บทที่ 13 เจ้าจะมากับข้าไหม?
บทที่ 13
เจ้าจะมากับข้าไหม?
“เจ้าเด็กบ้า ระวังตัวไว้เถอะป้าของเจ้าจะตีเจ้าให้ก้นลายเลย” เซียวเยี่ยนนั้นยังรักเซียวเป่าเอ๋ออยู่ นางยกมือขึ้นมาแล้ววางลงไปที่หัวของเขาเบาๆแล้วลูบมวยผมของเขาสองหน ในอดีตมีเพียงเซียวเป่าเอ๋อเท่านั้นที่กล้าพูดเช่นนี้กับนาง
อย่างที่เขาพูด นางนั้นแอบไปเล่นพนันแล้วใช้เงินก้อนนั้นจนหมด ทำให้นางไม่อาจอยู่ในบ้านนี้ได้ในเวลานี้
“ท่านป้า นั่นมันทองก้อนเลยนะขอรับ มันเพียงพอสำหรับให้บ้านของเราใช้ไปหลายปีเลยนะ แต่ท่านป้าเสียเงินนั้นหมดไปในคืนเดียว? แล้วใช้แค่ 1 ตำลึงเงินเพื่อไปตามหมอเนี่ยนะขอรับ? แล้วท่านป้าไม่คิดที่จะบอกกับคุณชายที่นอนอยู่ที่เตียงให้เขายกโทษให้ท่านหน่อยเหรอ?”
เซียวเยี่ยนก็ได้จ้องไปที่เซียวเป่าเอ๋ออย่างโกรธแค้น ทำไมเด็กคนนี้ถึงได้ชอบพูดประเด็นไหนที่ไม่ควรยกขึ้นมาพูดตลอดเลยนะ
นางก็ได้มีสีหน้าอับอายขึ้นมาอย่างสุดๆจนไม่สามารถอายไปมากกว่านี้ได้แล้ว นางได้มองไปที่หรงสวินแล้วกล่าวขอโทษด้วยน้ำเสียงที่เบาอย่างมากราวกับยุง “คุณชายหรงเจ้าคะ อย่างน้อยครอบครัวของเราก็ช่วยชีวิตท่านเอาไว้ เงินนี้ข้าจะชดใช้ให้ท่านในภายหลังนะคะ ตอนนี้ท่านให้น้องสาวของข้าไปตามท่านหมอเฉียนแทนข้าเถอะ”
หลังจากนั้นเซียวเยี่ยนก็ได้หนีไปอย่างลื่นไหลราวกับมีน้ำมันติดอยู่ที่ฝ่าเท้าของนาง
หรงสวินก็ได้มีใบหน้าที่มืดดำขึ้นมา ทำไมถึงได้มีหญิงสาวที่ติดการพนันเช่นนี้ได้นะ? เป็นของหายากมากในแผ่นดินนี้แท้ๆ!
“ข้าบอกแล้ว ท่านป้าน่ะเปลี่ยนความคิดของนางไม่ได้ง่ายๆหรอกแล้วก็ไปเล่นพนันอีกจนได้ แล้วคราวนี้เงินที่นางเสียไปก็เป็นเงินที่ใช้ช่วยชีวิตคนอื่นด้วย”
เซียวเป่าเอ๋อก็ได้ส่ายหัวของเขาซ้ำไปซ้ำมา ถ้าท่านป้าของเขาไม่ติดพนันแล้วล่ะก็ ครอบครัวนี้ก็คงไม่ต้องเป็นเช่นนี้ อย่างน้อยก็คงไม่ต้องอดอยากขนาดนี้
เซียวหลีก็ได้ลูบหัวของเซียวเป่าเอ๋อแล้วพูดออกมาเบาๆ “ไม่ใช่ว่าเจ้าพูดว่าอย่างน้อยคราวนี้นางก็ยังเหลือเงินไปตามหมอมาหรอกเหรอ?”
