บทที่ 14 โดยไม่ต้องถามไถ่อะไร
บทที่ 14
โดยไม่ต้องถามไถ่อะไร
เมื่อมองไปที่เซียวเหวินไฉ่ชัดๆแล้ว เซียวหลีก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าดวงตาของเขานั้นตาแดงก่ำ และใบหน้าทรุดโทรมลงไปจริงๆ
“ข้าเคยคิดว่าข้าจะปกป้องเจ้าด้วยชีวิตของข้า แต่ในตอนที่เจ้าหมดสติไปนั้น ตัวข้ากลับทำอะไรไม่ถูก ข้าได้ไปหาหมอในหมู่บ้านเพื่อให้มารักษาให้เจ้า แต่กลับไม่ยอมมาและบอกว่าเจ้านั้นเป็นตัวซวยและเจ้า....แม้ว่าเจ้านั้นจะไม่ดีเพียงใด แต่เจ้าก็ยังเป็นสมบัติในใจของข้า พอข้ามาที่บ้านของเจ้าก็ได้ยินจากพี่สาวของเจ้าว่าเจ้าตายแล้ว ข้านั้นไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าข้านั้นกลับมาที่บ้านได้อย่างไร?”
“ท่านพี่เซียว ข้าขอบคุณท่านจริงๆ” เซียวหลีนั้นไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกไปดี ได้แต่ขอบคุณออกไปเท่านั้น ที่รู้ว่ายังมีคนในสถานที่แห่งนี้ที่ไม่ต้องการให้นางตาย
“ข้าไม่ต้องการคำขอบคุณของเจ้า ในตอนที่ข้ารู้ว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่นั้น ข้าก็ได้ตัดสินใจแล้วว่าคราวนี้ข้าจะพาเจ้าออกไปจากที่นี่ ไม่ว่าคนที่นี่จะมองความรักของเจ้ากับข้าอย่างไร แต่เมื่อพวกเราออกไปจากที่นี่และมองหาสถานที่อยู่ใหม่ได้แล้ว เจ้าก็จะกลายเป็นภรรยาของข้า เป่าเอ๋อก็จะเป็นลูกชายของข้า และข้าก็จะมอบความสุขให้เจ้าไปตลอด”
เซียวเหวินไฉได้หยิบเอากระเป๋าเงินใบโตออกมาจากแขนเสื้อของเขาแล้ววางเอาไว้ในมือของเซียวหลี “ในหลายปีมานี้ ข้าได้เก็บหอมรอมริบและขายสมบัติในตระกูลของข้าไป ซึ่งเงินทั้งหมดนั้นอยู่ที่นี่แล้ว พวกเราจะออกไปจากที่นี่คืนนี้เลยดีไหม?”
แม่เจ้าโว้ย!
เซียวหลีรู้สึกตาพร่าไปชั่วขณะ ทำไมถึงได้มีผู้ชายที่งดงามขนาดนี้อยู่ในโลกใบนี้ได้? นี่หรือคือความรัก!
ไม่เคยมีใครที่สารภาพรักเช่นนี้กับนางมาก่อนเลย
อย่างไรก็ดี ในตอนที่นางยังเด็กนั้น นางต้องแต่ตัวเหมือนกับเป็นเด็กผู้ชาย และศึกษาเรื่องของพิษกับศพตลอดทั้งวัน และเล่นแต่กับหนูทดลอง, แมลงพิษและสัตว์ป่า และเพราะอาชีพการงานของนางนั้นทำให้เหล่าๆผู้ชายร่วมชาติที่นางเคยสนิทสนมด้วยนั้นก็มีแต่พวกคนที่ชื่นชอบการศึกษาศพตลอดทั้งวัน
ในเวลานี้นางรู้สึกหวั่นไหวขึ้นมา!
แต่ความหวั่นไหวนี้มันไม่ใช่ความรัก ซึ่งเซียวหลีนั้นก็รู้ดีอยู่แก่ใจ
นางนั้นเคยหมกมุ่นอยู่แต่กับยา และในเวลานี้นางก็ได้ตั้งเป้าว่าจะคอยประคับประคองครอบครัวของนางนี้ให้รอด
ดังนั้นนางจึงได้มองไปที่เซียวเหวินไฉอย่างรู้สึกผิด บางทีในอนาคตจะเป็นเช่นไรนางก็ไม่อาจรู้ได้
“อาหลีเจ้าเชื่อในตัวข้า แล้วไปด้วยกันกับข้าเถอะนะ?” เซียวเหวินไฉก็ได้จับมือของเซียวหลี ที่กำลังอยู่ในสภาวะอ้ำอึ้ง และเฝ้ารอคำตอบจากนางอย่างจริงจัง
เซียวหลีก็ได้เปิดปากของนางออกมา แต่นางก็ได้กลืนคำปฏิเสธนั้นกลับลงไปในท้องของนาง
“ข้า....”
