CD บทที่ 23 จุดเชื่อมโยงที่หายไป
เมื่อมองดูประตูโรงเรียนมัธยมฉินชางที่โอ่อ่าและเกรียงไกร จ้าวหยู่รู้สึกการก้าวขาไปข้างหน้าของเขาอึ้งราวกับถูกกาวตราช้างติดไว้กับที่
โรงเรียนฉินชานเป็นโรงเรียนมัธยมที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในส่วนเขตนี้ หลายคนยอมทำทุกอย่างเพียงเพื่อให้ลูกหลานของพวกเขาได้เข้าเรียนที่นี่
จ้าวหยู่ไม่คิดมาก่อนว่าเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ แบบเสี่ยวเฉินจะเรียนในโรงเรียนแห่งนี้ เธออยู่ชั้นมัธยมต้นปีที่สอง ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เธอจะต้องเตรียมตัวเพื่อสอบเก็บคะแนนเตรียมเข้าชั้นมัธยมปลาย
เขาแปลกใจยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อรู้ว่าที่จริงแล้วที่เสี่ยวเฉินไม่ต้องการให้พ่อของเธอมาไม่ใช่เพราะผลการเรียนของเธอย่ำแย่แต่เป็นเพราะผลการเรียนของเธอดีเกินไปต่างหาก!
ปรากฏว่าเสี่ยวเฉินเป็นอัจฉริยะระดับมัธยมศึกษาตอนต้นของที่นี่ ผลการเรียนของเธอมักจะติดอยู่อันดับ 1ใน3 ของโรงเรียนทุกครั้ง
เด็กหญิงคนนี้ยิ่งน่าสนใจเข้าไปอีก เธอบอกกับโรงเรียนว่าการเรียนภาคค่ำไม่เหมาะกับสไตล์การเรียนของเธอ เธอจึงขอตัวกลับไปเรียนเองที่บ้าน ตัวคุณครูเองก็ไม่สามารถพูดปฏิเสธคำขอจากเด็กนักเรียนเรียนดีได้ลง คุณครูของเธอจึงต้องการทำข้อตกลงกับคุณพ่อเสี่ยวเฉินเพื่อให้เธอได้รับอนุญาตการเรียนด้วยตัวเองที่บ้าน
ได้
แต่คุณครูหารู้ไม่ว่าคุณพ่อของเสี่ยวเฉินคนนี้ไม่ใช่พ่อที่แท้จริงของเธอและก่อนเธอที่เธอจะได้รู้จักกับจ้าวหยู่ เด็กคนนี้ได้หาคนมารับรองเป็นพ่อของเธอไว้แล้วหลายครั้ง
เหตุผลที่เธอทำอย่างนี้ เพราะเธอที่ไม่ต้องการให้ใครมารบกวนเวลากลางคืนนั้นก็เพราะเธอต้องการศึกษาเรื่องการแฮ็กข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตเพื่อทำการโจรกรรมข้อมูลมาขาย
แม้ว่าเธอจะทำสิ่งเหล่านี้ไปด้วยแต่ผลคะแนนการเรียนของเธอก็ไม่เคยตกลงสักครั้ง ดังนั้นการกระทำของเธอจึงไม่ถูกสังเกตจากทั้งที่บ้านและที่โรงเรียน
เกรดและความสามารถของเสี่ยวเฉินทำให้จ้าวหยู่รู้สึกละอายใจ เขาก็ไม่แน่ใจนักว่าทำไม แต่ขณะที่เขากำลังเดินผ่านเข้าประตูโรงเรียน เขามีความรู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะที่จะมาอยู่ที่นี่
หัวใจของเขาถูกเร่งจังหวะให้เต้นเร็วขึ้น เหงื่อเริ่มชื้นออกตามรูขุมขนทั้งหมดของเขา
นึกย้อนกลับไปสมัยที่เขาเข้าบุกไปยังถิ่นของแก๊งอื่น เขายังไม่เคยรู้สึกประหม่าและกังวลเท่านี้มาก่อน ช่วงวินาทีนั้นเขารู้สึกเสียใจจริง ๆ ที่ตอบตกลงมาเป็นพ่อให้กับเธอ
เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการไขคดีมือที่หายไปจนหมด จนทำให้เขาไม่มีพลังเหลือมากพอให้มาสนใจกับเรื่องเหล่านี้
เสี่ยวเฉินจึงดึงเอาไพ่ไม้ตายของเธอมาใช้และไพ่ของเธอก็ใช้ได้ผลกับจ้าวหยู่เสียด้วย
เธอบอกกับจ้าวหยู่ว่า “ลองคิดดูสิคะ ชีวิตของพวกเราทั้งคู่ขึ้นอยู่กับสิ่งนี้เลยนะคะ ถ้าคุณไม่ยอมมาเป็นผู้ปกครองให้หนูในวันนี้ แล้วความลับถูกเปิดเผยออกมาล่ะก็ ตัวคุณเองก็จะสูญเสียเงินไปทั้งหมดและนอกจากนี้ตัวคุณเองก็อาจโดนผลกระทบหนักเพราะตัวคุณเป็นตำรวจอีกด้วย!”
