CD บทที่ 37 ข้อห้าม
จ้าวหยู่กลัวว่าคูปิงจะสามารถไขคดีนี้ได้ก่อน ขณะที่เขากำลังเดินทางไปบ้านของเด็กอัจฉริยะคนนั้น เขายังไม่หยุดใช้เครื่องดักฟังล่องหนเพื่อดักฟังข้อมูลจากทีม B แต่อย่างใด เขาเปิดใช้มันมาราว ๆ สี่สิบเจ็ดชั่วโมงได้แล้ว ยังคงพอมีเวลาให้เหลือใช้อยู่บ้างก่อนที่มันจะดับไป
ตามข้อมูลที่ได้จากการดักฟังพบว่า คูปิงได้ตระหนักถึงความผิดพลาดของทิศทางการสืบสวน เธอจึงได้แก้ไขและกำหนดทิศทางการสืบสวนใหม่ ทีม B เริ่มคาดเดาความเป็นไปได้ว่าอาจจะมีเรื่องของการแก้แค้นเข้ามาเป็นแรงจูงใจให้ก่อเหตุ แล้วยังมีบางคนกล่าวถึงเรื่องเปียโนขึ้นมาอีก ถ้ายังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป ทีม B จะต้องจับทิศทางสืบสวนได้ทันจ้าวหยู่แน่
“บ้าเอ๊ย!” การดักฟังข้อมูลจากทีม B และการมองทางตามแผนที่ไม่ได้ช่วยให้จ้าวหยู่คลายความกังวลลงไปได้เลยแม้แต่น้อย เขาไม่แน่ใจว่าหลักฐานชิ้นใหม่ที่เขาพบอยู่นี้จะช่วยให้เขาเจอตัวคนร้ายได้หรือไม่
ข้อมูลที่อยู่ที่จางจิงเฟิงส่งมาให้เขาคือส่วนหนึ่งในเมืองฉินชาน เขต HY วัดเจียงจุน ถนนหมายเลขที่ 53 ที่อยู่แบบนี้ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีให้พบเห็นมากเท่าไหร่แต่จ้าวหยู่รู้สึกว่ามันมีความเกี่ยวข้องกับคดีนี้อย่างแปลก ๆ พิกล บริเวณรอบ ๆ วัดเจียงจุนคือพื้นที่ที่ทางตำรวจเคยเข้ามาตรวจสอบก่อนหน้านี้แล้ว หลังจากที่คูปิงเคยคาดการณ์ไว้ว่าคนร้ายใช้เส้นนี้เป็นทางหลบหนี หลังจากตัดมือของหลัวเหม่ยนาสำเร็จแต่คนร้ายไม่สามารถถูกจับภาพตามกล้องวงจรปิดใด ๆ ได้ เลย พวกเขาวิเคราะห์กันไปว่าคนร้ายจะต้องมีความคุ้นเคยและชำนาญทางในเส้นนี้พอสมควร มีความเป็นไปได้ว่าคนร้ายอาจจะอาศัยอยู่ที่นี่เลยด้วยซ้ำ!
และดูเหมือนว่าการคาดเดานั่นอาจจะถูกต้อง ตามแผนที่ที่ปรากฏ วัดเจียงจุน ถนนหมายเลข 53 อยู่ห่างออกไปเพียงแค่ร้อยเมตรจากจุดที่รถ BMW ของหลัวเหม่ยนาถูกนำมาจอดทิ้งไว้ ถ้าคนร้ายสามารถเดินได้เร็วมากพอ จากจุดจอดรถจนมาถึงจุดในแผนที่นี้จะใช้เวลาแค่สองนาทีเท่านั้น!!
ด้วยระยะทางสั้น ๆ นั้นทำให้จ้าวหยู่รู้สึกตกใจในความกล้าของคนร้ายไม่น้อยที่เลือกจะก่อเหตุต่อหน้าบ้านของคนอื่น มันทำให้เขารู้สึกแปลกใจมาก
“หรือว่าเรากำลังมาผิดทาง?”
