บทที่ 13 ขอถอนหมั้น
บทที่ 13
ขอถอนหมั้น
จวนของมหาเสนาบดีงั้นเหรอ? นั่นไม่ใช่ที่ที่ท่านแม่เคยโดนรังแกมาก่อนเหรอ? สถานที่อันตรายเช่นนั้นแล้วเขายังปล่อยให้ท่านแม่ไปคนเดียวอีก ก็เสียชื่อที่เขาเป็นอัจฉริยะด้านการต่อสู้น่ะสิ
“ท่านแม่ ข้าจะไปด้วย” เทียนเอ๋อจับมือของหลินซีเหยียนแน่นราวกับกลัวว่าจะถูกทิ้ง
หลินซีเหยียนจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องพาเขาไปด้วยกับนางด้วย ไม่นึกเลยว่าแต่ก่อนที่จะออกจากพระราชวัง นางจะต้องมาเจอกับเจ้าตัวแสบที่หน้าประตูเช่นนี้
“ท่านแม่ ข้าที่เป็นสุดยอดอัจฉริยะด้านการต่อสู้ถูกพาไปเป็นองครักษ์เช่นนี้ ท่านแม่จะเลี้ยงอาหารตอบแทนข้าใช่ไหมขอรับ?” เทียนเอ๋อที่ไม่รู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย แล้วยังหน้าด้านขอของกินอีก
หลินซีเหยียนจึงได้ตอบแทนเขาด้วยมะเหงกสวรรค์จนเสียงดังก้องอยู่ในหู “เจ้าเด็กตัวแสบ ข้าเลี้ยงเจ้ามาตั้งหลายปีแล้ว”
เมื่อเห็นว่าท่านแม่โมโหแล้ว เจ้าลูกชิ้นก็ได้รีบกล่าว “ท่านแม่ที่แสนงดงามและอ่อนโยนของข้า ข้าผิดไปแล้วแต่ว่าจวนของมหาเสนาบดีก็น่าจะอันตรายมาก ราวกับไปขึ้นเขียงเลยนะขอรับ ท่านแม่ได้โปรดให้ข้าทานให้อิ่มก่อนจะกลับนะขอรับ!”
ยิ่งเจ้าเด็กตัวแสบพูดก็ยิ่งดูน่าสงสารจนเกือบจะเช็ดน้ำตา แล้วก็มีคนหนึ่งแถวนี้ที่เห็นว่าแม่ของเด็กคนนั้นงดงามมากจึงได้รีบปรี่เข้ามาหา “สาวงามผู้นี้ ไม่ทราบว่าต้องการที่จะไปร่วมโต๊ะอาหารด้วยกันหรือไม่?”
หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่ผู้พูดด้วยท่าทีกระอักกระอ่วน และไม่อยากที่จะตอบกลับไป แต่ทว่าเทียนเอ๋อก็ได้ฉุดรั้งนางเอาไว้เพราะเห็นแก่ของกิน แล้วกล่าวกับชายอ้วน “ท่านลุงสุดหล่อลากดินจะเลี้ยงพวกเราเหรอขอรับ?”
สุดหล่อลากดินเหรอ? ผู้คนแถวๆนั้นรู้สึกอยากจะคลื่นไส้ขึ้นมาเมื่อได้ยินเช่นนี้
ชายคนนั้นก็ได้เมินต่อสายตาของผู้คนรอบข้าง แล้วมองไปที่หลินซีเหยียนด้วยดวงตาเล็กๆของเขา แล้วยิ้มอย่างลามกเป็นช่วงๆ “แน่นอน แต่ว่า......”
เทียนเอ๋อที่เห็นดังนั้นก็สบโอกาสทันที “คุณลุงชอบท่านแม่ของข้าเหรอขอรับ?”
