บทที่ 2 เจ้าตัวแสบตัวน้อย
บทที่ 2
เจ้าตัวแสบตัวน้อย
เซียวหลีมีใบหน้ามืดครึ้มขึ้นมา และขณะที่นางกำลังยกมือขึ้นมา เซียวเป่าเอ๋อร์รีบตะโกน “ท่านยาย ท่านแม่กำลังจะใช้กำลังทำร้ายก้นของเป่าเอ๋อร์”
“เจ้าตัวแสบนี่” เซียวหลียกมือขึ้นมาเช็ดจุดดำ ๆ ที่หน้าผากของเขา “นี่เจ้าไม่ล้างหน้าบ้างหรืออย่างไร?”
“ล้างแล้ว ๆ” เซียวเป่าเอ๋อร์รู้สึกประหลาดใจและนิ่งไปชั่วขณะ สงสัยพระอาทิตย์จะได้ขึ้นทางตะวันตกแน่ ๆ
แล้วเขาก็พูดออกมา “ท่านแม่ ถ้าหากท่านรู้ความจริงข้อนี้นานแล้ว เป่าเอ๋อร์คงไม่รู้ว่าจะชื่นชมท่านมากขนาดไหนแล้ว”
เซียวหลียิ้มแล้วคิดเกี่ยวกับร่างกายที่อ่อนแอของนางตอนนี้ ต่อให้เจ้าของร่างเดิมนั้นแข็งแกร่งกว่านี้ เกรงว่าก็คงตายในไม่ช้าก็เร็วอยู่ดี
แล้วถ้าเป็นนางล่ะ?
อย่างน้อยนางก็เรียนซ่านโฉ่วมาบ้าง แล้วยังมีวิชาจิ่วต้วนจินหลงติดตัวของนางอีก
นางมองไปที่เซียวเป่าเอ๋อร์ที่ถึงจะตัวผอมบาง แต่สมองของเด็กคนนี้อาจจะดีกว่าเจ้าของร่างเสียอีก ทำให้นางรู้สึกรักใคร่เขาขึ้นมาจนอดไม่ได้ที่จะอุ้มเขายกขึ้นลงแล้วกล่าว
“เด็กดีขนาดนี้ แม่จะไปรังแกเจ้าได้อย่างไร? ต่อจากนี้งานแรกของแม่คือเลี้ยงเป่าเอ๋อร์ให้ขาว ๆ อ้วน ๆ เลย”
ฮะ ๆๆ
เซียวเป่าเอ๋อร์หัวเราะเสียงดัง เขาไม่เคยหัวเราะอย่างมีความสุขเช่นนี้มาก่อนเลย แม่ของเขาสลบไปแล้วก็ตื่นขึ้นมาแต่เหมือนกับว่านางเข้าฌานแล้วบรรลุอะไรบางอย่างในใจของนางได้อย่างไรอย่างนั้น สงสัยในที่สุดสวรรค์คงได้ยินคำขอของ เป่าเอ๋อร์ที่ทำให้แม่ของเขาฉลาดและรักเขามากขึ้น
นางหวังแอบเช็ดน้ำตา ครอบครัวนางไม่ได้ยินเสียงหัวเราะเช่นนี้มานานขนาดไหนแล้ว? 3 ปี 5 ปี หรืออาจจะมากกว่า 10 ปีแล้ว?
นางไม่เคยคิดเช่นนี้มาก่อนเลย นางถูกรังแกมาตลอดชีวิตพร้อมลูกสาวทั้งสองของนาง นางจึงเกลียดที่ตามองไม่เห็นแบบนี้ทำให้ไม่สามารถสู้กับพวกผู้ใหญ่เหล่านั้นได้อย่างที่ เซียวหลีพูดเมื่อสักครู่
“จะว่าไปผู้ชายที่ข้าช่วยไว้เมื่อวานอยู่ไหนแล้ว? เขายังมีชีวิตอยู่รึเปล่า? ช่วยพาแม่ไปหาเขาหน่อยสิ” เซียวหลีกล่าวแล้วลุกจากเตียงแต่ทันทีที่นางลุกขึ้น นางกลับรู้สึกมึนหัวขึ้นมาชั่วขณะ โชคยังดีที่นางไม่ได้ล้มลงไปฟาดกับขอบเตียง
“ท่านแม่ ท่านแม่ควรที่จะพักผ่อนต่ออีกหน่อยดีกว่า อย่าห่วงแต่จะดูผู้ชายรูปงามไม่รู้วันรู้คืนเหมือนอย่างท่านป้าเลย”
“เจ้าพูดอะไรอย่างนั้น” เซียวหลีพยายามตั้งสติ พอไม่รู้สึกเวียนหัวแล้วก็ยกมือเขกไปที่หัวของเจ้าแตงโมน้อยสักรอบ
เซียวเป่าเอ๋อร์พ่นลมออกทางจมูกแล้ววิ่งไปดึงชายเสื้อของนางหวัง
นางหวังเองก็ได้กล่าว “หลีเอ๋อร์ข้าว่าเจ้ายังจำเป็นต้องพักผ่อนอีกหน่อยนะ”
เนื่องจากครอบครัวของนางยากจน ทำให้นางไม่อาจนอนอยู่เฉย ๆ รอความตายได้ หากครอบครัวยังเป็นเช่นนี้อยู่นางจะสามารถเชิดหน้าแล้วหาทางร่ำรวยเพื่อไปให้ถึงจุดสูงสุดของชีวิตนางได้อย่างไร?
