บทที่ 6 ช่างหัวมันความอ่อนแอ
บทที่ 6
ช่างหัวมันความอ่อนแอ
เซียวเป่าเอ๋อร์ที่พบว่าตอนนี้มืดแล้วจึงได้รีบวิ่งออกจากบ้านของท่านป้าด้วยความตื่นตระหนก แรงลมพัดผ่านใบหน้าเขา แล้วทันใดนั้นเองร่างเล็ก ๆ ของเขาก็รู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นตามด้วยเม็ดฝนที่หยดลงใส่เขาอย่างนุ่มนวล
ตอนนั้นเองแสงฟ้าแลบตัดผ่านท้องฟ้ายามค่ำคืน แล้วก็ตามมาด้วยเสียงฟ้าร้องที่ดังอื้ออึงจนแสบแก้วหู เซียวเป่าเอ๋อร์ตกใจกลัวจนเอาหน้าทิ่มลงไปในโคลน ฝนห่าใหญ่ก็เทลงมา ในเวลานี้ใบหน้าของเซียวเป่าเอ๋อร์นั้นเต็มไปด้วยโคลน
“ท่านยาย ท่านแม่.....” เจ้าตัวน้อยยกมือขึ้นมาเช็ดโคลนบนใบหน้าของเขา เนื้อตัวยังเปียกมะล่อกมะแล่กไปด้วยน้ำฝนอีกต่างหาก
ร่างน้อย ๆ ของเขาลุกขึ้นมาจากพื้นแล้วมุ่งหน้าไปที่บ้านโทรม ๆ ด้วยแสงจากฟ้าแลบและความทรงจำ แต่ก่อนที่เท้าของเขาจะได้เข้าไปในบ้าน เขาก็ต้องตกตะลึงเมื่อพบท่านยายของเขาล้มอยู่ในบ้าน
“ท่านยาย....”
ช่างโชคร้ายซ้ำซ้อนอะไรเช่นนี้ ในเวลานี้ทั้งท่านป้าและท่านแม่ต่างก็ไม่อยู่สักคน ไม่มีใครอื่นอยู่ในบ้านนี้เลยนอกไปจากผู้ป่วยใกล้ตายคนหนึ่ง
เซียวเป่าเอ๋อร์ได้แต่เดินโซเซไปหาแล้วคุกเข่าลงตรงหน้านางหวัง มือเล็กเขย่านางหวังแล้วร้องไห้
“ท่านยายตื่นเถอะ ท่านจะมานอนบนพื้นอย่างนี้ไม่ได้นะ? ตอนนี้ยิ่งฝนตกฟ้าร้องอยู่ด้วย ทั้งท่านแม่และท่านป้าต่างก็ไม่อยู่ที่นี่ เป่าเอ๋อร์กลัวนะขอรับ”
เขาทั้งเขย่าทั้งเรียก แต่นางหวังก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาโต้ตอบกลับมาเลย เซียวเป่าเอ๋อร์รู้สึกกลัวมาก แต่หลังจากที่ตรวจลมหายใจแล้วเซียวเป่าเอ๋อร์ถึงได้รู้สึกโล่งอก อย่างน้อยท่านยายก็ยังหายใจอยู่ ด้วยร่างกายเล็ก ๆ ของเขาทำได้เพียงพยายามลากนางหวังเข้ามาในห้อง แต่นางหวังก็ไม่ขยับแม้แต่น้อยแม้ว่าเขาจะใช้แรงเต็มที่แล้วก็ตาม
ท่ามกลางค่ำคืนที่ฝนตกฟ้าร้องเช่นนี้บ้านมืดสนิท นางหวังล้มนอนอยู่ที่พื้นเซียวเป่าเอ๋อร์พยายามตั้งสติ แล้วปิดประตูหน้าต่างจากนั้นเด็กน้อยก็มองหาที่นอนมาห่มนางหวังแล้วนอนกอดอยู่ข้าง ๆ นางแน่น
“ท่านยายตื่น อย่าทำให้เป่าเอ๋อร์กลัวสิ เป่าเอ๋อร์กลัวจริง ๆ นะ”
มีเสียงฟ้าร้อง เสียงลมพายุและยังเสียงเอี๊ยดอ๊าดอยู่ทุกหนทุกแห่ง ราวกับว่าสายลมนั้นต้องการที่จะยกบ้านหลังนี้ขึ้นมา เซียวเป่าเอ๋อร์ได้แต่กอดนางหวังแน่นและเริ่มมีน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาของเขา เด็กชายมองไปที่ลานบ้านผ่านรอยแตกของประตูด้วยความหวังว่าท่านแม่หรือป้าของเขาจะกลับมาเร็ว ๆ