เด็กพูดอะไรก็ไม่ผิด คำพูดห้วนๆตรงๆของเขานั้นได้เผยความคิดที่น่ารังเกียจในใจของชายคนนั้นทันที
“ลุงชื่อว่าเฉาหย่งโจว หากว่าเจ้าช่วยบอกแม่ของเจ้าให้มาเป็นอนุของลุงได้ อย่าว่าแต่อาหารเลยข้าจะให้ทุกอย่างที่เจ้าต้องการยังได้” เฉาหย่งโจวพูดหว่านล้อม
ทำให้เทียนเอ๋อรู้สึกใจเต้นเร็วขึ้นมาทันที แต่แล้วเขาก็เจ็บหูขวาขึ้นมาทำให้เขาไม่สามารถตอบตกลงได้
หลินซีเหยียนบิดหูขวาของเทียนเอ๋อ แล้วจากนั้นก็มองไปที่เฉาหย่งโจวพร้อมกับยิ้ม “คำถามนั้นของลุงเฉา ถามข้าเลยจะดีกว่า”
ด้วยรอยยิ้มที่งดงามนั้น เฉาหย่งโจวก็รู้สึกได้ว่าหัวใจของเขานั้นละลายไปแล้ว แล้วพูดอย่างกระตือรือร้น “แม่นางจะยินดีหรือไม่?”
“ข้าขอปฏิเสธ” หลินซีเหยียนดึงหูของเทียนเอ๋อแล้วเตรียมที่พาจะไป
เทียนเอ๋อก็ได้ตะโกนขึ้นมาขณะเดิน “ท่านแม่เบามือหน่อย ข้าเจ็บนะ!”
เมื่อเห็นว่าหลินซีเหยียนกำลังโกรธจัดนั้น เทียนเอ๋อก็ได้มองไปที่แม่ของเขาด้วยน้ำตาในดวงตาและได้พูดขึ้นมา “ท่านแม่หูของข้าจะยานเป็นหูหมูอยู่แล้ว ท่านแม่ช่วยเปลี่ยนเป็นข้างซ้ายเถอะนะขอรับ”
หลินซีเหยียนก็ได้เบะปากของนาง แล้วปล่อยเขาไป จากนั้นเทียนเอ๋อก็ได้ปกป้องนางจากด้านหลังอย่างจริงจัง
“สาวงาม ข้านี้พึงพอใจเจ้ามาก ถ้าเจ้าฉลาดก็ตามข้ามาเสียโดยดี ไม่อย่างนั้นคงได้มีเจ็บตัวกันบ้าง” ลุงเฉาได้ส่งคนของเขาไปล้อมหลินซีเหยียนเอาไว้ แล้วจากนั้นใบหน้าของเขาก็น่ารังเกียจอย่างมากเดินเข้ามาอย่างช้าๆ
หลินซีเหยียนก็ได้แต่สงบนิ่งเหมือนเคย และมองไปที่ลุงเฉาที่เดินเข้ามาอย่างช้าๆโดยที่ไม่มีท่าทีตอบสนองใดๆ
ในขณะที่ชายอ้วนคนนั้นกำลังเอามือมาแตะหลินซีเหยียนอยู่นั้นเอง ก็มีกระบี่แทรกเข้ามาและสัมผัสได้ถึงรอยเลือดที่ปรากฏขึ้นมาที่มือของเขา
หลินซีเหยียนก็ได้ยักคิ้วขึ้นมาอย่างสงสัย แล้วคิดว่าใครกันที่สู้เพื่อความถูกต้อง
“ใครน่ะ?” ลุงเฉาที่ตกใจกลัวก็ได้ลงไปนั่งอยู่กับพื้นและมองไปรอบๆพร้อมกับตะโกนด้วยความหวาดกลัว “ข้าเป็นถึงพี่ชายของฮองเฮาคนปัจจุบันเลยนะ ถ้าเจ้าทำร้ายข้าน้องสาวของข้าย่อมไม่ปล่อยเจ้าเอาไว้แน่”
“โอ้ เราช่างกลัวเสียจริงๆ” ท่ามกลางสายตาของผู้คน ที่ต่างก็พากันหลีกทางเป็นทางเดิน ปรากฏชายที่งดงามราวกับหยกอยู่ตรงหน้าของผู้คน