แล้วจะให้นางลืมชายที่ทำให้เจ้าของร่างนี้ต้องออกจากร่างนางไปได้อย่างไร? อย่างน้อย ๆ นางก็เป็น ‘ผู้มีพระคุณ’ ของเขา
นางหวังโคลงศีรษะไปมา แต่เซียวเป่าเอ๋อร์ยังไม่พอใจแล้วบ่นพึมพำออกมา “ท่านแม่น่ะถูกไม้คานฟาดแทนท่านป้าแท้ ๆ แต่ท่านป้ากลับไม่สนใจท่านแม่สักนิด ไปสนใจแต่คนแปลกหน้าคนนั้น”
เซียวหลีตกใจแล้วผงกหัว คำพูดของเด็กไม่มีอ้อมค้อมดังนั้นที่พูดมาก็จะต้องมีความจริงอยู่บ้าง แต่จากในความทรงจำของเจ้าของร่างแล้ว เหมือนว่าพี่สาวของนางจะดีกับนางอย่างมาก บางทีเรื่องนี้อาจจะมีอะไรไม่ชอบมาพากลอยู่
เนื่องจากนางหวังนั้นมองไม่เห็น นางเลยไม่รู้ว่าเซียวหลีกำลังคิดอะไรอยู่จึงได้กล่าวออกมา “เยี่ยนเอ๋อร์บอกว่าชายคนนั้นแต่งตัวดี ดูแล้วน่าจะเป็นทายาทของตระกูลมีเงินเป็นแน่ ถ้าหากเขาไม่พอใจขึ้นมาเกรงว่าเขาอาจจะโทษพวกเราก็ได้”
เซียวหลีเพิ่งเคยได้ยินเรื่องแบบนี้เป็นครั้งแรก
บางทีอาจเป็นเพราะครอบครัวของนางยากจน พวกเขาจึงได้ปฏิบัติกับคนรวยต่างออกไป? บางทีพี่สาวของ นางเซียวเยี่ยนก็คิดเช่นนั้นด้วยอย่างนั้นเหรอ?
เซียวเป่าเอ๋อร์เดินนำหน้าแล้วจูงมือของเซียวหลี เมื่อเดินมาถึงบ้านของเซียวเยี่ยนแล้วนางมองดูอย่างถี่ถ้วน ซึ่งมันต่างจากที่นางคิดเอาไว้มากนัก ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ใช้ไม้ที่มีราคาแพงอะไร แต่กำแพงก็ได้ถูกทาด้วยสีเขียวและแดง
ทั้ง ๆ ที่ครอบครัวของนางยากจนแต่เซียวเยี่ยนกลับอาศัยอยู่ในบ้านใหม่แถมยังมีขนาดใหญ่อีกต่างหาก
พอเซียวหลีคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาก็รู้สึกปวดหัว จึงได้แต่เลิกคิดเรื่องนี้แล้วก้มหน้าหันไปมองเซียวเป่าเอ๋อร์พลางกล่าว “ลูกรัก เกรงว่าจะเป็นเพราะอาการบาดเจ็บของแม่ยังไม่หายดี ดูเหมือนว่าแม่จะจำอะไรไม่ค่อยได้มากนัก”
เซียวเป่าเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ตกใจแล้วจับมือของเซียวหลีแน่น เขามองไปที่เซียวหลีอย่างแน่วแน่กะพริบดวงตากลมโตของเขาแล้วกล่าว “ท่านแม่อยากรู้เรื่องอะไรเหรอขอรับ?”
