เรียวหวายมาแล้วฟาดไปที่หลินซีเหยียน
ซึ่งในขณะที่อันอี้กำลังจะลงมือนั้นเอง หลินซีเหยียนก็ได้จับไม้เรียวนั้นเอาไว้ ซึ่งทันทีที่จับ มือของหลินซีเหยียนก็แดงและบวมทันที
หลินซีเหยียนนั้นรู้สึกคุ้นเคยกับความเจ็บปวดที่มือของนางนี้ สายตาของนางมืดดำและยิ้มอย่างประชดประชัน การที่นางรู้สึกคุ้นเคยกับไม้เรียวนี้มากนั้น แสดงว่าในอดีตเจ้าของร่างนี้คงจะโดนสั่งสอนด้วยไม้เรียวนี้บ่อยมาก
หลินหัวเยว่ฟ้อง นางก็โดนตี
เดินชนพ่อของนางก็โดนตี
เกิดเรื่องเสียหายข้างนอกก็โดนตี
แต่ในวันนี้เกรงว่ามหาเสนาบดีหลินที่คิดว่าลูกสาวแสนโง่เขลาของตัวเองที่ไม่เคยตอบโต้หรือต่อว่านั้น จะคิดผิดมหันต์เสียแล้ว
“เจ้ากล้าตอบโต้งั้นเรอะ?” มหาเสนาบดีก็ตกใจเมื่อเห็นแววตาที่เย็นชาของหลินซีเหยียน ทำให้เขารู้สึกเสียหน้ามากขึ้นกว่าเดิมและโกรธจัด
ในเวลานี้เขาได้มองไปที่คนที่อยู่ใกล้ๆ “จับตัวนังนี่ให้ข้า ข้าไม่เชื่อหรอกว่าข้าจะสั่งสอนนังนี่ไม่ได้”
เทียนเอ๋อก็ได้มองไปที่เหล่าข้ารับใช้ที่กำลังมา ก็รู้สึกคิดถูกที่ตัวเขาตามมาด้วย ไม่อย่างนั้นท่านแม่คงได้ถูกรังแกแน่นอน
จากนั้นเขาก็ได้มองไปที่ชายชราด้วยสายตาที่โหดเหี้ยม เขารู้อยู่ว่าชายชราคนนั้นคือท่านตาของเขา แต่ในเมื่อไม่เห็นเขาเป็นหลานและยังคิดจะทำร้ายท่านแม่อีก ถ้าเช่นนั้นเขาก็ไม่อยากนับเป็นตาเช่นกัน
เมื่อเหล่าข้ารับใช้ชั่วร้ายกำลังวิ่งเข้าไปหาหลินซีเหยียน เทียนเอ๋อก็ได้เข้ามาขวาง ด้วยร่างกายเล็กๆของเขาก็ได้ทำให้เหล่าคนตัวโตต้องตกตะลึง
หลินซีเหยียนที่เห็นเทียนเอ๋อใช้วิชาหมัดสวินจงที่สอนมาโดยองค์ชายเย่แล้ว นางก็ผงกหัวอย่างพึงพอใจ ดูเหมือนว่านางจะหาอาจารย์ให้เทียนเอ๋อได้ไม่ผิดคนจริงๆ
ภายใต้การหลบหลีกของหลินซีเหยียน ไม่มีใครที่สามารถแตะต้องนางได้แม้แต่ชายผ้า
นางก็ได้มองไปที่หมัดที่จ้ำม่ำคู่นั้นของเทียนเอ๋อที่เริงระบำอย่างแข็งแกร่งด้วยเพลงหมัดสวินจงแล้ว นางก็รู้สึกได้ว่าคนเหล่านี้ก็เหมือนฝึกวิทยายุทธมาเช่นกัน หลินซีเหยียนจึงได้ไม่รอช้า ยื่นมือของนางออกมาโปรยยาทันที
ทันใดนั้นเองนอกจากเทียนเอ๋อและหลินซีเหยียนแล้ว ทุกคนต่างก็ลงไปนอนกองกับพื้น
มหาเสนาบดีหลินก็ตกใจกับสิ่งที่เขาเห็น แล้วจากนั้นก็ได้มองไปที่หลินซีเหยียนด้วยความหวาดกลัว เขาที่เป็นแค่ข้าราชการไม่อาจที่จะทนมือทนเท้าของนางได้แน่ และในเวลานี้ทุกคนที่สามารถปกป้องเขาได้นั้นได้ลงไปนอนกองหมดแล้วด้วย ในชั่วขณะนั้นเองที่เขารู้สึกกลัวลูกสาวตัวเองขึ้นมา
“ซีเหยียน พ่อตีเจ้าก็เพื่อตัวของเจ้าเองนะ” มหาเสนาบดีหลินก็ได้กล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนลงอย่างมาก
“ท่านมหาเสนาบดียังคิดจะตีข้าอีกหรือไม่?” หลินซีเหยียนนั้นไม่แม้แต่จะมองเขาและมองไปที่ยาขวดเล็กที่อยู่ในมือของนางอย่างตั้งใจ
มหาเสนาบดีก็ได้ส่ายหัวของเขา จะให้เขากล้าพูดที่นี่ได้อย่างไร?
