บทที่ 11 การช่วยคนงั้นเหรอที่เรียกว่าซ่อนผู้ชาย?
บทที่ 11
การช่วยคนงั้นเหรอที่เรียกว่าซ่อนผู้ชาย?
เซียวหลีรู้ดีว่าคนที่มาอยู่ที่นี่ล้วนแต่ต้องการให้ครอบครัวของนางออกไป แต่พวกเขาก็ยังคงมีความใจดีอยู่บ้าง อย่างไรเสียพวกเขาต่างก็เป็นคนที่พบหน้ากันบ่อย ๆ อยู่แล้ว
ผู้ที่หลอกฝูงชนให้พากันมาที่นี่ก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา
ในบ้านของเซียวเยี่ยน หรงสวินมองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจนผ่านหน้าต่างบานนั้น เขารู้สึกชื่นชมปากของเซียวหลี
คนอื่น ๆ อาจจะมองเห็นได้ไม่ชัด แต่เขามองเห็นได้อย่างชัดเจน สาวชาวบ้านคนนี้ไม่ใช่สาวชาวบ้านธรรมดา ๆ นางสามารถจัดการล้มผู้หญิงอ้วนด้วยความเร็วที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าทั้งสองหน คนอื่น ๆ คิดว่านางแค่โชคดีและไม่น่าเชื่อ แต่ตัวเขารู้ว่ามันคือความสามารถของนางล้วน ๆ
ผู้หญิงคนนี้ช่างมีความสามารถนัก! หรงสวินรู้สึกสนใจในตัวของนางขึ้นมา
หัวหน้าหมู่บ้านพูดไม่ออกไปชั่วขณะ เพราะทุกอย่างมันชัดเจนในตัวของมันอยู่แล้ว
“ถ้าเจ้าประพฤติตัวดี ก็คงไม่มีใครมาไล่เจ้าออกไปจากหมู่บ้านนี้หรอกจริงไหม? แต่นี่เจ้ากลับเอาผู้ชายมาซ่อนไว้ในบ้าน เจ้าบอกสิว่าเจ้าจะให้คนในหมู่บ้านของเรามีหน้าไปสู้คนในหมู่บ้านอื่นได้อย่างไร?”
“หัวหน้าหมู่บ้านเจ้าคะ ท่านต้องการเข้าไปดูชัด ๆ ไหม? มีผู้ชายอยู่ที่นี่จริง แต่ก็เป็นคนที่อยู่ในสภาพเกือบตาย ข้าได้ช่วยเขาเอาไว้ด้วยความเมตตา ท่านว่านี่คือการเอาผู้ชายมาซ่อนหรือเจ้าคะ?”
เซียวหลีกล่าวแล้วจ้องไปที่เซียวต้าโหย่วและภรรยาของเขา ความโกรธนี้ได้รวมกับความโกรธของเจ้าของร่างเอาไว้ด้วย อย่างไรเสียเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ลือขึ้นมาโดยตัวนางถังเอง
“เจ้า....อย่ามาทำเป็นพูดเล่นลิ้นนะ”
นางถังรู้สึกขุ่นเคือง นางนั่งเอามือกุมเข่าอยู่ที่พื้นแล้วเอ่ยว่า “เจ้ามันตัวน่าอับอายของตระกูลที่ชอบทำผิดศีลธรรม เป็นสาวเป็นนางแต่กลับเอาผู้ชายแปลกหน้ามาซ่อนและยังจะมีหน้ามาเถียงอีก”
“ผิดศีลธรรม? ก็มีแต่ตาของเจ้านั่นแหละที่เห็นพวกเราผิดศีลธรรม? แล้วอีกอย่างนะทำไมข้าจำเป็นต้องมาโต้เถียงเรื่องนี้ด้วย?”
เซียวหลีถามกลับพลางชี้ไปที่ห้องของเซียวเยี่ยนแล้วกล่าว “พวกท่านจะเข้าไปดูในบ้านเลยก็ได้นะว่า ผู้ชายคนที่ว่านั้นบาดเจ็บสาหัสและเคลื่อนไหวไม่ได้จริง ๆ หรือไม่?”
