บทที่ 12 สาวงามมากมาย
บทที่ 12
สาวงามมากมาย
“ส่งแขกด้วย” เจียงหวายเย่มองด้วยสายตาที่สงบนิ่ง ราวกับว่าเขาไม่สนอะไรอีกต่อไปแล้ว แต่ความเย็นชาในคำพูดทำให้ผู้คนเข้าใจได้อย่างชัดเจนว่า เขากำลังโกรธจัดจริงๆ
หมอเทวดาเฉินที่คิดว่าองค์ชายจะต้องพึ่งพาเขาอยู่นั้น ในเวลานี้ก็เกิดกลัวขึ้นมาและรู้ว่าองค์ชายเย่เป็นใคร ถึงแม้ว่าเขาจะพิการและโดนพิษที่รุนแรง แต่ทว่าเขานั้นยังคงเป็นเทพสงครามที่กระหายเลือดและไม่มีใครที่กล้าดูถูกเขา
จึงไม่กล้าที่จะอยู่ต่อและพูดอะไรอีก หมอเทวเฉินลุกขึ้นยืนแล้วถอนตัวออกจากพระราชวังรัตติกาลทันที
“แล้วทำไมเจ้าถึงยังอยู่ที่นี่อีก?” เจียงหวายเย่มองไปที่อวี้ตี๋เอ๋อที่ยังดื้อด้านยืนอยู่และไม่ออกไป
อวี้ตี๋เอ๋อก็ได้เงยหน้าขึ้นมามององค์ชายเย่ด้วยสายตาที่บ้าคลั่ง “องค์ชาย ทั้งหัวใจและดวงตาของอวี้ตี๋เอ๋อนั้นมีแต่ท่าน อวี้ตี๋เอ๋อจะไม่ไปจากท่านเด็ดขาด”
มองดูสีหน้าที่ดื้อด้านและบ้าคลั่งของนางนั้นช่างน่ารังเกียจในสายตาของเจียงหวายเย่นัก เขาได้หรี่สายตาของเขาลง แล้วริมฝีปากที่ซีดบางของเขาก็ได้โค้งลงมา ราวกับดอกพลับพลึงแดงบานอยู่ที่ฟากฝั่งแม่น้ำยมโลก และปล่อยบรรยากาศที่เป็นอันตรายออกมา “ก็ได้ แต่เจ้าคงจะต้องทำลายโฉมหน้าของตัวเองเพื่อข้าเสียหน่อยก็แล้วกัน”
ให้อวี้ตี๋เอ๋อทำลายใบหน้าของตัวเองอย่างนั้นเหรอ? หลินซีเหยียนก็คิ้วขมวดขึ้นมาเมื่อได้ยิน ในโลกที่ผู้หญิงเป็นเบี้ยล่างเช่นนี้ แม้แต่นางก็ยังเข้าใจดีถึงความสำคัญของใบหน้าผู้หญิง เจียงหวายเย่ช่างเลือดเย็นอะไรเช่นนี้
แน่นอนว่าใบหน้าของอวี้ตี๋เอ๋อก็ซีดเซียวขึ้นมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น แล้วจากนั้นสายตาของนางก็ได้ดุดันขึ้นมาและพูดออกมาอย่างทะเยอทะยาน “องค์ชาย ข้าได้วางยาพิษท่านเอาไว้และมีเพียงข้าคนเดียวที่รู้วิธีแก้พิษนั้น ถ้าท่านไล่ข้าไปท่านก็จะตาย”
เจียงหว่ายเย่มองไปที่อวี้ตี๋เอ๋อด้วยความโกรธที่น่าสะพรึงกลัว “ส่งยาแก้พิษมา”