“เก่งมาก”
เซียวหลีพยักหน้าอย่างพอใจแล้วเผยรอยยิ้มของนางออกมา เด็กคนนี้เป็นเด็กที่ฉลาดจริง ๆ มิน่าสวรรค์ถึงได้ชื่นชอบเขานัก
เซียวเป่าเอ๋อร์ตกตะลึง เขาไม่เคยเห็นแม่ของเขายิ้มมาก่อนเลย ทั้งที่ไม่ได้เป็นอะไรแต่เขากลับก้าวขาไม่ออกจึงได้แต่ยืนนิ่ง “ท่านแม่ รอยยิ้มของท่านงดงามมาก เป่าเอ๋อร์ไม่เคยเห็นท่านแม่งดงามขนาดนี้มาก่อนเลย”
มันเป็นเรื่องที่ยากสำหรับเด็กชายจริง ๆ เขาไม่เคยเห็นรอยยิ้มของแม่เลยสักครั้ง
เซียวหลีชอบที่จะได้ยินคนชมนางเช่นนี้ นางมองไปที่เจ้าตัวแสบแล้วกล่าว “งั้นต่อไปนี้แม่จะมีความสุขกับเป่าเอ๋อร์ทุกวัน แล้วเป่าเอ๋อร์ก็จะได้เห็นแม่ยิ้มทุกวัน ตกลงไหม?”
เซียวเป่าเอ๋อร์ไอกระแอมสองหน เขาสงสัยว่าท่านแม่ของเขากลายเป็นคนที่ขี้เล่นและน่ารักเช่นนี้ไปได้อย่างไร ยิ่งมองนางมากเท่าไรก็ยิ่งพบว่านางดูสวยขึ้นเท่านั้น
“ทุกคนในตระกูลบอกว่าไม่รู้ว่าท่านป้าออกไปทำอะไรข้างนอกบ้าง แต่ทุกอย่างที่ป้าได้มาก็ถูกส่งให้ตระกูลทั้งหมด”
เซียวหลีส่งเสียง “อืม” เหมือนเข้าใจแล้วออกมา แต่ก็ยังถามออกมาเบา ๆ “ถ้าอย่างนั้นทำไมพวกเราถึงได้อาศัยอยู่ที่บ้านโทรม ๆ เหมือนเล้าหมูหลังนั้น?”
เซียวเป่าเอ๋อร์ถลึงตาใส่เซียวหลี เขานึกว่านางน่าจะฉลาดขึ้นแล้ว แต่นางก็ยังโง่อยู่ดี เขาจึงได้โมโหขึ้นมา เพราะเขามีผู้หญิงที่โง่อย่างนางเป็นแม่ ถ้าเขารออีกหน่อย อีกแค่ไม่กี่ปีจนเขาโตขึ้น เขาต้องสามารถช่วยเหลือครอบครัวไม่ให้ยากจนแบบนี้ได้แน่
แต่น่าเสียดายที่ใครใช้ตอนนี้เขาเป็นแค่เด็ก 5 ขวบเท่านั้นเล่า?
อย่างเขาจะไปสามารถทำอะไรได้?
มันไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่เขาจะถูกผู้คนรังแก เพราะพวกเขายากจนแถมยังไม่มีคนหนุนหลังอีกต่างหาก
“เป่าเอ๋อยังเด็กจะรู้ได้อย่างไรว่าท่านยายกับท่านแม่คิดอะไรอยู่ เป่าเอ๋อร์รู้แต่ว่าท่านยายและท่านแม่มีเหตุผลที่ไม่อยากอยู่ในบ้านที่ท่านป้าสร้าง”
เซียวเป่าเอ๋อร์พูดอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นเขาส่ายหัวแล้วดึงเซียวหลีเดินต่อ
เซียวหลีหุบยิ้มของนางแล้วมองไปที่เซียวเป่าเอ๋อร์อย่างตั้งใจ ใบหน้ากลม ๆ และดวงตาโต ๆ ของเขา ภายในร่างกายเล็ก ๆ นี้ดูเหมือนว่าจะมีจิตใจที่เข้มแข็งและเป็นผู้ใหญ่อยู่
จากที่เซียวเป่าเอ๋อร์พูดมากับความทรงจำที่เลือนรางของนาง นางจะไม่เข้าใจได้อย่างไรว่าเงินที่เซียวเยี่ยนนำมาใช้สร้างบ้านและเงินที่ส่งให้กับที่บ้านในหลายปีมานี้นั้นเป็นเงินที่ได้มาจากหอนางโลมทั้งนั้น
“แล้วก็ท่านยายยังคิดว่าท่านตาอาจจะกลับมา แต่ในความคิดของเป่าเอ๋อร์ถ้าเขายังไม่ตาย เขาก็คงถูกกรรมตามสนองและกำลังทุกข์ทรมานอยู่แน่ ๆ”
เซียวหลีตกใจขึ้นมา “ทำไมเจ้าถึงได้พูดอย่างนั้น?”