“หุบปาก หยุดพูดเลย ยิ่งเจ้าพูดมากเท่าไร อาหลีก็จะยิ่งประชดประชันเจ้ามากยิ่งขึ้นเท่านั้น เจ้านี่ช่างไร้ยางอายจริง ๆ”
หัวหน้าหมู่บ้านยกมือขึ้นเกาหัว เขารู้สึกเกลียดเหล็กที่ไม่สามารถกลายเป็นเหล็กกล้า แต่เขาจะทำอย่างไรได้? ในเมื่อคนทั้งหมู่บ้านต่างก็อยากที่จะขับไล่ครอบครัวของเซียวหลี
ตัวเขาเห็นว่ามีชายที่อยู่บนเตียงของเซียวเยี่ยนด้วย ในวันนั้นเขาเห็นว่าเซียวเยี่ยนกำลังร้องเพลงและเต้นรำให้กับชายที่นอนอยู่บนเตียง แต่เขาไม่รู้จริง ๆ ว่าชายคนนั้นบาดเจ็บสาหัสจริง ๆ หรือเปล่า?
ในเวลานั้นนางถังเอาแต่ตะโกนต่อว่าและไล่ให้เซียวหลีออกไป ตอนที่เซียวเยี่ยนออกมาจากบ้านเพื่อมาสอบถามทำให้เกิดการทะเลาะกันขึ้น
ในเวลานั้นจึงไม่มีใครถามว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร ซึ่งหากคิดให้ดี ๆ แล้ว ถ้าผู้ชายคนนั้นปกติดี เขาคงจะหนีไปหรือไม่ก็ออกมาช่วยแล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรให้อยู่เฉย ๆ และไม่พูดอะไรเลยเช่นนั้น
หัวหน้าหมู่บ้านรีบเดินเข้าไปข้างใน คนอื่น ๆ เห็นก็รีบตามเข้าไปในบ้านของเซียวเยี่ยนด้วย เมื่อพวกเขาพบกับ หรงสวินก็ความคิดที่จะขับไล่ครอบครัวนี้ของผู้คนมากมายก็สั่นคลอน
การช่วยคนเป็นเรื่องดี พวกเขาควรชื่นชมมากกว่า
หรงสวินก้มศีรษะทักทายอย่างไม่ถ่อมตัวหรืออวดดีเกินไปแล้วกล่าว “ข้าขอขอบคุณพวกท่านมากที่อุตส่าห์มาเยี่ยม อย่างที่พวกท่านเห็นตัวข้าไม่สามารถขยับไปไหนได้และไม่สามารถคำนับพวกท่านได้ ขอให้ผู้อาวุโสทุกท่านอภัยให้ข้าด้วย แม่นางเซียวหลีเป็นคนที่มีจิตใจดีจริง ๆ”
หลังจากที่หัวหน้าหมู่บ้านออกมาเขาเดินไปหาเซียวหลีแล้วมอบเงินจำนวนหนึ่งให้นาง “นี่คือสินน้ำใจจากท่านย่าของเจ้าและข้า ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็อยู่ที่นี่ไม่ได้ แต่อย่างน้อยพวกเจ้าก็ไม่ได้ไปตัวเปล่า เมื่อเจ้าไปที่อื่นเจ้าก็ยังสามารถตั้งตัวได้”
ถึงแม้ว่าเซียวหลีจะทำความดีจริง แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะไม่ฟังคำแนะนำของไต้ซือ เพราะมีสัตว์ล้มตายอย่างต่อเนื่องในหมู่บ้าน และตอนนี้ก็เริ่มที่จะมีคนตายแล้ว เมื่ออาจารย์ด้านฮวงจุ้ยว่าไว้เช่นนั้น ตัวเขาไม่อาจแบกรับความผิดนี้ไว้ได้
เซียวหลีไม่ได้ตอบอะไร นางก้มหัวลงเล็กน้อยเป็นเชิงบอกว่านางต้องการให้พวกเขากลับออกมา
นางยืนตัวตรงราวกับว่านางจะไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ พลางกล่าว “ข้าขอขอบคุณท่านปู่หัวหน้าหมู่บ้านมาก แต่พวกเราไม่สามารถรับเงินนี้ได้ แม้ว่าพวกเราจะรับเงินนี้แล้วออกไปพวกเราก็คงไม่มีความสามารถมากพอที่จะใช้ชีวิตอยู่ได้ ข้างนอกนั่นมีแต่ความตายทั้งซ้ายและขวา อย่างน้อยที่นี่ก็ยังใช้หลบลมหลบฝนได้ ทำให้พวกเราไม่หนาวตายโดยที่ไม่มีใครรู้”
“ที่นี่คือบ้านของพวกเรา และอาจารย์ฮวงจุ้ยคนนั้นก็เชื่อไม่ได้เอาเสียเลย ข้าจะใช้เวลาพิสูจน์ให้เห็นเองว่าเขาพูดเหลวไหล บางทีเขาอาจจะสมรู้ร่วมคิดกับใครบางคนให้มาพูดอะไรเหลวไหลก็ได้นะ”