เซียวเป่าเอ๋อก็ได้เม้มปากแล้วพูด “นางก็คงจะจ้างหมอเอาไว้ก่อนแล้วจากนั้นก็ได้เตรียมรถม้าที่ใช้เดินทางกลับเอาไว้ก่อนที่จะไปบ่อนพนันน่ะสิ ไม่อย่างนั้นนางจะไปพาหมอมาจากไหน?”
“ดังนั้น ป้าของเจ้าก็ยังเป็นคนมีปัญญาเหมือนกันนะเนี่ย รู้จักเตรียมทางหนีทีรอดเอาไว้ก่อน ไม่อย่างนั้นนางคงได้เดินกลับมาหมู่บ้านแล้ว?”
ฮ่าๆ.....
เซียวเป่าเอ๋อก็ได้หัวเราะออกมา เพราะที่แม่ของเขาพูดนั้นมีเหตุผล
แล้วสองคนแม่ลูกก็ได้หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน แต่คนที่นอนอยู่บนเตียงนั้นกลับพูดอะไรไม่ออกสักคำ เขาคงจะต้องโกรธมากแน่
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เงิน 1 ตำลึงทองหายไปหมดในคืนเดียวแล้วเลย มันช่างเจ็บปวดใจยิ่งนัก แต่ทว่าเขาไม่ใช่คนยากจนขนาดนั้นหากดูจากการแต่งตัวและการพูดจาแล้ว เขาคงไม่ได้เจ็บปวดมากขนาดนั้นล่ะมัง?”
“ข้าก็แค่ตามหมอเฉียนให้มารักษาแผลของเขา และตอนนี้ข้าก็ช่วยชีวิตท่านแล้ว ทองก้อนนั้นคิดซะว่าเป็นค่ารักษาก็แล้วกันนะ”
เซียวหลีก็ไม่ได้คิดรักษาฟรีอยู่แล้ว นางย่อมต้องคิดค่ารักษา
ทุกยุคทุกสมัย เงินนั้นก็มักเป็นหนึ่งเสมอไม่เคยเป็นรองใคร สิ่งที่นางทำลงไปให้กับหรงสวินในสองวันมานี้นั้นก็แค่ 1 ตำลึงทองเท่านั้น ขนหน้าแข้งของเขาไม่ร่วงหรอก
ครอบครัวนี้ช่างไร้ยางอายกันเสียจริงๆ หรงสวินนั้นโกรธจนอยากจะต่อยกำแพง
ดูเหมือนว่าคนที่ช่วยชีวิตเขาจะเป็นครอบครัวที่สุขสันต์อะไรเช่นนี้ ไม่ว่าตัวเขานั้นจะโมโหมากขนาดไหน เขาก็จำเป็นต้องพูดออกไป “ข้าจะคิดว่าเป็นค่าช่วยชีวิตของข้าก็ได้ แต่ได้โปรดช่วยไปตามท่านหมอเฉียนมาให้ข้าทีเถอะนะ”
“ท่านแม่ก็รักษาให้ท่านแล้ว และบาดแผลของท่านก็กำลังหาย” เซียวเป่าเอ๋อกล่าวอย่างมั่นใจในตัวเองหน่อยๆ แต่ก็ยังพูดต่อ “ท่านไม่จำเป็นต้องหาหมอแล้ว”
หรงสวินนั้นอยากที่จะพูดอะไรบางอย่าง แต่เซียวหลีนั้นก็เข้าใจได้แล้วก็พูดออกมาก่อนที่เขาจะเปิดปาก “ข้าเข้าใจแล้ว”
เซียวเป่าเอ๋อก็ได้มองไปที่ท่านแม่ของเขาอย่างสงสัยและไม่รู้ว่าท่านแม่ของเขาเข้าใจอะไร?