เขาถามกับตัวเองอีกครั้ง เป็นไปได้ไหมว่าสุดท้ายเขาก็พบทางตันในการสืบสวนเข้าอีกรอบ
เนื่องจากความผิดพลาดซ้ำ ๆ ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ทำให้ความมั่นใจของจ้าวหยู่ลดลงไปทีละน้อย เขาคิดว่าเด็กอัจฉริยะคนนั้นคงจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับคดีนี้
‘แล้วถ้าเกิดฉันคิดผิดล่ะ? ฉันควรจะทำอย่างไรดี?’ ความคิดทั้งหลายกำลังขัดแย้งไปมาอยู่ภายในหัว จ้าวหยู่รีบเร่งเครื่องยนต์ให้ไปถึงจุดหมายโดยเร็ว
แม้ว่าวัดเจียงจุนจะเป็นส่วนหนึ่งของเขต HY ก็จริง แต่พื้นที่ตรงนี้เป็นบริเวณแถบ ๆ ชานเมืองฉินชานและเพิ่งได้รับการเข้าร่วมเป็นเขตเมื่อไม่กี่ปีนี้เอง
บ้านส่วนใหญ่ถูกสร้างตามแบบเก่า ๆ ฉบับคนที่ไม่ค่อยมีเงินค่อนไปทางฐานะจน พลเมืองส่วนใหญ่มักจะเรียกพื้นที่ตรงนี้ว่าสลัม ณ ที่นี่ คุณจะได้พบกับผู้คนหลากหลายประเภทที่อาศัยอยู่ร่วมกัน จะเป็นพวกชาวแรงงานต่างชาติซะส่วนใหญ่และก็มีบางคนที่ทำมาค้าขายสิ่งของผิดกฎหมาย
เมื่อมาถึงตรงเขตวัดเจียงจุน ถนนหมายเลข 35 ตังบ้านมีสภาพที่ค่อนข้างเก่าและผุพังไม่ต่างอะไรจากบ้านคนอื่น ๆ ในละแวกนี้ จากด้านนอก คุณจะสามารถมองเห็นได้ว่ามีเพียงสามห้องและพื้นที่สวนหญ้าเล็ก ๆ เท่านั้น ผนังกำแพงก็เอนเอียงออกเล็กน้อยแสดงบ่งบอกถึงความไม่มั่นคงแต่อย่างใด
“ไม่มีทาง?” จ้าวหยู่คิดไม่ออกเลยว่าครอบครัวของหลี่ดันจะมีความเป็นอยู่แบบนี้ได้จริง ๆ เขามองประตูเหล็กที่น่าเกลียด ก่อนที่จะแสดงความสงสัยเต็มไปหมด
ขณะเคาะประตูบานนั้น มีเสียงตอบรับเป็นเสียงผู้หญิงที่ค่อนข้างเบาดังขึ้นมาในทันที “นั่นใครน่ะ?”
จ้าวหยู่ไม่ได้ตอบกลับไป เขามองผ่านช่องโหว่ของประตูแล้วพบกับหญิงชราคนหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นคนที่ตอบรับเขาเมื่อสักครู่นี้ จ้าวหยู่จึงเอ่ยถามออกไปอย่างระมัดระวังอีกครั้ง
“เอ่อ ขอโทษนะครับ ที่นี่ใช่บ้านของครอบครัวของคุณเฮาเฟิงเหลียนหรือเปล่าครับ?”