เมื่อเซียวหลีพูเช่นนี้ก็มองไปยังเซียวต้าโหย่วที่กำลังมองมาที่นางอย่างสงสัยกล่าวต่ออย่างไม่ใส่ใจ “วันนี้ครอบครัวของข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น เว้นแต่พวกท่านอยากจะฆ่าข้าอีกรอบ”
“เจ้า....” หัวหน้าหมู่บ้านวางถุงเงินไว้บนม้านั่งแล้วหันหน้าไปหาเซียวต้าโหย่วพร้อมกล่าว “เจ้าจัดการเองแล้วกัน แต่อย่าทำร้ายใครจนถึงตายเหมือนคราวก่อน ไม่อย่างนั้นข้าจะแจ้งเรื่องนี้ไปที่ที่ว่าการ”
“แต่วันนี้เจ้าช่างดูน่าทึ่งเสียจริง ๆ แต่กลับทำตัวหยาบคายนัก....”
“ข้าไม่สน”
ชายชราผู้นี้ยังคงมีความน่าเกรงขามอยู่ แม้เขาจะไม่ใช่ขุนนางหรือคนของทางการ แต่หัวหน้าหมู่บ้านก็เป็นตัวแทนไปติดต่อกับทางการบ่อย ๆ
หลังจากนั้นหัวหน้าหมู่บ้านก็จากไปโดยไขว้มือไว้ข้างหลังของเขา ผู้คนพากันหลีกทางให้เขาเดินไป
มีบางคนที่รู้สึกผิดและจากไปตามหัวหน้าหมู่บ้าน คนที่เหลือที่เชื่อในคำพูดของไต้ซือยังอยู่ต่อหวังดูอะไรสนุก ๆ
“เซียวหลี เจ้ายังมียางอายอยู่บ้างหรือไม่? หากข้าโดนผู้คนดูถูกและรังเกียจเช่นนี้ ข้าคงกระโดดลงแม่น้ำฆ่าตัวตายไปแล้ว ดีกว่าต้องทนมีชีวิตอยู่ต่อให้ผู้คนรังเกียจราวกับเป็นขี้ติดเท้าเช่นนี้ หากเจ้าตายไปตระกูลเซียวของเราก็คงไม่ขายหน้าเช่นนี้”
ผู้หญิงในชุดสีเขียวอ่อนเดินออกมาจากฝูงชน นางงดงามราวกับภาพวาดเลยทีเดียว อย่างน้อย ๆ นางก็ดูน่าหลงใหลมากกว่าเซียวหลี อย่างไรเสียคนต้องพึ่งพาเสื้อและความงามต้องพึ่งพาการแต่งเติม
นางมัดมวยผมขึ้นไปสูงประดับด้วยไข่มุกและผ้าเส้นเล็กที่สวยงาม ดูไม่คล้ายลูกสาวชาวนา
ในขณะที่เซียวหลีต้องอยู่อย่างทุกข์ทน จะกินก็ไม่พอ และยังต้องอยู่อย่างกังวลทุกวัน จึงมีความงามของผู้หญิงเพียงแค่ครึ่งเดียว
ผู้หญิงที่ยืนอยู่ด้านหน้าคือเซียวอิงอิง ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความอิจฉาและไม่พอใจ นางไม่เข้าใจจริง ๆ ว่า เซียวหลีที่เป็นเหมือนหญิงคณิกาในสายตาของใคร ๆ แต่กลับไม่สามารถไล่นางออกไปได้
ด้านหลังของผู้หญิงชุดเขียวยังมีผู้หญิงอีกสองคนที่ดูแล้วน่าจะอายุ 14 - 15 ปี สวมเสื้อผ้าธรรมดาสมกับเป็นลูกสาวชาวบ้านทั่วไป
คนที่โตกว่าชื่อเซียวอวี้เวย ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความอิจฉาเช่นเดียวกับเซียวอิงอิง ส่วนคนที่ตัวเล็กกว่าคือเซียวอวี้เมี่ยวที่มีสีหน้าไร้เดียงสาและไม่มีสีหน้าที่ผิดปกติอะไร
เซียวหลีหัวเราะเบา ๆ มองไปที่เซียวอิงอิงอย่างขบขันแล้วกล่าว “ข้าคงไม่เก่งเท่ากับน้องสาว เอาเป็นว่าหากเจ้าท้องก่อนแต่งบ้าง แล้วเจ้าคิดฆ่าตัวตายแล้วล่ะก็ ตอนนั้นข้าอาจจะเก็บไปคิดดูก็แล้วกัน เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
“เจ้า....” เซียวอิงอิงรู้สึกอับอายจนแทบจะขุดหลุมหนี
“เซียวหลี เจ้าอย่าได้ทำเป็นปากเก่งนะ คนอย่างแกแม้แต่หนิวหมาจื่อก็ไม่ต้องการ” เซียวอวี้เวยออกหน้ากล่าวสนับสนุนเซียวอิงอิง ใครใช้ให้เซียวอิงอิงมีอนาคตที่ไร้ขีดจำกัด นางก็ต้องสนับสนุนอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?