“พี่เหวินไฉ ท่านคิดที่จะพานังเซียวหลี, แม่และลูกของนาง รวมถึงนังโสเภณีนั่นออกไปจากที่นี่จริงๆเหรอ?”
มีเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งที่เหมือนกับนกขมิ้นดังขึ้นมา ซึ่งได้ทำให้เซียวเหวินไฉตกใจและปล่อยมือของนาง
เดิมทีชื่อเสียงของเซียวหลีก็ไม่ดีอยู่แล้ว และตอนนี้เขาก็กำลังจับมือของนางอยู่ด้วย เขาจึงกลัวว่าการกระทำของเขาจะทำให้ชื่อเสียงของเซียวหลีต้องด่างพร้อยมากขึ้นไปอีก
เมื่อหันกลับไปมองก็พบว่าเป็นผู้หญิงในชุดสีเขียว ซึ่งผู้ที่มานั้นก็คือเซียงอิงอิงนั่นเอง นางได้ทำแก้มป่องแล้วกระทืบเท้าของนาง นางนั้นดูโมโหมาก “ข้าขอถามท่าน ที่ท่านพูดขึ้นมานั้นเป็นความจริงเหรอ? ที่ท่านคิดจะพาเซียวหลีหนีไปจากที่นี่น่ะ?”
“ใช่ ข้าอยากที่จะพาพวกนางออกไปที่สถานที่ที่ไม่รู้จักผิดจักถูกนี่” สายตาของเขาเต็มไปด้วยความรังเกียจ
“แล้วตัวข้าล่ะ? ข้าเองก็รักท่านมากเหมือนกันนะ แต่ทำไมท่านถึงได้กลับไปรักนักผู้หญิงไร้ยางอายนี้และไม่อยากที่จะแต่งกับข้า? ตัวข้ามันแย่กว่านางตรงไหน?”
ในขณะที่เซียวอิงอิงที่กำลังต่อว่า น้ำตาก็ได้ไหลออกมาจากดวงตาของนาง
ตอนนี้เซียวหลีก็ได้เข้าใจขึ้นมา ไม่แปลกใจเลยที่เซียวอิงอิงนั้นดูจะโกรธเกลียดนางนัก ที่แท้นางเองก็แอบชอบเซียวเหวินไฉแต่ไม่อาจสมหวังนี่เอง จึงได้เป็นเหตุให้นางเอาความคับข้องใจและความเสียใจทั้งหมดมาลงกับนางนี่เอง
“เซียวหลีกับข้าเป็นคู่หมั้นกันตั้งแต่เด็กๆ และมีแม้กระทั่งหนังสือสัญญา แล้วทำไมข้าจะหนีไปกับนางไม่ได้?” เซียวเหวินไฉพูดด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม แต่อย่างไรเสียในสายตาของเขาเซียงอิงอิงก็เป็นแค่หญิงสาวที่อ่อนแอ เขาจึงไม่ได้พูดด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าวนัก “ท่านพ่อของเจ้าเองก็คิดที่จะส่งเจ้าไปอยู่ในอำเภอ เขาจะยอมตกลงให้เจ้าแต่งงานกับข้าที่เป็นเพียงนักวิชาการจนๆได้อย่างไร?”