“ใช่ ๆ รอเดี๋ยวนะ”
“โอ้?” ดวงตาของจ้าวหยู่รู้สึกสว่างสดใสขึ้นมาทันที เขารู้สึกประหลาดใจที่เป็นที่อยู่ของเฮาเฟิงเหลียงจริง ๆ ดูเหมือนว่าข้อมูลในบันทึกทางการแพทย์ฉบับนั้นจะเป็นข้อมูลจริงที่ไม่ได้ถูกจัดแต่งขึ้นมา
ประตูแย้มเปิดออกมาเผยให้เห็นร่างที่อ่อนแอของหญิงชราคนหนึ่ง ใบหน้าเธอดูซีดเซียวไปตามวัยแต่ยังคงเห็นได้ชัดว่าเธอมีโครงหน้าที่ดูอ่อนโยนและใจดี
ทันทีที่หญิงชราคนนั้นตอบรับ จนจ้าวหยู่ได้มายืนอยู่ตรงหน้าเธอ เธอดูไม่แปลกใจเท่าไหร่กับการมาถึงของจ้าวหยู่ เหมือนกับว่าเธอไม่ได้คาดเดาเอาไว้เลยว่าจ้าวหยู่เป็นใครมาทำอะไรที่นี่
“พ่อหนุ่ม เธอมีธุระอะไรหรือ?”
“โอ้ เอ่อ สวัสดีครับ” จ้าวหยู่ตอบกลับ “ผมเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผมต้องการเข้ามาตรวจสอบข้อมูลอะไรบางอย่างน่าครับ รบกวนช่วยให้ความร่วมมือในการสืบสวนครั้งนี้ด้วยนะครับ”
“โอ้ คุณตำรวจนี่เอง เข้ามาก่อนสิ เข้ามา ๆ เราจะได้นั่งพูดคุยกันได้สบาย ๆ” หญิงชราไม่ได้เกิดอาการตกใจแต่อย่างใด กลับกันยังเชิญเขาเข้าบ้านมาง่าย ๆ เสียด้วย “แล้วคุณตำรวจจะมาสอบถามเรื่องอะไรกันล่ะ?”
เดิมทีจ้าวหยู่คาดเดาเอาไว้ว่า ทันทีที่เขาเปิดเผยตัวตนจริง ๆ ไป เขาจะสามารถจับพิรุธคนอื่น ๆ ได้ ว่ามีการแสดงออกมาในรูปแบบแบบใดและกำลังหลบซ่อนอะไรไว้อยู่หรือไม่ แต่เห็นได้ชัดว่าหญิงชราตรงหน้าเขานี้มีท่าทีที่สงบนิ่งตามปกติ จ้าวหยู่รู้สึกผิดหวังขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เขาคิดว่าการมาถึงที่นี่คงเป็นเรื่องให้เสียเวลาเข้าอีกครั้ง
หญิงชราเดินนำทางจ้าวหยู่เข้าไปด้านใน ภายในบ้านถูกตกแต่งเอาไว้แบบเรียบง่าย ใครเห็นต่างก็สามารถบอกได้ว่าความเป็นอยู่ของคนที่บ้านหลังนี้มีฐานะที่ค่อนข้างยากจน
“ฉันไม่ค่อยได้ออกไปไหนนักหรอก ฉันกำลังป่วยอยู่น่ะคุณตำรวจ” หญิงชรายื่นเก้าอี้พลาสติกให้จ้าวหยู่นั่งและเอ่ยถามขึ้น “เธอต้องการรู้อะไรหรือพ่อหนุ่ม?”
จ้าวหยู่ก้มมองดูบันทึกทางการแพทย์ของหญิงชราและได้รู้ข้อมูลที่ชัดเจนเพิ่มเติมขึ้นในทันทีว่าทำไมเธอถึงมีดูป่วยได้ขนาดนี้ เมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว เธอเข้ารับการผ่าตัดมะเร็งบริเวณกระเพาะอาหารที่โรงพยาบาลกลาง โชคร้ายที่เธอได้รับผลกระทบหลังมาด้วย เธอใช้เวลานานอยู่เก้าเดือนเพื่อเข้ารับการบำบัดทางเคมี นี่จึงเห็นสาเหตุที่ทำให้เธอสูญเสียเส้นผมไปจนหมดแต่เรื่องนั้นไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสืบสวนแต่อย่างใด เขาเลยไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่จะต้องพูดถึงเรื่องนี้
“ผมแค่จะมาสอบถามเรื่องสภาพความเป็นอยู่ก็เท่านั้นน่ะครับ” จ้าวหยู่เจาะเข้าตรงประเด็นในทันที “คุณมีลูกสาวชื่อหลี่ดันหรือเปล่าครับ?”