หนิวหมาจื่อ?
อ้อ คนที่เคยมาขอนางแต่งาน
นางจำได้ว่าเจ้าของร่างเดิมเป็นคนที่ไล่หนิวหมาจื่อไปเอง แต่กลับมีข่าวลือเช่นนั้นออกมา ข่าวลือนี่น่ากลัวจริง ๆ
“เฮ้อ คนในหมู่บ้านนี้ช่างดุดันกันเสียจริง ๆ หญิงสาวที่ยังไม่ถึงวัยออกเรือนแต่กลับมาชี้หน้าต่อว่าคนอื่นเช่นนี้ เปิดปากมาแต่ละทีมีแต่คำว่าหญิงคณิกา ไม่ก็ไร้ยางอาย นี่สั่งสอนกันมาอย่างไรนะ?” เซียวหลียืดตัวอย่างขี้เกียจแล้วกล่าว “พวกท่านยังมีธุระอะไรกันอีกไหม? ข้าง่วงแล้ว ช่วยพากันกลับไปด้วย”
นางมองไปที่เซียวต้าโหย่วและเซียวต้าฟู่ สองคนที่อยากจะขับไล่นางออกไป
เซียวต้าโหย่วได้แต่คิด เขาไม่ใช่คนใจกล้าแต่เขาก็ไม่อาจจะยืนอยู่เฉย ๆ ได้
เพื่อความสุขตลอดชีวิตของลูก ๆ เขาหันไปพูดกับเซียวต้าฟู่ “น้องรอง เรามาร่วมกันจับนางมัดไว้เถอะ”
ไม่รู้ว่าเซียวต้าโหย่วเอาเชือกมาจากไหนทั้งสองคนตัดสินใจลงมือร่วมกัน นางถังกับนางหลิวก็มองหน้ากันแล้วทิ้งอดีตที่บาดหมาง ก่อนเดินไปหาเซียวหลีโดยไม่ต้องพูด
ทั้งสี่คนตัดสินใจลงมือพร้อมกัน มันยากที่จะรับมือกับพวกเขาพร้อม ๆ กัน เซียวหลีค่อย ๆ ลุกขึ้นแล้วตั้งท่าป้องกันเตรียมพร้อมรับมือ
หรงสวินที่ในบ้านมองไปที่การตั้งท่าแปลก ๆ ของ เซียวหลี หมัดของนางกำแน่นเอาไว้ที่อก เข่าของนางเอียงเล็กน้อยราวกับกระต่ายเจ้าเล่ห์
แต่ขณะนั้นเองที่เซียวหลีรู้สึกวิงเวียนขึ้นมาเล็กน้อย แย่แล้ว เป็นเพราะอาการบาดเจ็บที่หัวของนางยังไม่หายดีแน่ ๆ
“ลงมื....”
เซียวต้าโหย่วออกคำสั่ง ทั้งสี่คนต่างก็คิดที่จะลงมือ แต่ก่อนที่เซียวหลีจะได้ทำอะไร ทั้งสี่คนก็กรีดร้องและล้มลงไปกองที่พื้น บางคนเอามือจับต้นขา บางคนจับไปที่ก้น
หากมองดูชัด ๆ จะพบว่า สิ่งที่ปักอยู่ที่ขาของพวกเขามันคือกระดูกไก่นั่นเอง!