แสงฟ้าแลบปรากฏขึ้น แต่เซียวเป่าเอ๋อร์ที่กำลังกลัวมองเห็นเงาแปลก ๆ ซึ่งเป็นแม่ของเขาที่กำลังแบกตะกร้าไว้บนหลังของนาง เขาจึงได้ลุกขึ้นยืนอย่างตื่นเต้น วิ่งไปเปิดประตูแล้วตะโกนเรียกเซียวหลีที่อยู่ที่ลานกว้าง “ท่านแม่ มานี่หน่อยขอรับ ท่านยายสลบไปแล้ว”
เมื่อได้ยินเสียงเรียกแว่ว ๆ เซียวหลีหันหน้าไปมาเพราะนางได้ยินเหมือนมีใครกำลังเรียกนาง แต่นางก็ได้ยินไม่ชัดว่าเซียวเป่าเอ๋อร์พูดอะไร แต่นางมองเห็นเซียวเป่าเอ๋อร์กับนางหวังที่อยู่ข้างหลังเขา นางตกใจมากจึงรีบวิ่งไปหาเซียวเป่าเอ๋อร์
“ลูกรัก เกิดอะไรขึ้นกับท่านยายเหรอ?”
“ท่านแม่ ท่านยายสลบไปขอรับ” เซียวเป่าเอ๋อร์กล่าวทั้งน้ำตา เขาได้เช็ดน้ำตาแล้วโผเข้าอ้อมแขนของเซียวหลี
ไม่ว่าเซียวหลีจะโง่เพียงใด แต่นางก็ยังเป็นเหมือนเสาหลักของเขา
“โอ๊ย!” เซียวหลีร้องด้วยความเจ็บปวด ทำให้ เซียวเป่าเอ๋อร์ตกใจมาก เมื่อแสงฟ้าแลบส่องเข้ามา เด็กชายพบว่าแม่ของเขามีบาดแผลทั่วตัว นอกจากเนื้อตัวจะเปื้อนดินเต็มไปหมดแล้ว ยังมีเลือดแดง ๆ เปื้อนอยู่ตามข้อศอกและหัวเข่าด้วย และเลือดก็ยังไหลอยู่
หวา.....
“ท่านแม่ ทำไมท่านถึงได้โชคร้ายบาดเจ็บสองหนในวันเดียวได้เนี่ย ท่านยายก็สลบไปอีก บาดแผลที่หัวของท่านยังไม่หายดีเลย นี่ได้บาดแผลที่เข่ากับศอกมาเพิ่มอีก ท่านแม่ไปที่ไหนมา?”
เซียวเป่าเอ๋อร์ร้องไห้ออกมา ทำเอาเซียวหลีพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ นางตบหลังของเซียวเป่าเอ๋อร์เบา ๆ แล้วกล่าว “แม่ไม่เป็นอะไรหรอก แม่แค่คิดว่าจะช่วยใครก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด แม่เลยขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรน่ะ”
ขณะที่พูดนางก็รีบไปจับชีพจรของนางหวัง ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนถอนหายใจอย่างโล่งอก นี่เป็นอาการโลหิตจางที่เกิดจากการขาดสารอาหาร ประกอบกับความหิวอย่างมากและน้ำตาลในเลือดต่ำ นางจึงสลบไปเช่นนี้
กล่าวตามตรง เซียวหลีรู้สึกช่วยไม่ได้เช่นกัน ครอบครัวนี้มีปัญหามากเกินไป
“เป่าเอ๋อร์ ป้าของเจ้าไปไหน? นางยังไม่กลับมาอีกเหรอ?” แม้ว่าเซียวหลีจะรู้ว่าถามไปก็เปล่าประโยชน์ ถ้า เซียวเยี่ยนอยู่ล่ะก็ นางหวังจะมานอนกับพื้นแบบนี้ได้อย่างไร?