“ใช่จ๊ะ” หญิงชราตอบ “แต่ตอนนี้เธอไม่ได้ชื่อนั้นมานานแล้วนะ เธอเปลี่ยนชื่อตัวเองใหม่แล้ว ตอนนี้เธอมีชื่อว่าหลี่หยุนเซียว”
‘หลี่หยุนเซียว? จ้าวหยู่หยุดคิดสักครู่หนึ่งแล้วเริ่มถามต่อ “คุณได้อาศัยร่วมกับลูกสาวอยู่หรือเปล่าครับ?”
“แน่นอนสิจ๊ะ” เธอตอบด้วยความจริงใจ “พ่อเฒ่าเพิ่งเสียไปได้ไม่นานนี้เอง เหลือแค่ฉันกับลูกสาวใช้ชีวิตกันสองคนตามลำพัง ลูกสาวฉันแกเป็นเด็กดีอยู่ในโอวาทมากนะ ทุก ๆ อย่างไม่ว่าจะข้างในบ้านหรือนอกบ้านเธอจะเป็นดูแลทั้งหมดด้วยตัวเอง!”
“โอ้…” เขานึกไม่ถึงว่าเด็กอัจฉริยะคนนี้จะสูญเสียพ่อไปแล้ว ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้าเหลือเกิน “แล้วตอนนี้ลูกสาวคุณกำลังทำงานอะไรอยู่หรือครับ?”
“ลูกสาวฉันเป็นเด็กมากความสามารถมากเลยนะคุณตำรวจ” ทันทีที่พูดถึงเรื่องลูกสาว สีหน้าของหญิงชราก็ดูสดใสขึ้นมาทันที เป็นสีหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความภูมิใจและชื่นชม “ช่วงที่ผ่านมาเธอทำงานเยอะแยะเต็มไปหมด ทำพวกงานพาร์ทไทม์บ้าง เช่นพวกขับรถส่งคนเอย พยาบาลเอย ล่าสุดเธอได้เข้าทำงานที่คณะโรงละครแห่งหนึ่งน่ะ” เธอยังพูดต่ออีกว่า “แต่เธอมีช่วงเวลาที่ยากลำบากมากที่ต้องคอยมาดูแลคนแก่อย่างฉันน่ะสิ เธอเลยไม่มีเวลาได้มองหาสามีเป็นตัวเป็นตนเข้าสักที! คุณตำรวจเองก็ดูเข้าท่านะ ลองมาเจอกับลูกสาวฉันสักหน่อยไหม?”
'อะไรนะ? ลูกสาวของคุณทำงานให้กับโรงละคร?' จ้าวหยู่คิดอยู่ภายในใจตัวเอง นึกย้อนไปถึงหลักฐานที่ได้จากรถ BWM ที่เป็นฟิล์มติดกระจกรถจากโรงละคร หรือว่า…
จ้าวหยู่เริ่มถามคำถามอย่างละเอียดอีกครั้ง “ผมอยากรู้ว่า ลูกสาวของคุณเคยเล่นเปียโนด้วย…ใช่ไหมครับ?”
“เอ่อ…”
ทันทีที่จ้าวหยู่เอ่ยถึงเรื่องเปียโน ท่าทางการแสดงออกของหญิงชราก็เปลี่ยนไปในทันที เธอยืนขึ้นพลางตะโกนพูดขึ้นมาอย่างรวดเร็วว่า
“นี่! คุณตำรวจ ได้โปรดอย่าเอ่ยถึงเรื่องเปียโนอีกเลยนะ ถ้าลูกสาวของฉันได้ยินเข้า มันจะไม่ดี มันเป็นคำต้องห้ามของครอบครัวเราน่ะ!”