“ถ้าเช่นนั้นท่านก็พาข้าหนีไป แล้วไปหาที่ที่จะไม่มีใครรู้จักข้า ไม่ว่าที่ไหนข้าก็ยินดีที่จะหนีไปกับท่าน”
น้ำตาของเซียวอิงอิงนั้นยังไม่หยุดไหลออกมา และไม่มีใครที่รู้ว่านางนั้นหลงรักเซียวเหวินไฉมากขนาดไหน
“อย่ามาเหลวไหล เซียวหลีคือคนที่จะแต่งงานกับข้าและเซียวหลีก็คือคนที่ข้ารักด้วย ต่อจากนี้ไปเจ้าอย่าได้พูดอะไรไม่คิดเช่นนี้ออกมาอีก หากใครได้ยินเข้าเกรงว่าเจ้าคงได้จบไม่ดีแน่”
“ไม่เอา ข้าเองก็รักท่านนะ”
เซียวอิงอิงก็ได้เดินมาข้างหน้าแล้วดึงมือของ เซียวเหวินไฉ ด้วยความกลัวเซียวเหวินไฉก็ได้รีบปัดมือออกแล้วถอยห่างออกมา
“เซียวอิงอิง ได้โปรดสำรวมการพูดและการกระทำของเจ้าด้วย มันไม่งามนะ”
ใบหน้าของเซียวอิงอิงเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ นางมองไปที่เซียวหลีแล้วจากนั้นก็หันมามองเซียวเหวินไฉแล้วถามด้วยเสียงที่สั่นเครือ “ในตอนที่ท่านจับมือของนาง ทำไมท่านถึงไม่กลัวว่าจะไม่งามบ้างล่ะ? แต่ท่านกลับกลัวว่าจะไม่งามตอนที่ข้าจับมือของท่าน เซียวเหวินไฉท่านรังเกียจข้ามาขนาดนั้นเลยเหรอ?”
หญิงสาวที่ดื้อรั้น กับคุณครูเจี๋ยมเจี้ยมงั้นเหรอ?
เห็นได้ชัดว่า เซียวเหวินไฉนั้นทำอะไรไม่ถูก
เซียวหลีก็ได้ถอนหายใจออกมาขัด “นี่ ขอโทษนะทั้งสองคน ตอนนี้ข้ากำลังรีบกลับบ้าน มีทั้งคนชราและเด็กกำลังรอยอยู่ ข้าคงอยู่ร่วมกับพวกเจ้าไม่ได้”
หลังจากที่พูดจบเซียวหลีก็ได้หันหลังแล้วเดินจากไป อย่างไรก็ดีนางที่บาดเจ็บอยู่แล้วก็ยังมาเดินอยู่ในภูเขาตลอดทั้งวันอีก ในเวลานี้นางอยากที่จะล้มตัวลงนอนบนเตียงใหญ่ๆมาก....ไม่สิ ล้มตัวนอนลงบนเตียงไม้เล็กๆที่บ้าน
เซียวเหวินไฉก็ได้ปล่อยเซียวหลีไปแล้วเอาเงินไว้ในมือของนาง แล้วก็พูดด้วยเสียงที่มีเพียงแค่คนสองคนเท่านั้นที่ได้ยิน “ยามโฉ่วที่หน้าหมู่บ้าน ต้องมาให้ได้นะ”(ยามโฉ่วคือเวลา 01:00-02:59)
จากนั้นเขาก็ได้หันหลังแล้วจากไป
“เมื่อสักครู่ท่านพูดอะไรกับนางน่ะ?” เซียงอิงอิงก็ได้ไล่ตามไป แต่เซียวเหวินไฉก็ไม่ได้ตอบอะไรนางกลับมา นางมองไปที่เซียวหลีก่อนที่จะวิ่งไล่ตามเซียวเหวินไฉไปอย่างรวดเร็ว “เมื่อสักครู่ท่านพูดอะไรกับนาง? ท่านคิดที่จะหนีตามกันไปกับนางใช่ไหม? ข้าไม่ยอมหรอกนะท่านได้ยินข้าไหม? ข้าไม่ยอมให้ท่านพานางหนีไปด้วยกันหรอกนะ ข้าจะไม่ยอมให้ท่านทำได้สำเร็จเด็ดขาด”
เซียวอิงอิงร้องห่มร้องไห้ ราวกับว่านางสิ่งที่มีค่ามากที่สุดสำหรับนางนั้นกำลังจะหายไปจากสายตาของนาง
เซียวหลีก็ได้มองไปที่ทั้งคู่ที่เดินบนสันเขาภายใต้พระอาทิตย์ตกดิน ผู้ชายก็ได้เดินกระทืบเท้าในขณะที่อีกฝ่ายก็ได้เดินตามเขาไปอย่างรวดเร็ว มันช่างเป็นภาพที่สวยงามแต่ก็ทำให้ผู้คนรู้สึกขมขื่นด้วยเช่นกัน
โดยไม่ต้องถามไถ่อะไร นี่อาจจะเป็นภาพที่น่าเจ็บปวดที่สุดในแง่ของความรักแล้ว
“ท่านแม่ นื่ท่านออกไปที่ป่าไร้ผู้คนมาจริงๆเหรอ? ท่านไม่กลัวผีและสัตว์ป่าดุร้ายมั่งเลยเหรอ?”