ลุงเฉาที่มองไปที่ได้ชายที่สามหน้ากากหยกขาวและนั่งเก้าอี้รถเข็นอยู่ แล้วเขาก็รู้ทันทีว่าชายคนนั้นคือเทพสงคราม เจียงหวายเย่ ผู้ที่ไม่เคยปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนมานานมากแล้ว
แล้วเขาก็ได้ลุกขึ้นยืนอย่างตัวสั่น เขานั้นหวาดกลัวอย่างสุดๆ เพราะคำพูดของเขาเมื่อสักครู่นั้นใช้ข่มขู่คนใหญ่คนโตมามากมายโดยอาศัยอำนาจของฮองเฮา
“องค์ชายเย่ ข้านี้มีตาหามีแววไม่ ข้าหวังว่าองค์ชายจะยกโทษให้ข้าด้วย”
วีรกรรมของเทพสงครามองค์ชายเย่อยู่ในใจของใครต่อใคร ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เหมือนกับตอนที่เขารุ่งเรืองแล้วก็ตาม เทพสงครามที่ถึงพิการไปแล้วแต่ก็ยังเป็นที่ชื่นชมของใครต่อใคร แล้วผู้คนต่างก็พากันคุกเข่าลงกับพื้นแล้วตะโกนขึ้นมา “คารวะองค์ชายเย่”
เหตุการณ์เช่นนี้ทำให้เจียงหวายเย่นั้นรู้สึกปวดหัวขึ้นมา เดิมทีฮ่องเต้ก็อิจฉาเขาจะแย่อยู่แล้ว และเรื่องในวันนี้เขาเชื่อว่าจะมีต้องมีคนที่ฉวยโอกาสเอาเรื่องนี้ไปแสวงหาผลประโยชน์แน่ จากนั้นเขาก็ได้เริ่มคิดขึ้นมา ทำไมกันนะพอผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเขากำลังจะถูกลวนลามก็ทำให้เขารู้สึกบาดตาขึ้นมาทันทีทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะต้องเข้าไปขัด
“องค์ชาย ตามหาข้าไม่ทราบว่ามีเหตุอันใดเหรอเจ้าคะ?” หลินซีเหยียนนั้นไม่ได้คุกเข่า ซึ่งทำให้ดูต่างจากคนอื่นๆอย่างมาก
“ทุกคนลุกขึ้นยืนเถิด” เจียงหวายเย่จึงได้บอกให้ทุกคนลุกขึ้นยืนได้ แล้วจากนั้นก็บอกให้อันอี้พาหลินซีเหยียนและลูกชายไปที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง
ส่วนลุงเฉาที่กลายเป็นฉากหลังไปแล้วนั้นก็มองดูพวกเขาจากไป และปรากฏแววตาเจ้าคิดเจ้าแค้นขึ้นในดวงตาของเขา และคิดที่จะสู้ตายเพื่อให้ได้สาวงามมา จากนั้นเขาก็ได้ส่งสายลับไปตรวจสอบตัวตนของหลินซีเหยียน
ในร้านอาหาร ทันทีที่เข้ามาในห้องส่วนตัวห้องหนึ่ง หลินซีเหยียนก็ได้ยื่นมือไปแตะที่ข้อมือเจียงหวายเย่ ซึ่ง เจียงหวายเย่ก็ได้ไม่ห้ามอะไรกลับกัน เขาก็ได้พูดขึ้นมาอย่างอ่อนโยน “ท่านกว๋อกงจิ่งหยางในเวลานี้เป็นแขกอยู่ที่จวนของมหาเสนาบดี เจ้าคิดที่จะกลับไปในวันนี้จริงๆเหรอ?”
