เกิดใหม่เป็นทารกขั้นเทพ ตอนที่ 125
ตอนที่ 125
“เจ้า...ไม่กลัวว่าจะถูกลงทัณฑ์โดยสรวงสวรรค์หรืออย่างไร?!”
ผู้บ่มเพาะขั้นที่เก้าของแดนแก่นทองคำคนหนึ่งซึ่งหนีรอดไปได้คำรามดังขึ้นจากระยะแสนไกลด้วยเสียงสั่นเครือ ท้ายที่สุด ประกายแสงบางอย่างก็ล้อมรอบกายเขา ขนนกหลากสีปรากฏบนท้องฟ้า ตามมาด้วยแสงเจิดจ้า กลายเป็นเตาหลอมห้าสีที่มีขนาดใหญ่กว่าภูเขาเล็กน้อย ราวกับว่ามันเป็นสิ่งเดียวเท่านั้นที่มีตัวตนในโลกใบนี้!
“ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า ยินดีเสียเถิด หากเจ้ามิรู้ว่าสิ่งใดดีสำหรับตนเอง จุดจบย่อมมิได้ดีนัก”
เสียงของชายแก่ในชุดป่านผู้นั้นดังออกมาจากเมืองหลวงของราชวงศ์ น้ำเสียงของเขาช่างเย่อหยิ่งและเหยียดหยาม
จากนั้น ผู้บ่มเพาะขั้นสิบแดนแก่นทองคำผู้หนึ่งก็กรีดร้องยาวนานถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน
ผู้อื่นก็รู้สึกมิได้ต่างกัน สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นจุดไฟโทสะไปทั่วทั้งอาณาเขตเหนือคราม แต่ไม่มีใครคาดคิดว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น
ในคืนนั้น ราชวงศ์อมตะส่งองครักษ์ขนนกดำออกไป “เยี่ยมเยียน” ตระกูลทั้งหลายที่ส่งคนของตนมายังเมืองหลวงของพวกมัน
ไม่ว่าตระกูลเหล่านั้นจะทรงพลังหรืออ่อนแอเพียงใด พวกมันล้วนถูกสะกดข่มด้วยองครักษ์ขนนกดำจากราชวงศ์อมตะทั้งหมด
บัดนี้ ราชวงศ์อมตะแสดงออกถึงความยโสโอหัง กดศีรษะผู้อื่นและไร้ซึ่งเหตุผล!
พวกมันมิได้สนใจว่าตระกูลเหล่านั้นจะมีความเป็นมานับพับหรือนับหมื่นปี ตระกูลทั้งหลายล้วนถูกบีบบังคับให้ก้มหัว องครักษ์ขนนกดำเหล่านั้นต่างมีสมบัติบางอย่างในมือ ตระกูลใดก็ตามที่ไม่พอใจในการกระทำของราชวงศ์อมตะล้วนถูกฆ่าล้างทิ้งทั้งหมด ไม่เหลือรอดแม้แต่คนเดียว!
บางตระกูลที่ยังมีศักดิ์ศรีและแสดงออกซึ่งการต่อต้าน ทว่าสิ่งที่รอต้อนรับพวกเขาอยู่คือหายนะแห่งการทำลายล้าง!
“พวกเจ้าบังอาจตั้งตนเป็นศัตรูกับราชวงศ์อมตะเช่นนั้นหรือ? พวกเจ้ารนหาที่ตาย!”
“พวกเราเพียงใช้อัจฉริยะน้อยของพวกเจ้าในการสังเวยเลือดเท่านั้น มิใช่ตัวพวกเจ้าเอง ช่างโง่เง่ายิ่งนักที่คิดว่าจะต่อต้านพวกเราได้!”