แต่เขาก็ได้มองดูความทะเยอทะยานของหลินซีเหยียนที่ราวกับคนร้ายแล้ว เขาก็ได้ด่านางในใจ คอยดูเถอะข้าจะไปตามยอดฝีมือมา เขาจะต้องสามารถจัดการกับนังเด็กนี่ได้แน่
หลินซีเหยียนก็ได้มองทะลุความคิดในใจของมหาเสนาบดีหลินได้ทันที แต่นางก็ไม่ได้คิดจะพูดอะไร กลับกันนางก็ได้พาเทียนเอ๋อไปที่เรือนของนางและกล่าว “จากนี้ข้ากับ เทียนเอ๋อจะอาศัยอยู่ที่จวนมหาเสนาบดี ท่านมหาเสนาบดีคงจะไม่ปฏิเสธใช่ไหมเจ้าคะ?”
“ตามสบาย” มหาเสนาบดีตอบตกลง
เรือนเชียนเหยียน นี่คือเรือนของนางที่ได้กลับมาหลังจากผ่านไป 5 ปี ทำให้นางรู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหล
“นั่นใคร?” เมื่อได้ยินเสียงคนเดินอยู่ที่ข้างนอก สาวรับใช้คนหนึ่งที่ดูผอมแห้งแรงน้อยออกมาจากด้านในของเรือนเชียนเหยียน
“จิ่งชุน ข้าเอง” หลินซีเหยียนก็ตกใจไปพักหนึ่ง จิ่งชุนนั้นคือสาวใช้ที่อาศัยอยู่ที่นี่กับนาง แต่ดูเหมือนจะมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้นางยังอยู่ที่เรือนเชียนเหยียน
เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ใบหน้าที่คุ้นเคย จิ่งชุนก็สายตาเบิกกว้างแล้วจากนั้นก็ได้รีบวิ่งมาหาหลินซีเหยียนและคุกเข่าลงกับพื้น เมื่อนางเงยหน้าขึ้นมาใบหน้าของนางก็เต็มไปด้วยน้ำตา
“จิ่งชุนรู้ว่าสักวันคุณหนูจะต้องกลับมา ดังนั้นจิ่งชุนจึงได้คอยดูแลเรือนเชียนเหยียนเพื่อคุณหนูเจ้าค่ะ” จิ่งชุนได้ร้องไห้ออกมาอย่างดีใจ
หลินซีเหยียนก็ได้ประคองนางขึ้นมา “เพื่ออะไรกัน? เจ้าน่าจะไปรับใช้คนอื่นจะดีกว่าแทนที่จะมาเฝ้าเรือนร้างๆนี่”
จิ่งชุนส่ายหัว “ไม่มีใครอื่นอยู่ในใจของจิ่งชุนอยู่แล้วเจ้าค่ะ ดังนั้นจิ่งชุนจึงได้เฝ้ารอวันที่คุณหนูจะกลับมาเจ้าค่ะ”
“ต่อจากนี้ไปข้าจะดูแลเจ้าเป็นอย่างดีจิ่งชุน และจะไม่ทิ้งเจ้าเอาไว้อีก” หลินซีเหยียนมองดูร่างกายที่ผอมบางของจิ่งชุนด้วยสายตาที่หนักแน่น
จิ่งชุนก็ได้ยิ้มทั้งน้ำตาและผงกหัวอย่างดีใจ