เธอรุกฆาตจ้าวหยู่จนเขาจอดสนิท เขาไม่สามารถปฏิเสธความจริงข้อนี้ไปได้ เมื่อคิดว่าตัวเขาเองก็มีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่องนี้และมันคงไม่คุ้มค่าเท่าไหร่ หากจุดจบเขาจะต้องมาพังเพราะอะไรแบบนี้
เขาไม่มีทางอื่นอื่นจึงต้องฝืนใจยอมเล่นละครนี้ไปกับเธอ
“ไม่ต้องห่วงนะคะ” เสี่ยวเฉินพยายามพูดกล่อมให้เขาลดความตื่นเต้นลง “ก็แค่ประชุมผู้ปกครองนิดหน่อยเท่านั้นเอง พ่อแม่ทุกคนต่างก็อยู่ในงานนี้ด้วยที่คุณต้องทำก็แค่นั่งฟังเฉย ๆ ถ้าเกิดโดนถามอะไรขึ้นมาก็สุ่มตอบมั่ว ๆ ไปก็ได้ค่ะ แค่ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่หนูไม่ยอมเข้าเรียนภาคค่ำก็พอ”
จ้าวหยู่ไม่สามารถทำอะไรได้เลยนอกจากทำตามคำสั่งของเด็กสาวคนนี้
หลังจากที่เสี่ยวเฉินเปิดประตูด้วยบัตรนักเรียนของเธอเสร็จ เธอนำทางจ้าวหยู่ไปที่อาคารเรียนดนตรี
ตัวอาคารค่อนข้างมีลักษณะเก่าแก่ มีชายคาและเสาหินมากมาย ดูเหมือนจะเป็นงานประติมากรรมจากยุค 70 ไม่ก็ 80 ภายในอาคารสามารถมองเห็นดวงดาวห้าแฉกสีเหลืองที่กระจัดกระจายอยู่เต็มผนัง
สีของกำแพง ค่อนข้างจางไปตามเวลา
เนื่องจากทางโรงเรียนกลัวว่าการประชุมผู้ปกครองครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อการเรียนของเด็ก ๆ ที่กำลังเรียนอยู่
พวกเขาจึงจัดงานประชุมที่ล็อบบี้ของอาคารเรียนดนตรี ตัวล็อบบี้สามารถบรรจุคนได้มากถึงร้อยกว่าคน แต่การจะผ่านเข้าประตูมาได้นั้นค่อนข้างเข้มงวดอย่างมาก
ผู้ปกครองทุกคนที่เข้าร่วมงานประชุมครั้งนี้ต้องใช้โทรศัพท์เพื่อทำการสแกนรหัสผ่านเข้ามา โชคดีที่ได้ผู้เชี่ยวชาญอย่างเสี่ยวเฉินดูแลเรื่องนี้ให้แล้วเรียบร้อย จ้าวหยู่เลยไม่ได้รับปัญหาใด ๆ ในการเข้ามา