น้ำเสียงหนาวเย็นเสียดแทงขั้วหัวใจดังสะท้อนไปทั่วซากปรักหักพังของอาคาร ภูเขาซากศพ และทะเลโลหิต เหล่าองครักษ์ขนนกดำเริ่มเทศกาลล่าสังหาร ทำให้มีผู้บริสุทธิ์นับไม่ถ้วนตกตายลงอย่างไม่เต็มใจ
หลังจากการสังหารหมู่ คนจากราชวงศ์อมตะมิได้จากไปในทันที พวกมันเลือกเอาบางกองกำลังที่สยบยอมแก่ราชวงศ์มา ก่อนจะให้พวกมันเข้าไปแทนที่ตระกูลซึ่งถูกกวาดล้างและปกครองอาณาเขตเหล่านั้นแทน
“เจ้าดูใช้ได้เลยทีเดียว มาจากที่ใดกัน?” ชายฉกรรจ์ในชุดสีขาวทองปักลายบุปผาม่วงหกดอกไว้ที่แขนเสื้อสะบัดกระบี่ไล่คราบเลือดพลางมองไปยังผู้ที่ติดตามมาด้วยด้านข้างของมัน
“ผะ ผู้อาวุโส ข้าเกิดในเมืองหงฉ่วย ข้า...” ร่างกายของผู้ที่เฝ้ามองอยู่ด้านข้างสั่นเทาราวกับว่าได้พบเห็นสิ่งที่น่าหวาดผวามาก่อนหน้านี้
“เอาล่ะ ในอนาคต สายเลือดของสีชานจะไม่หลงเหลืออีกต่อไป ในเมืองหงฉ่วยนี้ ข้าจะให้เจ้าได้กลายเป็นผู้ปกครอง” ก่อนที่ผู้ติดตามคนนั้นจะได้ทันเอ่ยจบประโยค คนจากราชวงศ์กลับพูดแทรกขึ้นมา จากนั้นมันก็ขว้างตราหยกที่สลักเป็นคำว่า “ราชวงศ์” ให้อีกฝ่าย เสียงของมันสงบนิ่งยิ่งนัก
“ต่อไป เมืองแห่งนี้ถือว่าเป็นอาณาเขตของราชวงศ์อมตะแล้ว”
“หากใครก็ตามไม่เห็นด้วย เจ้าสามารถเดินทางมายังราชวงศ์ได้ด้วยตราหยกนี้”
เมื่อผู้คนโดยรอบได้ยินประโยคนั้น พวกมันชะงักค้างไปก็นี่ในแววตาจะเปิดเผยความริษยาออกมา
ผู้เฝ้ามองคนนั้นเองก็นิ่งงันไปชั่วขณะก่อนจะรับรู้ว่าตนเองได้ผลประโยชน์ใดมา มันคุกเข่าลงแทบพื้นดินและคารวะคนของราชวงศ์อย่างบ้าคลั่ง
“ขอบพระคุณท่านผู้อาวุโสที่มอบโอกาสนี้ให้ ขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง ข้าสาบานว่าจะมิทำให้ท่านผิดหวัง...”
คนจากราชวงศ์ยิ้มเล็กน้อย ทว่าร่องรอยเยาะเย้ยกลับปรากฏในแววตาของมัน หลังจากแต่งตั้งคนผู้นั้นแล้ว มันก็หันหลังกลับและเหาะจากไป
หลังจากคนของราชวงศ์ทั้งหลายจากไป ผู้คนที่ผ่านไปมาและผู้ที่คอยเฝ้ามองบางส่วนโดยรอบต่างรีบพุ่งเข้ามาใส่ผู้โชคดีคนนั้นอย่างรวดเร็ว พร้อมประจบประแจงอย่างเต็มที่
ถ้าหากไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นอีก กองกำลังเล็กๆ ที่เรียกอาศัยอยู่ในเมืองหงฉ่วยจะกลายเป็นผู้มาแทนที่สายเลือดของสีชาน! พวกมันสามารถควบคุมเมืองแห่งนี้และกลายเป็นตัวตนที่ยิ่งใหญ่ทันที!
หลังจากเรื่องเช่นนี้แพร่กระจายออกไป สถานการณ์ทั้งหลายก็เปลี่ยนไปโดยทันที
เมื่อตระกูลใดก็ตามถูกปราบปรามโดยราชวงศ์อมตะ จะปรากฏกองกำลังจำนวนหนึ่งที่ตามไปรุมล้อมและเยาะเย้ยตระกูลที่ถูกทำลายโดยทันที ราวกับว่าผู้ที่กระทำบาปอันน่าละอายยิ่งนั้นมิใช่ราชวงศ์อมตะแต่เป็นตระกูลผู้บริสุทธิ์ทั้งหลาย
ในอีกด้านหนึ่ง เพื่อปกป้องสายเลือดของตน ตระกูลอื่นต่างกัดฟันและอดทนต่อการเอาเปรียบของราชวงศ์อมตะ ส่วนอีกด้าน เหล่ากองกำลังที่มาล้อมรอบพวกเขาต่างคอยเยาะเย้ยถากถางอยู่รอบด้าน พวกมันหวังให้ตระกูลเหล่านั้นถูกทำลายเพื่อที่กองกำลังของตนจะได้ยึดทรัพยากรมาเป็นของตัวเอง....
ในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่เพียงราชวงศ์อมตะจะเปิดเผยความหยิ่งผยองและกดข่มผู้อื่นของพวกมัน หากแต่รวมถึงการได้แสดงออกถึงพลังอำนาจที่พวกมันครอบครองเอาไว้ ความรู้สึกที่น่าหวาดผวานี้ทำให้ผู้คนทั้งหลายหมดสิ้นซึ่งความต้องการต่อต้าน
ถึงจุดนี้ ตระกูลอื่นในอาณาเขตเหนือครามก็เริ่มมีปฏิกิริยาตอบสนอง ความน่ากลัวของราชวงศ์อมตะเพิ่มมากขึ้นทุกขณะ....