ยาแก้พิษคือที่พึ่งสุดท้ายของนาง ดังนั้นนางจะยอมมอบให้ง่ายๆได้อย่างไร นางจึงได้หัวเราะอย่างไร้ความกลัวแล้วกล่าว “ฝันไปเถอะ”
แล้วนางก็ได้เปลี่ยนไปเป็นคนละคน และมองไปที่ เจียงหวายเย่ด้วยความอยากได้ “องค์ชาย ไม่มีใครในโลกนี้ที่รักท่านอย่างสุดหัวใจนอกจากตี้เอ๋อคนนี้”
เจียงหวายเย่มองดูอวี้ตี๋เอ๋อที่กำลังบ้าคลั่งอย่างเงียบๆ ราวกับรูปปั้นที่สง่างามถึงแม้เขาจะไม่ได้พูดอะไรเลย แต่ก็แผ่ความงามที่น่าหลงใหลออกมา
เมื่อได้ยินที่อวี้ตี๋เอ๋อพูดแล้ว เขาก็ได้พูดขึ้นมาอย่างเย็นชา “ข้าปล่อยให้เจ้ารอดแล้วแต่เจ้ากลับไม่รักษามันเอาไว้”
แล้วก็หันไปพูดกับอันอี้ “เอาตัวนางออกไป ข้าไม่ต้องการที่จะเห็นนางอีก”
“องค์ชาย ท่านรักตี๋เอ๋อใช่ไหม?” แล้วอวี้ตี๋เอ๋อก็ตกอยู่ในภาวะโรคประสาท นางก็ได้หันมามองหลินซีเหยียนโดยบังเอิญ ความเกลียดชังของนางพุ่งขึ้นถึงขีดสุด “มันเป็นเพราะเจ้า ถ้าไม่ใช่เพราะรูปโฉมของเจ้า องค์ชายก็คงไม่ทำเช่นนี้กับข้า”
หลินซีเหยียนมองดูผู้หญิงที่แยกเขี้ยวกางเล็บใส่นาง จึงได้ถอยห่างออกมา
“อันอี้ พาตัวนางออกไปได้แล้ว”
อันอี้ผงกหัว แล้วพาอวี้ตี๋เอ๋อที่ดื้อดึงออกไป
อวี้ตี๋เอ๋อมองไปที่เจียงหวายเย่ด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ และถามด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง “องค์ชายท่านไม่กลัวตายอย่างนั้นเหรอ?”
เจียงหวายเย่นั้นขี้เกียจที่จะสนใจนางแล้ว แต่แล้ว หลินซีเหยียนก็ได้พูดขึ้นมา “ข้านั้นพบว่าองค์ชายเย่นั้นมีพิษเล็กๆเมื่อไม่กี่วันก่อนซึ่งข้าได้รักษาไปแล้วอย่างง่ายดาย”
หลังจากนั้นหลินซีเหยียนกะพริบตาอย่างใสซื่อบริสุทธิ์ นางนั้นไม่คิดเลยว่านางได้ไปทำลายแผนการแต่งงานของใครบางคนเข้าเสียแล้ว ช่างเป็นบาปเสียจริง
“เป็นไปไม่ได้” แล้วอวี้ตี๋เอ๋อก็ได้ถูกพาตัวออกไปด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ
แล้วเรื่องราวของอวี้ตี๋เอ๋อก็ได้แพร่สะพัดออกไปทั่วทั้งพระราชวัง และทุกคนต่างก็รู้เรื่องที่อวี้ตี๋เอ๋อนั้นถูกขับไล่ออกไปจากพระราชวังเพราะว่านางไปทำร้ายแม่นางหลินเข้า