หลินซีเหยียนผงกหัว ดูเหมือนร่างกายของเจียงหวายเย่นั้นจะไม่ได้รุนแรงมากนัก “องค์ชายมาถึงที่นี่เพื่อบอกกับข้าเรื่องนี้เท่านั้นเหรอเจ้าคะ?”
เจียงหวายเย่ผงกหัว ในใจของเขานั้นว้าวุ่นมาก ทำไมเขาถึงได้เป็นห่วงเป็นใยนางมากขนาดนี้ก็ไม่รู้
“ที่ข้าจะกลับจวนของมหาเสนาบดีนั้น เพราะกว๋อกงจิ่งหยางเองก็อยู่ที่นั่นด้วย มันจะเป็นเรื่องง่ายที่ข้าจะกลับไปพบกับพวกเขาเพื่อขอถอนหมั้นเจ้าค่ะ” หลินซีเหยียนหรี่สายตา และลืมตาที่เป็นประกายออกมา
“เจ้าคิดที่จะถอนหมั้นงั้นเหรอ?” เจียงหวายเย่ก็ได้เงยหน้าขึ้นมาทันที
หลินซีเหยียนผงกหัวแล้วจ้องไปที่เขาอย่างสงสัย ด้วยเหตุผลบางอย่าง นางรู้สึกว่าองค์ชายเย่นั้นดูจะมีความสุขกับการถอนหมั้นของนางมาก
“เปิ่นหวางจะให้อันอี้แฝงตัวในเงามืดคอยปกป้องเจ้า!” เจียงหวายเย่รู้สึกไม่ค่อยชอบมาพากลเท่าไรนัก
มันจะเป็นการดีกว่าที่จะมีคนเป็นวิทยายุทธตามไปด้วยสักคน แต่ทว่าหลินซีเหยียนก็ได้ปฏิเสธไป เพราะนางเป็นห่วงว่าองค์ชายเย่นั้นจะต้องกลับพระราชวังคนเดียว
เมื่อเจียงหวายเย่เห็นว่านางกำลังเป็นกังวลก็ได้ปรบมือของเขา แล้วก็พบอันเอ้อที่เปิดประตูเข้ามา แล้วคุกเข่ากับพื้นอย่างเคารพ “ขอรับนายท่าน”
“พาเปิ่นหวางกลับวังที”
หลังจากที่มองส่งเจียงหวายเย่ หลินซีเหยียนก็ได้เดินทางกลับจวนมหาเสนาบดีต่อ ในไม่กี่ปีที่ผ่านมาสิ่งก่อสร้างใน จวนของมหาเสนาบดีนั้นดูงดงามมาก
“คุณหนูรองกลับมาแล้ว” เมื่อเห็นหลินซีเหยียนเด็กรับใช้ที่อยู่หน้าประตูก็ไม่อยากจะเชื่อสายตาถึงกับต้องขยี้ตาตัวเองเพื่อให้มั่นใจว่าตัวเองไม่ได้เห็นภาพหลอนก่อนที่จะรีบวิ่งแจ้นไปแจ้งยังด้านใน
“นังลูกไม่รักดียังมีหน้ากลับมาอีกเรอะ?”
หลินซีเหยียนได้ยินเสียงที่ไร้ปรานีของมหาเสนาบดีดังขึ้นมาจากไกลๆ นางก็ได้บิดริมฝีปากของนางราวกับประชดประชัน นี่แหละคือ “พ่อที่แสนดี” ของนางที่ทอดทิ้งแม่ของนาง
มหาเสนาบดีหลินก็ได้มองมาที่หลินซีเหยียนด้วยสีหน้าเย็นชา สายตาของเขาเหมือนกับมองอะไรบางอย่างถูกขโมยไป ไม่เพียงแต่มหาเสนาบดีที่มองหลินซีเหยียนอย่างดูถูก แต่ยังรวมถึงกว๋อกงจิ่งหยางที่เป็นพ่อของคนสารเลวเฮอเหวินจางด้วย
“นังลูกไม่รักดียังไม่คุกเข่าลงอีก”