CD บทที่ 19 ทีมสืบสวนอันดำมืด
“รถ BMW ของหลัวเหม่ยนาถูกนำมาจอดในซอยหนึ่งที่ถนนจิวเฮอ” หนึ่งในทีมสืบสวนทีม B พูดขึ้น “ซอยนั้นเป็นซอยที่สามารถแยกไปทางศาลเจ้าเจียงจวินและสามารถแยกออกได้หลายทิศทางเพื่อไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ในเมืองฉินชานได้ เราได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดเท่าที่จะหาได้มาแล้ว แต่ก็ยังไม่พบคนที่ต้องสงสัยแต่อย่างใด”
“อืม…” คูปิงพูด “ถ้าคนร้ายสามารถหลีกเลี่ยงเส้นทางที่มีกล้องวงจรปิดได้แบบนั้น ความเป็นไปได้มีเพียงสองกรณีเท่านั้น คือคนร้ายคุ้นเคยกับพื้นที่ตรงนี้เป็นอย่างดีหรือคนร้าย
อาศัยอยู่ที่นี่และหลังจากที่คนร้ายตัดมือของเธอไป เขาก็ตรงกลับบ้านไปในทันที!”
“หัวหน้าครับ” เจ้าหน้าที่ในทีมพูดขึ้น “บริเวณศาลเจ้าเจียงจวินมีเส้นทางซับซ้อนมากครับ คนที่อาศัยบริเวณนั้นมีไม่ต่ำกว่าเก้าร้อยคน ยังไม่นับรวมกลุ่มคนที่ต้องทำงานนอกเวลาและกลุ่มคนที่เช่าบ้านอยู่ หากต้องการตรวจสอบแบบละเอียดคงจะเป็นเรื่องยาก
มากครับ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เหยาฮุ่ยและต้าเผิงก็ได้เริ่มดำเนินการบางส่วนไปแล้วครับ”
“เข้าใจแล้ว ตรวจสอบต่อไป” คูปิงหยุดพักชั่วครู่เพื่อขบคิดอะไรบางอย่างก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “หลิวผลจากการตรวจสอบเลือดของหลัวเหม่ยนาออกมารึยัง?”
“ออกมาแล้วครับ” นักสืบในทีมที่ชื่อหลิวตอบรับทันควัน “ผลการตรวจสอบสารพิษในเลือดพบว่ามีสารทำให้สลบสองแบบในตัวเธอ ชนิดที่หนึ่งมีอีเทอร์แบบเข้มข้นซึ่งทำงานผ่านการสูดดมและอีกชนิดเป็นยาที่ฉีดเข้าสู่กระแสเลือด นั่นคือสารไธอามีน”
“นั่นหมายความว่า คนร้ายทำให้เธอสลบโดยการใช้อีเทอร์ หลังจากนั้นถึงจะฉีดยาอีกตัวเข้าไป” คูปิงตั้งข้อสังเกต “วิธีการลงมือเหมือนกับเหยื่อทั้งสองรายเลย”
“ส่วนประกอบของยาที่พบมีเคตามีน, เฟนไซคลิดีน, ไฮโดรคลอไร และยาปฏิชีวนะครับ” หลิวกล่าวต่อ “การทำยาสลบแบบนี้เป็นที่รู้จักกันดีในชื่อ ‘สมบัติของกวางที่หลับใหล’ ครับ มันถูกใช้เป็นยาสลบของพวกสัตว์ใหญ่ครับ”
“มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ ให้ตายเถอะ!”
จ้าวหยู่กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของเขาโดยไม่ต้องใช้หูฟัง เขาก็สามารถได้ยินข้อมูลที่ทีมบีคุยกันได้อย่างชัดเจน เขาต้องการบันทึกข้อมูลทุกอย่างที่ได้ยินนี้ลงไวท์บอร์ดของตัวเอง เพื่อนำมาใช้เป็นหลักฐานทั้งหมด เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ายาสลบที่นำมาใช้กับหลัวเหม่ยนาคือยาตัวเดียวกันที่ใช้กับพวกสัตว์
“ผมได้ทำการสืบหาที่มาของยามาแล้ว พบว่ายาชนิดนี้เป็นยาประเภทที่มักจะป้อนให้สัตว์เพื่อทำการฆ่าเชื้อ โดยปกติแล้วมักใช่กันแค่ภายในหมู่บ้านหรือในเมือง” หลิวยังพูดต่อ “เราไม่สามารถติดตามที่มาขอยาชนิดนี้ได้ว่ามาจากแหล่งไหนและตามรายงานยังบอกอีกด้วยว่า ยาที่คนร้ายใช้กับหลัวเหม่ยนาสามารถทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ซึ่งยาตัวนี้ทำให้หลัวเหม่ยนาสลบไปนานถึงห้าชั่วโมงเต็ม ๆ ถ้ามันถูกใช้กับใครบางคนที่ร่างกายไม่แข็งแรง ผมเกรงว่า…”
“อืม…” หัวหน้าทีมคูปิงกำลังไตร่ตรองความเป็นไปได้ทั้งหมด “ฉันจำได้ว่าเหยื่อก่อนหน้านี้ก็ถูกใช้ยาที่ทำให้สลบไปประมาณห้าชั่วโมง
แบบนี้เหมือนกันแต่ฤทธิ์ของยาไม่ได้รุนแรงขนาดนี้ มีเหตุผลอะไรที่คนร้ายต้องเพิ่มปริมาณยาให้สูงขึ้นเพียงเพื่อจะตัดมือเหยื่อกัน?”