จากเรื่องนี้ทำให้เข้าใจว่าองค์ชายเย่นั้นพอใจแม่นางหลินอย่างมาก ทำให้ผู้คนในพระราชวังรัตติกาลเริ่มมีการเคลื่อนไหว
หลังจากที่ผ่านไปนาน หลินซีเหยียนก็นึกว่าจะมีเพียงแค่อวี้ตี๋เอ๋อคนเดียวที่อยู่ในพระราชวังของเจียงหวายเย่ แต่แล้วนางก็พบเรื่องนี้เข้าในเช้าวันนี้ยามที่นางตื่นขึ้นมา และรู้ถึงความกว้างใหญ่มากเพียงใดของตำหนักในของเจียงหวายเย่ และนางเป็นแค่สาวงามคนหนึ่งในโลกใบนี้เท่านั้น
“แม่นางหลินนั้นช่างคู่ควรแก่การถูกรักโดยองค์ชายแล้ว นางนั้นช่างโผล่มาพร้อมกับความน่ากลัวที่ไม่ธรรมดาจริงๆ” นางนั้นรู้ว่าอวี้ตี๋เอ๋อที่คอยกดหัวพวกนางอยู่นั้นได้ออกไปแล้ว นี่จึงเป็นโอกาสที่พวกนางจะได้เงยหัวขึ้นมา แต่ทว่าพวกนางก็ยังไม่กล้าพอเมื่อพวกนางได้พบหลินซีเหยียน
หลินซีเหยียนนั้นงดงามมาก เป็นความงดงามที่น่าสะพรึงกลัวและน่าอิจฉา
ผิวที่ขาวดุจหิมะ และริมฝีปากที่แดงหวาน คิ้วและตาที่ดูทะนงตน เมื่อทั้งหมดรวมกันช่างดูบริสุทธิ์และน่าหลงใหล ผู้หญิงเช่นนี้จะไม่ทำให้หัวใจของผู้ชายหลงใหลได้อย่างไร?
“ไร้สาระ” หลินซีเหยียนนั้นอยากที่จะโต้เถียง แต่เพราะนางถอนพิษให้องค์ชาย จึงทำให้เขาเชื่อนางมากซึ่งมันคงจะไม่ผิดนักถ้าจะบอกว่าเขานั้นรักนางจริงๆ
“แม่นางหลิน แม่นางอวี้นั้นใช้ร่างกายขององค์ชายเป็นข้ออ้างในการกดหัวพวกเราและกีดกันไม่ให้พวกเราพบองค์ชายมาโดยตลอด แต่ในเวลานี้แม่นางหลินคงไม่ทำเช่นนั้นกับพวกเราสินะเจ้าคะ?” หญิงสาวที่ชื่อว่าเหลียนเซียงได้หลบสายตาลง และพูดอย่างน่าสงสาร
ในเวลานี้หลินซีเหยียนรู้สึกอึดอัดใจขึ้นมา สุขภาพของเจียงหวายเย่นั้นแย่มาก แต่ถ้านางปฏิเสธไปก็คงจะเป็นการไปกดดันพวกนางอีก ในท้ายที่สุดหลินซีเหยียนจึงได้โยนปัญหานี้ให้กับเจียงหวายเย่
“แม่นางทุกท่าน ข้านั้นเป็นเพียงหมอขององค์ชายเท่านั้น พวกท่านจะไปเจอไปพบกับใครนั้นไม่จำเป็นต้องมาถามข้าหรอก”
ผู้หญิงคนหนึ่งที่ท่าทางอวดดีมากในชุดสีแดงได้ยินเข้า ก็รู้สึกดีใจขึ้นมาทันที “ที่แม่นางพูดเป็นเรื่องจริงเหรอ? เจ้าเป็นเพียงแค่หมออย่างนั้นเหรอ?”