“ในใต้หล้านี้ มีเพียงพละอำนาจเท่านั้นที่สำคัญ ต่อให้ตระกูลเหล่านั้นเป็นฝ่ายถูกต้องแล้วอย่างไร?”
“บัดนี้ เหล่าตระกูลในอาณาเขตเหนือครามจะหลงเหลือตระกูลใดที่กล้าหาญพอจะต่อต้านราชวงศ์อมตะได้? ข้าจำได้ว่าเหลือเพียงตระกูลหลินแห่งอาณาจักรฉีซานเท่านั้นที่ยังรอดอยู่ ใช่หรือไม่?”
การต่อต้านราชวงศ์อมตะมิได้ง่ายดายเช่นนั้น! ต้องรู้ก่อนว่าความยิ่งใหญ่ของราชวงศ์มิใช่สิ่งที่จ้าวห้วงเหวจะสามารถเปรียบเทียบได้! ชะตากรรมของตระกูลหลินถูกลิขิตให้ย่อยยับแล้ว!”
กองกำลังบางส่วนรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น บางส่วนยืนหยัดอยู่เหนือผู้อื่น บ้างเยาะเย้ยในที่ลับ และส่วนใหญ่ของพวกมันกำลังมองหาผลประโยชน์ที่จะได้รับจากเหตุการณ์ในครั้งนี้
ทางด้านตระกูลทั้งหลายที่เลือก ‘กล้ำกลืนความโกรธลงไป’ ทำได้แค่เพียงนิ่งเงียบเท่านั้น
ถึงแม้ว่าพวกมันจะเศร้าโศกและโกรธเกรี้ยว ไม่เพียงอัจฉริยะวัยเยาว์จะถูกสังเวย พวกมันก็ถูกสังหารและบีบบังคับให้ยอดพ่ายแพ้ แล้วหัวใจของพวกมันจะรู้สึกสงบสุขได้อย่างไร?
อย่างไรก็ตาม ราชวงศ์อมตะมิได้สนใจความคิดเห็นของตระกูลทั้งหลายแหล่แต่อย่างใด
“หากเจ้ามียอมสยบ ก็ตาย แต่ถ้ายอมพ่ายแพ้ ก็จงคุกเข่าลงอย่างเชื่อฟังเสีย! ต่อให้พวกเจ้ารวมตัวกับเพื่อสร้างกองทัพต่อต้านพวกเราราชวงศ์อมตะแล้วอย่างไร? หากไม่มีผู้บ่มเพาะแดนก่อตั้งจิต มีหรือที่พวกเจ้าจะสามารถต่อกรกับพวกเราได้?”
สิ่งเดียวที่ราชวงศ์อมตะกำลังกังวลในเวลานี้คือพวกเขาสูญเสียหม้อสามขาทมิฬในตำแหน่งลี่หัวไป!
ในตอนนี้ ตระกูลหลินยังมีได้โจมตีราชวงศ์อมตะ แต่ด้านราชวงศ์กลับเตรียมกองกำลังเรียบร้อยและกำลังมุ่งหน้าไปยังอาณาจักรฉีซาน...
พายุลูกใหญ่ที่จะโหมกระหน่ำไปทั่วอาณาเขตเหนือครามแห่งนี้กำลังก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ ....
บุคคลที่เป็นจุดศูนย์กลางของความปั่นป่วนนี้ หลินซวน ยังคงไม่ได้สติอยู่ในหุบเขาของแดนรกร้าง
ทางด้านอาณาเขตเหนือครามเต็มไปด้วยความโกลาหล
ทว่าด้านส่วนลึกของแดนรกร้างนั้น ทุกสิ่งดำเนินไปความสงบสุข ในหุบเขาที่เต็มไปด้วยแท่นบูชาห้าสี มีเสียงของน้ำพุใสกระจ่างและหมอกบางเบาลอยเต็มพื้นที่ ต้นหลิวยักษ์สีเขียวราวกับหยกหยั่งรากลึกลงในดินและปลดปล่อยประกายแสงระยิบระยับ
เป็นเวลากว่าสามวันมาแล้วหลังจากที่สถานการณ์ต่างๆ ในอาณาเขตเหนือครามปะทุขึ้นจากฝีมือของราชวงศ์อมตะ ทว่าตอนนี้ หลินซวนยังคงไม่ได้สติอยู่เช่นเคย
ในการต่อสู้ก่อนหน้านั้น เขาประสบกับอาการบาดเจ็บสาหัส
ต่อให้หลินซวนจะมีพรสวรรค์เหนือธรรมดาและสามารถต่อสู้เคียงข้างหลินเฮ่า ทว่าเขาก็เป็นเพียงทารกวัยไม่เพียงครึ่งปีเท่านั้น อีกทั้ง เขายังอยู่ในแดนปราณสร้างรากฐาน...ต่อให้มีพรสวรรค์มากมายเพียงใด เขาย่อมมิสามารถจะทนต่อพลังอำนาจของผู้บ่มเพาะชนชั้นแก่นทองคำได้