แม้จะเวียนหัวและรู้สึกเจ็บที่แผลตามมือและเท้า ในที่สุดนางและเซียวเป่าเอ๋อร์ก็สามารถประคองนางหวังไปนอนบนเตียงได้
เซียวเป่าเอ๋อร์เป็นเด็กรู้ความ เขาปิดประตูหน้าต่างเรียบร้อย และนำเทียนแดงที่นางหวังเก็บเอาไว้นานหลายปีออกมา ภายในห้องก็สว่างไสวขึ้นมา
“แล้วคุณลุงแปลกหน้าที่อยู่ในบ้านป้าของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? เขายังมีชีวิตอยู่ไหม?” เซียวหลีถามขณะที่ห่มผ้าห่มให้นางหวัง “เจ้าดูแลท่านยายที่นี่ ท่านยายแค่หิวและสลบไป ไม่ได้เป็นอะไรมาก”
จ๊อก.....
เสียงท้องร้องของเซียวเป่าเอ๋อร์ประท้วงขึ้น วันนี้เขาได้เพียงดื่มน้ำสองชามเท่านั้น เขาก็รู้สึกเวียนหัวเหมือนกัน “ท่านลุงแปลกหน้าฟื้นแล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้อยู่ในสภาพอันตรายถึงชีวิต”
เขารู้สึกว่าเขากำลังจะเป็นลมจากความหิว
เสียงพายุฝนนั้นดังมากจนเซียวหลีไม่ได้ยินเสียงท้องร้องของเซียวเป่าเอ๋อร์ แต่นางก็รู้ว่าเซียวเป่าเอ๋อร์ไม่ได้ทานอะไรมา 1 วันเต็ม ๆ แล้ว
เซียวหลีจับใบหน้าที่น่าสงสารของเซียวเป่าเอ๋อร์และเสื้อผ้าที่เปียกของเขา “เป่าเอ๋อร์เจ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าตัวเองได้ไหม?”
เซียวเป่าเอ๋อร์พยักหน้า “เป่าเอ๋อร์ทำเองได้ทุกอย่างขอรับ”
เซียวหลียิ้มแล้วพยักหน้า “ตอนนี้ลุงแปลกหน้าคนนั้นคงจะตกอยู่ในอันตราย ท่านยายก็เช่นกัน ดังนั้นตอนนี้แม่คงไม่สามารถดูแลเจ้าได้นะ”
เซียวเป่าเอ๋อร์ยิ้ม “อื้ม”
ในขณะที่กำลังคุยกัน เซียวหลีเดินกะเผลกไปที่ห้องครัวพร้อมตะกร้าบนหลัง เซียวเป่าเอ๋อร์เดินตามพร้อมถือเทียนไขส่องทางให้นาง
“ท่านแม่ เป่าเอ๋อร์ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะขอรับ”
เซียวหลีผงกหัว “ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปอยู่กับท่านยายก่อนนะ”
เซียวเป่าเอ๋อร์มองไปที่ท่านแม่ของเขาอย่างไม่เต็มใจ เขารู้สึกว่าท่านแม่ของเขาเปลี่ยนไปอยู่ดี แต่เขาบอกไม่ได้ว่าเปลี่ยนไปตรงไหน เขาลูบท้องที่กำลังประท้วงของเขา แล้วคิดว่าเขาควรไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีกว่า ถ้าหากเขาไม่สบายจะทำให้เรื่องแย่ลง
ท่านแม่เพิ่งหายจากอาการบาดเจ็บสาหัสได้รับบาดเจ็บอีกครั้ง ท่านป้าคงไม่กลับบ้านคืนนี้ วันนี้คงจะไม่มีอะไรให้กินเหมือนเดิม คืนนี้ดื่มน้ำสัก 2 ชามแล้วอดทนให้ผ่านไปก่อน พรุ่งนี้เขาจะไปที่ภูเขารอบ ๆ แล้วหารากไม้กับผลไม้ป่ามาให้ท่านยายกับท่านแม่กิน