หลินซีเหยียนผงกหัว
เมื่อรู้ว่าหลินซีเหยียนนั้นเป็นแค่หมอคนหนึ่ง และในเวลานี้ในพระราชวังรัตติกาลก็ไม่มีใครคอยกดหัวพวกนางแล้ว พวกนางต่างก็พากันแยกย้ายออกไปและคิดหาวิธีการ ในเวลานี้ดวงตาของพวกนางเต็มไปด้วยความต้องการที่จะดึงดูดใจองค์ชายเย่เพื่อที่จะได้เป็นที่โปรดปราน
“ถ้าเช่นนั้นเหลียนเซียงไม่รบกวนแม่นางหลินแล้ว” เหลียนเซียงก็ได้เดินจากไป โดยสาวในชุดแดงก็ได้เดินตามไปติดๆ แล้วห้องของหลินซีเหยียนก็ได้เงียบสงบลงหลังจากนั้น
นางเปิดหน้าต่างออกเพื่อไล่กลิ่นของแป้งที่เต็มห้องของนาง แล้วจากนั้นก็วางแผนที่จะกลับไปยังจวนของมหาเสนาบดี และได้แจ้งไปยังทุกคนอย่างสุภาพว่านาง หลินซีเหยียนกลับมาแล้ว
แต่ก่อนที่นางจะได้ออกมาจากในตำหนัก นางก็รู้สึกได้ว่ามีใครที่ตามหลังนางมา เมื่อหันหลังกลับไปนางก็พบเทียนเอ๋อที่เพิ่งกลับมาจากสนามฝึกซ้อม หลินซีเหยียนนั้นไม่คิดที่จะพาเทียนเอ๋อกลับไปกับนาง เพราะเขายังเด็กนางจึงไม่อยากให้เขาต้องมาเผชิญกับเรื่องติฉินนินทาร่วมกันกับนาง
“ท่านแม่คิดที่จะแอบไปกินอะไรอร่อยๆคนเดียวลับหลังข้าใช่ไหม?” เทียนเอ๋อมองไปที่มารดา ที่อยู่ตรงหน้าราวกับคนร้าย เขาได้เงยหัวขึ้นมาและมองดูนางด้วยสีหน้าโมโห
ซึ่งทำให้บรรยากาศเศร้าๆเมื่อสักครู่กระเจิงหายไปทันที แล้วหลินซีเหยียนก็ได้ดึงหูของเจ้าลูกชิ้นแล้วพูดดุดัน “เจ้าเด็กตัวแสบ แม่ของเจ้าเคยแอบไปกินอะไรคนเดียวเมื่อไรกัน?”
เทียนเอ๋อที่ไม่ยอมเชื่อก็ได้ยกตัวอย่างขึ้นมา “ในคราวก่อนบนเขา ท่านแม่ฉวยโอกาสตอนที่ข้าไม่อยู่แอบออกไปกินไก่ย่างคนเดียว”
“เจ้าเด็กตัวแสบ ในตอนนั้นข้าไปกินซาลาเปาต่างหาก และข้าก็ได้ซื้อกลับมาให้เจ้าไม่ใช่เหรอ?” หลินซีเหยียนโต้แย้ง
“ท่านแม่โกหก วันนั้นข้าได้กลิ่นไก่ย่างจากตัวของท่านแม่”
“มันเป็นอุบัติเหตุ ตอนนั้นแม่มีเงินไม่พอจริงๆ” หลินซีเหยียนกล่าวอย่างโต้แย้งเทียนเอ๋อไม่ได้
เทียนเอ๋อผงกหัวแล้วจากนั้นก็พูดต่อ “แล้วที่โรงเตี๊ยม ท่านแม่ก็ได้แอบกินขนมดอกหอมหมื่นลี้ ลับหลังข้า”
“....นั่นมันยาต่างหาก”
“แล้วระหว่างทางมาเมืองหลวง ท่านแม่ก็แอบกินขนมเปี๊ยะชิ้นสุดท้ายของข้าไป”
“....ขนมเปี๊ยะนั้นมันเปรี้ยวแล้ว แต่เจ้าก็ยังลังเลว่าจะทิ้งหรือไม่ทิ้งดี ข้าก็เลยแอบเอาไปทิ้งให้”
“แล้วยังมีอีกเยอะเลย” เมื่อเห็นว่าหลินซีเหยียนเริ่มที่จะยอมแพ้ เทียนเอ๋อก็ได้ยักคิ้วอย่างภาคภูมิใจ
สุดท้ายหลินซีเหยียนก็ได้ถอนหายใจออกมา “แม่กำลังจะกลับไปที่จวนของมหาเสนาบดี เจ้าจะกลับไปด้วยไหม?”