เซียวหลีก็ได้ผงกหัวแล้วกะพริบตาให้ เซียวเป่าเอ๋อก็เข้าใจได้ทันทีว่าที่หรงสวินนั้นคะยั้นคะยอให้ไปตามท่านหมอเฉียนนั้น อาจเป็นเพราะว่าหมอเฉียนนั้นจะต้องเป็นคนที่เขารู้จักแน่ๆ
ในเวลานี้เองนางก็ได้เข้าใจถึงความรู้สึกของหรงสวิน เขานั้นเชื่อว่าท่านหมอเฉียนจะต้องมารับเขา แต่เซียวเยี่ยนกลับติดการพนันและไปพาคนอื่นมาแทนเสียนี่ ทำให้เขาต้องลำบากอยู่ในบ้านพังๆหลังนี้ต่อ คงจะรู้สึกแย่เอามากๆ
แต่ในเวลานี้ครอบครัวของนางเองก็ไม่มีเงินเหลืออยู่เลย ไม่มีแม้กระทั่งข้าวสารจะกิน พวกเขาต่างก็กินไก่ฟ้าที่ล่ามาได้หมดไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว และกระต่ายป่าที่จับมาได้ก็คงเพียงพอแค่เป็นอาหารเย็นนี้ ถ้าหากต้องการที่จะไปยังตัวอำเภอเพื่อไปหาท่านหมอเฉียนแล้วล่ะก็ การเดินไปด้วยเท้านั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ที่บ้านสกุลจ้าวนั้นมีเกวียนวัวอยู่ ซึ่งคนอื่นๆนั้นสามารถโดยสารไปก็แค่ 1 อีแปะ แต่หากเป็นคนในครอบครัวของนางจะคิด 3 อีแปะ ซึ่งจะเห็นได้ชัดว่าครอบครัวของนางนั้นโดนดูถูกและถูกรังคัดรังแคมากเพียงใด
เมื่อคิดได้เช่นนี้เซียวหลีก็ได้ไม่รอช้า แบกเอาตะกร้าไว้บนหลังของนางแล้วหยิบเอาขวานของนางแล้วไปขึ้นเขา เซียวเป่าเอ๋อนั้นอยากจะตามมาด้วยแต่ก็ถูกเซียวหลีไล่กลับมา อย่างไรเสียเส้นทางบนภูเขานี้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย มันอันตรายมากเกินไปที่จะพาเด็กเล็กมากับนางด้วย
ใช้เวลาถึงครึ่งชั่วยามกว่าเดินมาถึงป่าทึบแห่งนี้ เป็นที่ที่มีเสียงนกร้องและเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้ และลำธารที่ไหลเป็นทางยาว เป็นสถานที่ที่ดีจริงๆ
เซียวหลีนั้นได้เข้าไปลึกในภูเขา ซึ่งสถานที่ที่อันตรายมากเท่าไร ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะพบของหายากมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งนางก็พบสมุนไพรที่มีค่ามากมาย
ซึ่งในการเข้าป่าครั้งนี้ดูเหมือนนางจะโชคดีพอ ที่พบสมุนไพรล้ำค่ามากมายรวมถึงเห็ดหลินจือพันปีด้วย
จนกระทั่งพระอาทิตย์ตก เซียวหลีก็ได้มองเข้าไปในป่าลึกราวกับว่ามีสมุนไพรหายากจากข้างในนั้นกำลังกวักมือเรียกนางอยู่ ทำให้นางนั้นไม่อาจห้ามใจให้ไม่เข้าไปได้
แต่นางก็ได้กลิ่นของความอันตรายโชยออกมา ถึงแม้ว่าบรรยากาศนี้จะทำให้นางตื่นเต้น แต่อย่างไรก็ดียิ่งอันตรายมากขึ้นเท่าไร ก็หมายถึงตัวนางที่จะตกกลายเป็นเหยื่อมากขึ้นเท่านั้น
ในตอนนี้คงจะไม่ไหว ตัวนางนั้นบาดเจ็บทั้งหัวและขาและเท้า ถ้าหากนางเข้าไปแล้วพบเสือ, หมีหรืออะไรอย่างอื่นเข้า เพราะมันไม่จำเป็นต้องเป็นแค่สัตว์ป่าเท่านั้น
เมื่อคิดได้เช่นนี้เซียวหลีก็ได้รู้สึกขอบคุณที่นางเคยตายมาแล้วหนหนึ่ง นางจึงได้รีบเดินกลับมาพร้อมกับตะกร้าบนหลังของนาง
เมื่อออกมาจากป่าลึกนางก็พบคนคนหนึ่งที่กำลังยืนอยู่บนสันเขาอยู่ไกลๆ ชายคนนั้นสวมชุดสีฟ้าและยืนปล่อยมือตามธรรมชาติ
“อาหลี....”
เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมา เสียงนี้ช่างเหมือนกับสายลมใบไม้ผลิ มันช่างบริสุทธิ์แต่ก็แฝงไปด้วยความผันผวนของชีวิต
ทันทีที่นางหันกลับไปมอง ก็พบว่าเขาจ้องมองมาที่นาง ดวงตาของเขานั้นช่างอ่อนโยนและงดงามมาก ตัวเขานั้นดูเหมือนพวกนักวิชาการผิวขาว แต่ใบหน้าของเขากลับดูซูบซีดและมวยผมของเขาก็ดูยุ่งเหยิง แสดงให้เห็นถึงความทรุดโทรมของเขา
“อาหลี นี่ข้าเองไง” ชายคนนั้นได้เปิดปากออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะมาก
เซียวเหวินไฉ....
เหมือนความทรงจำได้ถูกเปิดออก ตอนแรกนางนั้นจำได้แค่ว่าเซียวเหวินไฉนั้นเป็นแค่อาจารย์เพียงคนเดียวในหมู่บ้านนี้
และนางเองก็เคยหมั้นกับเขามาก่อน จนกระทั่ง....ภายหลังนางได้ท้องก่อนแต่งขึ้นมา ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าอับอายให้กับตระกูลของเขา แต่ทว่าเขาก็ยังรักษาชื่อเสียงและศักดิ์ศรีของนางและยังต้องการที่จะแต่งงานกับนางอยู่ และตัดสินใจที่จะดูแลแม่และลูกของนางด้วย แต่ทว่าแม่ของเขานั้นกลับไม่ยอมและบีบบังคับให้ตัวนางต้องตาย
ในตอนนั้นเขาได้สัญญาว่าจะหนีตามไปด้วยกันกับนาง แต่ทว่าคืนนั้นแม่ของเขากลับตัดสินใจฆ่าตัวตาย แล้วได้ทำให้ทั้งคู่ต้องเหินห่างกันนับตั้งแต่นั้นมา
เป็นเพราะนางเป็นคู่หมั้นของเขา นางทำให้เขาต้องอยู่อย่างอับอาย ซ้ำร้ายยังทำให้เขาต้องเสียชื่อเสียงเป็นลูกอกตัญญู
“ข้า....”
เซียวหลีรู้สึกเหมือนลิ้นพันกัน ชั่วขณะนั้นนางไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาดี ทั้งหมดที่นางรู้มีแค่ว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนดีมากเท่านั้น
นางจำได้แค่ว่าเจ้าของร่างนี้รู้ถึงความรู้สึกของเขาดี แต่นางไม่อาจทำให้เขาต้องอับอายเพราะนางหรือปล่อยให้เขาต้องสูญเสียชื่อเสียงและศักดิ์ศรีไปมากกว่านี้เพราะนางไม่ได้
เจ้าของร่างนี้เองก็รักเขาเช่นกัน ทั้งคู่นั้นเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่ยังเด็ก จะไม่ให้มีความรู้สึกต่อกันได้อย่างไร?