เนื่องจากนักเรียนจะไม่ได้มีส่วนร่วมในการประชุมผู้ปกครองครั้งนี้ด้วย เสี่ยวเฉินเลยต้องยอมเสียสละคาบเรียนของเธอไปหนึ่งคาบเพื่อนำทางจ้าวหยู่ไปยังตำแหน่งที่เขาควรจะอยู่ได้อย่างถูกต้อง เมื่อเธอมาส่งเขาเสร็จและกำลังจะเดินจากไป เธอยังคงเป็นห่วงเขาและลอบมองจ้าวหยู่ตลอดการเดินทางกลับห้องเรียนหลายครั้ง
จ้าวหยู่เลือกนั่งตรงเก้าอี้หน้าเวทีที่ใกล้ ๆ กับตรงที่เขายืนอยู่
เขาได้เปิดใช้งานเครื่องดักฟังล่องหนของเขาซึ่งยังคงทำงานอยู่เสมอ แม้ว่าตัวเขาต้องมารับบทเป็นพ่อให้กับเสี่ยวเฉิน แต่เขาไม่สามารถหยุดการไขคดีนี้ได้ เขายังคงเฝ้าดูสถานการณ์และความเคลื่อนไหวของทีมบีอยู่อย่างใกล้ชิด
ขณะที่จ้าวหยู่กำลังนั่งอยู่ในอาคารเรียนดนตรีแห่งนี้ ตัวคูปิงเองก็ยังไม่สามารถแก้ไขคดีนี้ได้เช่นกัน
ยังมีช่วงเวลาว่างอีกมากก่อนที่การประชุมผู้ปกครองครั้งนี้จะเริ่มต้นขึ้น ดังนั้นจึงยังไม่มีผู้ปกครองมาที่ตรงนี้มากนัก
ในหมู่พวกเขาที่นั่งกันอยู่ มีคุณแม่วัย 40 ปี อยู่คนหนึ่ง เมื่อเธอเห็นเปียโนตั้งอยู่บนเวที เธอจ้องมองไปอย่างสนอกสนใจและเดินไปที่เปียโนตัวนั้นก่อนจะเริ่มบรรเลงบทเพลง
การเล่นเปียโนของเธอเข้าขั้นมืออาชีพอย่างเห็นได้ชัด ท่วงทำนองที่เธอเล่นออกมามันทั้งอ่อนโยนและผ่อนคลาย
เสียงดนตรีที่ชวนจรรโลงใจดังไปทั่วล็อบบี้ ชวนให้ปรับเปลี่ยนอารมณ์ของคนที่มาที่แห่งนี้ได้อย่างง่ายดาย ทุกคนต่างเข้ามารุมล้อมข้าง ๆ เวทีด้วยความสนใจ
ถึงแม้จ้าวหยู่จะเป็นคนที่แข็งกระด้าง แต่เขาเองก็มีความสนใจในด้านดนตรีอยู่เหมือนกัน เขาเอนตัวพิงไปกับที่นั่ง ปล่อยให้ตัวเองได้ผ่อนคลายจากความคิดที่เหนื่อยล้าไปกับเสียงเปียโน
จ้าวหยู่นั่งอยู่ในตำแหน่งที่สามารถมองเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน โดยที่ไม่รู้ตัว สายตาของเขาก็ถูกสะกดไปกับนิ้วมือเรียวยาวที่กำลังบรรเลงไปมาโดยไม่ตั้งใจ
มันอาจจะเป็นอิทธิพลจากคดีมือที่หายไป ทำให้จ้าวหยู่เกิดความคิดขึ้นมาในใจว่า
‘มือที่สวยงามแบบนี้จะเป็นอย่างไร ถ้าเขาตัดข้อมือนั้นออกมา...’