เซียวหลีจ้องไปที่แผ่นหลังน้อย ๆ ของเขาและสาบานในใจว่าเมื่อเจ้าของร่างนี้ได้เลือกนางมาเกิดใหม่เพื่อดูแลนางหวังและเซียวเป่าเอ๋อร์แล้ว นางจะต้องทำให้สำเร็จอย่างแน่นอน เพียงแค่ให้เวลากับนางสักหน่อยเท่านั้น
นางมองไปที่สมุนไพรที่เก็บมาจากภูเขาและเนื้อสัตว์ที่นางล่ามาด้วย ถึงแม้ว่าจะมีไม่มากนัก แค่ไก่ฟ้า 2 ตัวกับกระต่าย 1 ตัวแต่ก็เพียงพอที่จะเป็นอาหารไปได้ 1 วันแล้ว
จุดไฟ ต้มน้ำ ทำความสะอาดบาดแผลที่มือและเท้าของนาง ก่อนกลับไปที่ห้องเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า
ในเวลานี้นางคิดถึงครูและเพื่อนที่อยู่ห่างไกล…ในยุคปัจจุบัน หัวใจของนางเต็มไปด้วยความโศกเศร้า โชคชะตาช่างเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดจริง ๆ
โชคดีที่นางเป็นหน่วยพิเศษ ได้ลงภาคสนามบ่อยครั้งเพื่อทำภารกิจพิเศษ และมักจะต้องเดินผ่านกลางป่าทึบ ภายใต้สถานการณ์ที่ยากลำบากนางถึงได้มีความสามารถในการเอาตัวรอด
เมื่อคิดได้เช่นนี้นางก็นึกขอบคุณครูฝึกของนางที่เคยสอนวิชาลับสุดยอดทางการแพทย์และสอนวิชาการเอาตัวรอดให้
“ท่านแม่....ท่านกำลังทำอะไรอยู่ ท่านลืมแล้วเหรอว่าในบ้านไม่มีข้าวเหลือแล้ว”
ไม่มีข้าวอยู่ในห้องครัวเลย เซียวเป่าเอ๋อร์ไม่เข้าใจว่าแม่ของเขาเข้ามาทำอะไรในครัว เขาที่อยู่กับท่านยายก็พลันนึกขึ้นได้ว่าท่านแม่เองก็คงไม่ได้ทานอะไรเหมือนกัน จึงกลัวว่าท่านแม่ที่บาดเจ็บอยู่อาจจะหิวจนเป็นลม เขารู้สึกกลัวแทบขาดใจ
“แม่ไม่รู้หรอกนะว่ามีข้าวเหลืออยู่ในบ้านหรือไม่ แต่แม่ได้ไก่ฟ้ากลับมา เป่าเอ๋อร์อยากกินรึเปล่า?”
“อะไรนะ? ไก่ฟ้า?” เซียวเป่าเอ๋อร์วิ่งไปหาเซียวหลีอย่างไม่น่าเชื่อสายตา เขามองดูไก่ฟ้าในตะกร้า “มีกระต่ายป่าด้วย”
เขาทั้งตกใจและไม่อยากเชื่อ “ท่านแม่ ทำไมท่านถึงได้เก่งขนาดนี้? เป่าเอ๋อร์รักท่านแม่มากที่สุด เป่าเอ๋อร์หิวมาก”
“เป่าเอ๋อร์ยิ้มแล้วน่ารักมาก ในอนาคตต้องยิ้มให้บ่อยขึ้นนะ”
“ท่านแม่ หลังจากนี้ท่านยังสามารถไปจับได้อีกใช่ไหม?”
“แน่นอนสิ”
“เยี่ยมไปเลย....” เซียวเป่าเอ๋อร์กระโดดไปรอบ ๆ ด้วยความตื่นเต้น “ท่านแม่เก่งที่สุด ท่านแม่น่าจะทำแบบนี้ตั้งนานแล้ว อย่างที่ท่านลุงเหวินไฉว่าเอาไว้ ช่างหัวมันสิความอ่อนแอ ใช่แล้วช่างหัวมันความอ่อนแอ”