เพราะการเฝ้าดูแลของจิ่งชุน จึงทำให้เรือนเชียนเหยียนนั้นยังมีสภาพเหมือนเมื่อ 5 ปีก่อน ซึ่งทำให้หลินซีเหยียนนั้นรู้ถึงความยากลำบากของจิ่งชุนที่ได้รับมาตลอด 5 ปีที่ผ่านมานี้
เรือนเชียนเหยียนนั้นไม่มีของมีค่าอะไรมากมายนัก จะมีก็แค่เตียงไม้และบ้านที่ว่างเปล่า มองดูทุกอย่างที่เหมือนเคยแล้วหลินซีเหยียนก็ได้ถอนหายใจออกมา
จิ่งชุนจึงคิดว่าคุณหนูคงจะรู้สึกเสียใจจึงได้รีบปลอบนาง “คุณหนูอย่าเพิ่งเสียใจไปเลยเจ้าค่ะ ต่อจากนี้มันจะต้องดีมากขึ้นเรื่อยๆแน่นอนเจ้าค่ะ”
หลังจากที่พูดจบนางก็มองไปที่เด็กตัวน้อยที่เดินตามหลินซีเหยียนมา ซึ่งดูสวยงามราวกับหยกขาวแล้วก็ได้ถามอย่างสงสัย “คุณหนูเจ้าคะ เด็กคนนี้คือนายน้อยของจิ่งชุนเหรอเจ้าคะ?”
หลินซีเหยียนก็ได้ผงกหัว “เดี๋ยวข้าจะแนะนำให้รู้จักนะ เด็กคนนี้คือลูกชายของข้ามีชื่อว่าหลินเทียนชื่อ”
เทียนเอ๋อก็ได้พูดทักจิ่งชุนด้วยเสียงที่อ่อนหวาน “คารวะป้าจิ่ง”
จิ่งชุนก็ได้รีบคุกเข่าด้วยความกลัว แล้วก้มหัวของนาง “มิได้เจ้าค่ะ จิ่งชุนเป็นแค่บ่าวรับใช้ ไม่สมควรที่จะถูกเรียกเช่นนั้นจากนายน้อยหรอกเจ้าค่ะ”
หลินซีเหยียนก็ได้ประคองนางลุกขึ้นมาอย่างเจ็บปวด “จิ่งชุนข้าไม่เคยเห็นเจ้าเป็นแค่ข้ารับใช้เลยนะ ดังนั้นเจ้าสมควรที่จะถูกเรียกเช่นนั้นจากเจ้าเด็กตัวแสบนี่แล้ว”
จิ่งชุนก็ได้มองไปที่นายหญิงของนาง แล้วน้ำตาของนางที่ควรจะแห้งไปแล้วก็ได้ไหลออกมาอีกครั้ง “คุณหนูเจ้าคะ”
“ไม่เอาน่าเลิกร้องเถอะจิ่งชุน ข้ากลับมาแล้วก็ควรจะเป็นเรื่องดีแล้วไม่ใช่รึไง?” หลินซีเหยียนก็ได้พูดปลอบนาง
ในขณะที่จิ่งชุนอยากที่จะถามถึงสิ่งที่คุณหนูของนางต้องประสบในหลายปีที่ผ่านมา ก็ได้มีเสียงท้องร้องดังขึ้นมาเสียก่อน
หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่เทียนเอ๋อ เทียนเอ๋อก็ได้หน้าแดงอย่างอายๆ เมื่อถูกจับจ้องโดยแม่ของเขาก็ได้พูดขึ้นมาอย่างอายๆ “ท่านแม่ เทียนเอ๋อหิวแล้ว..”
จิ่งชุนก็มองไปที่เทียนเอ๋อ ราวกับว่าถึงเวลาอาหารแล้ว นางจึงได้รีบลุกขึ้นยืนแล้วกล่าว “จิ่งชุนลืมไปเสียสนิทเลยเจ้าค่ะ เดี๋ยวจิ่งชุนจะรีบไปเอาสำรับอาหารมาให้นะเจ้าคะ”