แต่โชคชะตาสรรค์สร้างผู้คน ในเวลานี้อาหลีตัวจริงก็ได้ตายไปแล้ว และตัวเขาก็ยังคงรักนางอยู่
“อาหลี ข้ารู้ดีว่าเจ้ายังคงมีข้าอยู่ในใจของเจ้า ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อยากพบหน้าข้าก็เพื่อตัวของข้า ข้ารู้ว่าเจ้านั้นไม่อนุญาตให้เป่าเอ๋อมาพบกับข้าด้วยซ้ำ
แต่วันนี้ไม่มีที่ยืนให้พวกเจ้าสองคนแม่ลูกอีกต่อไปแล้ว ถ้าหากว่าข้ายังคงนิ่งเฉยไม่ยอมทำอะไร ก็เกรงว่าข้าคงจะรู้สึกผิดไปตลอด ข้าจึงอยากถามเจ้าอีกครั้ง เจ้ายังอยากที่จะหนีไปกับข้าไหม?
มันไม่ใช่ความผิดของเจ้าเลย ที่ผิดก็คือโลกนี้ต่างหาก มันเป็นเหมือนอสูรร้ายที่ทำให้เจ้าต้องทุกข์ทรมานอย่างมาก และทำให้เจ้ากับข้าไม่อาจเป็นคู่สามีภรรยากันอย่างเปิดเผยได้” เซียวเหวินไฉได้ถามออกมาอย่างต่อเนื่อง และตอบบางคำถามด้วยตัวเอง
“ข้าไม่รู้จริงๆว่าจะอธิบายอย่างไรกับท่านดี” นางนั้นไม่อยากที่จะบอกกับเขาว่าเซียวหลีตัวจริงนั้นตายไปแล้ว แต่เขาก็คงไม่เชื่อแน่ๆ
“เจ้าไม่ต้องอธิบายอะไรทั้งนั้น ข้าเข้าใจว่ามันไม่ใช่ความผิดของเจ้า ข้านั้นรักและเป็นห่วงเจ้ามาก หากว่าเจ้าต้องการพวกเราก็จะหนีออกจากที่แห่งนี้ไปด้วยกัน ให้ข้าได้ดูแลเจ้ากับลูกของเจ้า รวมถึงแม่และพี่สาวของเจ้าด้วยเถอะนะ”
ตัวเขานั้นพูดอย่างจริงใจโดยไร้ซึ่งคำโกหกใดๆ
แต่ในโลกนี้เขาเป็นเพียงแค่นักวิชาการเท่านั้น จะหาเลี้ยงครอบครัวของนางทั้งหมดได้อย่างไร?
“เจ้ายังลังเลอะไรอยู่? หรือเจ้าคิดว่าเจ้ายังสามารถอยู่ในหมู่บ้านนี้ต่อไปได้? เจ้าก็เห็นสีหน้าของคนพวกนั้นอย่างชัดเจนอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?” ดวงตาของเซียวเหวินไฉนั้นเป็นสีแดงขึ้นมา เขาได้เดินเข้าไปหาเซียวหลีพร้อมกับพูด
“เจ้ารู้ไหมว่าข้านั้นต้องทุกข์ทรมานมากเพียงใดเมื่อรู้ว่าเจ้าบาดเจ็บและหมดสติไป? อาหลีเจ้าดูข้าให้ดีๆสิ ข้าอายุเพียงแค่ 25 แต่กลับมีผมขาวและรอยเหี่ยวย่นแล้วมันเป็นเพราะเจ้า ข้านั้น....ข้านั้นไม่อยากที่จะยอมเสียเจ้าไปและการที่จะได้อยู่กับเจ้านั้นมันคือความฝันของข้า”
ด้วยความรักที่ซึมลึก เซียวเหวินไฉก็ไม่สนเรื่องความดีงามแล้วเข้าไปคว้ามือของเซียวหลี และกอดนางเอาไว้แน่นแล้วกล่าวอย่างจริงใจ “เจ้าอย่าได้ปฏิเสธข้าอีกเลยนะ?”