มือของผู้หญิงคนนั้นเคลื่อนไหวไปมาอย่างช่ำชอง ก่อเกิดตัวโน้ตที่สวยงามเมื่อได้ยิน
เสียงดนตรีนี้เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่มีชีวิตชีวา ทุกคนราวกับถูกมนต์สะกดเอาไว้ เป็นเรื่องง่ายที่จะบอกว่าทักษะการเล่นเปียโนของเธอเกินกว่าจะเป็นนักเล่นปกติทั่วไป
เมื่อเสียงเพลงจบลง ทุกคนตกตะลึงไปประมาณสามวินาทีก่อนจะพากันปรบมือส่งเสียงปรบมือให้เธอ
“โอ้ นั่นคุณแม่ของชานชานนี่” คุณแม่คนอื่น ๆ เริ่มพากันยกย่องชมเชยเธอ
“ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะคะว่า เธอจะมีทักษะการเล่นเปียโนแบบนี้กับเขาด้วย เธอเล่นเก่งอย่างกับมืออาชีพเลยนะคะเนี่ย”
“ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ” คุณแม่ของชานชายยิ้มและตอบกลับไปอย่างถ่อมตน “ฉันเองก็ไม่ได้เล่นมาหลายปีแล้วแหละค่ะ ไม่ได้จะคุยโวอะไรหรอกนะคะแต่การเล่นเมื่อกี้นี่เทียบไม่ได้เลยกับการเล่นไปให้ถึงระดับสิบ มันเป็นเรื่องที่ยากกว่ามาก”
“โอ้ ตายจริง คุณมีทักษะการเล่นถึงระดับสิบเลยหรือคะเนี่ย แหม่ พวกเราเองก็รู้จักกันมานาน ไม่เห็นคุณจะเอ่ยถึงเรื่องนี้เลยนะคะ” แม่ ๆ คนอื่นเริ่มพากันหัวเราะ
“ก็มันไม่ได้มีอะไรพิเศษสักหน่อยนี่คะ ฉันเองก็ไม่ได้ทำมาหากินกับการเล่นเปียโนเสียหน่อย ไม่มีเรื่องให้เอ่ยถึงหรอกค่ะ อันที่จริงแล้วมันก็แค่ความคิดถึงเวลาเก่า ๆ น่ะค่ะ เลยรู้สึกอยากเล่นขึ้นมา ฉันยังคงจำความหลังเมื่อยสิบปีก่อนได้อยู่เลยนะคะ ตอนที่ฉันกำลังแข่งทัวร์นาเม้นท์เปียโนที่นี่จนเกือบจะได้รับรางวัล” เธอเริ่ม
พูดต่อ “ถึงแม้ว่าที่นี่จะดูเก่าตามกาลเวลาแต่ในขณะนั้น ที่นี่เป็นที่รู้จักกันอย่างดีในด้านชื่อเสียงของการเรียนดนตรีของเมือง หลายคนที่มีชื่อเสียงเองก็จบจากที่นี่นะคะ
เฮ้อ…ถ้าตอนนั้นฉันขยันให้มากกว่านั้นแล้วล่ะก็ บางทีชีวิตของฉันตอนนี้คงจะแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงเลยก็ได้”
“แหม่ คุณก็พูดไป” แม่เด็กคนอื่นกล่าวขึ้นมา “ชานชานของคุณเองก็เป็นเด็กที่ยอดเยี่ยมนะคะ ถ้าคุณส่งเขาไปเรียนดนตรีเพิ่มเติมล่ะก็ คงจะเป็นเด็กที่เก่งสุด ๆ แน่นอนเลยค่ะ”
“ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีนะคะ ฮ่าฮ่า” คุณแม่ของชานชานเริ่มหัวเราะตาม
ระหว่างบทสนทนาข้าง ๆ ที่เกิดขึ้น
จ้าวหยู่รู้สึกว่าเขาสามารถจับใจความอะไรได้บางอย่าง เขาพยายามที่จะนึกอย่างหนักว่าเป็นเรื่องอะไร และทันใดนั้นเอง จู่ ๆ เขาก็ลุกพรวดขึ้นจากที่นั่งราวกับโดนฟ้าผ่าลงมา
‘ใช่แล้ว เปียโนไง!!’ เขาคิด “เปียโน มันคือเปียโนนี่เอง!!!”
เป็นไปได้มั้ยว่านี่จะกุญแจสำคัญที่นำไปสู่การไขคดีมือที่หายไปมันจะอยู่ที่นี่!?