เซียวเป่าเอ๋อร์ยืนมองไปที่เซียวหลีด้วยสีหน้าจริงจัง “ก็ท่านแม่ลำบากขนาดนี้ และท่านตาเองก็เป็นถึงนักปราชญ์ที่มีชื่อเสียงในตระกูลของเรา เผลอ ๆ จะยิ่งกว่าท่านลุงเหวินไฉ....แต่นั่นแหละ ถ้าหากท่านตาไม่ได้ทิ้งท่านแม่กับท่านยายไป พวกเราก็คงไม่ต้องมาถูกรังแกเช่นนี้หรอก? และถ้าเขาไม่พาท่านป้าออกไปหลายปี ท่านป้าก็คงไม่ต้องเป็นแบบนี้ด้วย”
มีเหตุผลเหมือนกันแฮะ
ช่างเป็นเด็กที่ฉลาดอะไรเช่นนี้ นางอดไม่ได้ที่จะลูบหัวน้อย ๆ ของเขา เซียวเป่าเอ๋อร์ก้มหัวลงพลางคิดว่าเขาจะโดนเขกหัวเสียแล้ว แต่เมื่อพบว่าเซียวหลีเพียงแค่ลูบหัวของเขาเบา ๆ ทำให้เขารู้สึกโล่งอกขึ้นมา
เมื่อสักครู่เขาได้พูดถึงเซียวเหวินไฉไป แต่ทำไมท่านแม่ถึงไม่ตีเขากันนะ?
“เล่าต่อสิ”
“เอ๋? ท่านแม่จำไม่ได้จริง ๆ เหรอขอรับ?” เซียวเป่าเอ๋อร์ถามอย่างสงสัย เขารู้สึกสับสนจับต้นชนปลายไม่ถูกไปชั่วขณะหนึ่ง
เซียวหลีคิ้วขมวดแล้วผงกหัวราวกับไก่จิกข้าวสาร “แม่บอกแล้วว่าแม่ปวดหัวจริง ๆ แม่นึกอะไรไม่ออกเยอะแยะเลย โชคดีที่แม่ยังจำเป่าเอ๋อร์ได้นะ”
เสี่ยวเป่าเอ๋อร์แอบดีใจที่แม่ของเขาสลบไป พอฟื้นขึ้นมาทั้งฉลาดขึ้นทั้งใจกว้างขึ้น
เมื่อก่อนถ้าเขาบอกว่าเขาไปที่บ้านของเซียวเหวินไฉมา เขาคงถูกดึงหูไปแล้ว
ด้วยเหตุนี้เซียวเป่าเอ๋อร์จึงรู้สึกดียิ่งและกล่าวขึ้นอย่างไม่พอใจ “มีข่าวลือในหมู่บ้านว่ากันว่าท่านตาเป็นคนที่ขายท่านป้าให้หอนางโลมเอง แต่ท่านป้าไม่ได้พูดอะไรออกมาจึงไม่มีใครรู้ความจริงข้อนี้ขอรับ”
ถ้าไม่ใช่เพราะท่านป้าเคยดูแลท่านแม่กับท่านยายเมื่อก่อน เป่าเอ๋อร์ก็คงคิดว่าท่านป้าเองก็เป็นพวกที่ชอบรังแกท่านแม่เหมือนคนอื่น ๆ ด้วยแล้ว
“อืม.....” เซียวหลีครุ่นคิด
“ท่านแม่ต้องคิดเองแล้วล่ะ อย่างไรเป่าเอ๋อร์ก็เป็นแค่เด็กเท่านั้น”
เซียวหลีไม่คิดว่าเขาเป็นเด็กน้อย แต่เป็นเจ้าตัวแสบตัวน้อยต่างหาก