เซียวเป่าเอ๋อดวงตาเบิกกว้าง แล้วเมื่อเขามองไปที่เห็นหลินจืนพันปีก็ได้ถามด้วยความไม่เชื่อ เพราะเขานั้นยังจำได้อย่างชัดเจนว่านางเป็นคนที่พูดย้ำเองไม่ให้ตัวเขาเข้าไปในป่าไร้ผู้คน
ดูเหมือนว่าจะมีกฎบางอย่างในหมู่บ้านอยู่ที่ว่าจะต้องไม่มีใครเข้าไปในป่าไร้ผู้คน ซึ่งมีเรื่องที่เล่ากันปากต่อปากว่าป่าไร้ผู้คนแห่งนี้เคยมีหมู่บ้านมาก่อนเมื่อ 100 ปีก่อน ที่ป่านั้นจะมีรอยเว้าอยู่และมันก็ได้หายไปด้วยเหตุผลบางอย่างอยู่ ที่นั่นเคยเกิดไฟไหม้เป็นเวลาสามวันสามคืน เต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องที่โหยหวน
ไม่มีใครรู้ว่าเป็นฝีมือของใครหรือทำไมหมู่บ้านแห่งนั้นถึงได้ถูกทำเช่นนั้น และตั้งแต่นั้นมาไม่ว่าจะทั้งจงใจและไม่จงใจแต่เมื่อเข้าไปในป่าไร้ผู้คนแล้วจะไม่สามารถรอดกลับมาได้อีกเลย พวกเขาต่างก็เชื่อกันว่ามันเป็นฝีมือของวิญญาณที่ยังอยู่ในป่าไร้ผู้คนนี้ ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่ล้วนถูกเผาจนตายด้วยไฟและตายเช่นเดียวกันกับชาวบ้านที่ตายไป
แล้วผลก็คือป่านั้นก็ได้หนาแน่นขึ้นมาเมื่อผ่านไปหลายปี และมีผีและสัตว์ป่าที่ดุร้ายออกมาหลอกหลอนบ่อยมากขึ้นเรื่อยๆ และไม่มีใครที่เข้าไปแล้วรอดกลับมาได้ จึงไม่มีใครเลยที่กล้าเข้าไปในป่าแห่งนั้นมาเป็นเวลาเกือบร้อยปีแล้ว
“ท่านแม่ เรื่องที่ท่านเล่าให้ข้าฟังนั้นเป็นเรื่องโกหกเหรอขอรับ? หรือว่าท่านไม่กลัวเรื่องเล่านั้น?”
“เรื่องเล่าอะไร?”
เซียวหลีนั้นจำได้แค่ว่าป่าแห่งนั้นมีชื่อว่าป่าไร้ผู้คนเท่านั้น ซึ่งดูแล้วก็เป็นแค่ป่าที่อยู่บนภูเขาและรกชัฏแค่นั้นเอง นางจึงคิดแค่คิดว่าที่นั่นจะต้องมีสมุนไพรดีๆเติบโตอยู่ในป่านั้นเป็นแน่ และไม่รู้อะไรมากไปกว่านั้น
“ท่านแม่ เกิดอะไรขึ้นกับหัวของท่านกันแน่?”
เซียวหลีก็ได้จ้องไปที่เซียวเป่าเอ๋อ “เจ้าจำไม่ได้เหรอ? แม่บอกแล้วว่ามีอะไรหลายๆอย่างที่แม่นั้นจำไม่ค่อยได้”
เจ้าของร่างเดิมนั้นไม่ยอมมอบความทรงจำทั้งหมดให้กับนาง บางทีนางอาจจะเลือกให้นึกออกแต่เรื่องทั่วๆไปและผู้คนบางคนเท่านั้น
“ท่านแม่....”
แล้วเซียวเป่าเอ๋อก็ได้รีบคว้าชายเสื้อของเซียวหลีแล้วดึงอยู่หลายหน “ท่านแม่ ท่านจะต้องไม่ไปที่นั่นอีกนะขอรับ”