“บางทีคนร้ายอาจเป็นมือใหม่กับการใช้ยาสลบมั้งครับ” เจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่งเริ่มตั้งข้อสังเกต
“นี่คือคดีที่เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สามแล้ว!” คูปิงปฏิเสธความเห็นนั้นทิ้งไป “และแม้ว่าคนร้ายจะเป็นมือใหม่จริง แต่คนร้ายไม่มีทางจะคิดการได้รอบคอบมากขนาดนี้ ไม่ต้องพูดถึงพวกวิธีการใช้คู่มือแนะนำต่าง ๆ อีก”
“หรือบางที…” อีกคนหนึ่งเริ่มทำการคาดเดา “คนร้ายรู้สึกผิดกับการกระทำเลยปรับขนาดยาให้ใหญ่ขึ้นเพื่อหวังให้เหยื่อตาย?”
“นั่นยิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่” คูปิงปัดความเห็นอย่างรวดเร็วอีกครั้ง “ถ้าคนร้ายต้องการที่จะฆ่าเหยื่อจริง ๆ ทำไมคนร้ายต้องปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้กับเหยื่อไว้ด้วยล่ะ ถ้าเป็นฉันล่ะก็ คนร้ายใช้ยาที่มีความเข้มข้นสูงขึ้นก็เพื่อป้องกันเหยื่อตื่นขึ้นมาเร็วเกินไปซึ่งอาจจะทำให้เหยื่อทราบถึงตัวตนคนร้ายหรือจดจำเส้นทางการหลบหนีของคนร้ายได้
หลิวอ่านที่รายงานต่อสิ ตำแหน่งของเหยื่อที่โดนฉีดยามันอยู่ตรงไหน?”
“ด้านหลังมือฝั่งซ้าย ตรงบริเวณเส้นเลือดดำครับ มันเป็นพื้นที่ทั่วไปในการฉีดยาไม่มีมีข้อมูลที่พิเศษอะไรครับ”
นอกจากการแอบฟังข้อมูล จ้าวหยู่ยังศึกษาและเรียนรู้วิธีการทำงาน การวิเคราะห์จากคูปิงและคนอื่น ๆ อีกด้วย
การได้แอบฟังข้อมูลและยังได้ศึกษาวิธีการสืบสวนแบบนี้ ถือว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
แต่ในขณะที่จ้าวหยู่กำลังดักฟังอยู่นั้น เขารู้สึกเอะใจแปลก ๆ ข้อมูลที่เขาได้รับมากับข้อมูลที่ทีมบีกำลังพูดมานั้น ดูเหมือนจะไม่ตรงกันเสียเลย
ในที่สุดจ้าวหยู่ก็รู้ตัว ‘หรือว่า พวกเขามอบข้อมูลที่ไร้ประโยชน์ให้ฉัน! นี่เป็นข้อมูลที่ไม่จำเป็นอย่างนั้นเหรอ!?’ เขาคิดกับตัวเอง
“เอาจริงดิ?!” จ้าวหยู่ได้แต่กระวนกระวายในใจ
เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าแผนกสืบสวนแห่งนี้จะทำอะไรแบบนี้ได้ลงคอ
การกลั่นแกล้งและป้องกันข้อมูลของตัวเองแต่ฝ่ายเดียวแบบนี้ แทบจะไม่ต่างอะไรกับงานในชีวิตเก่าของเขาเลย!
“ชิ!” จ้าวหยู่ทำเสียงน่าราคาญใจ หลังจากที่เขาสามารถสงบอารมณ์ของตัวเองได้ เขาผ่อนคลายลงอย่างรวดเร็ว
“ตั้งแต่ที่พวกแกเริ่มกลั่นแกล้งฉัน แล้วก็มาคราวนี้อีก หึ ถ้าโดนฉันสวนกลับไปบ้างก็อย่ามาโกรธก็แล้วกัน!!”
“ฉันจะจับกุมคนร้ายก่อนหน้าพวกแกทุกคนที่อุตส่าห์พยายามทำงานกันมาอย่างหนักแทบตาย แต่ถ้าคิดว่าตัวเองทำงานหนักและจริงจังมากพอ ฉันจะทำมันยิ่งกว่าขึ้นไปอีก!”
...
เวลา 12.00 น. คูปิงและหน่วยสืบสวนทีม B ยังคงทำงานกันอย่างต่อเนื่อง มีบางคนในทีมพวกเขาที่ออกไปข้างนอกบ้าง บางคนก็ยังทำงานอยู่ที่เดิมไม่ได้ไปไหน
ทางด้านจ้าวหยู่ เขายังอยู่ที่เดิมเพื่อจะได้จดบันทึกข้อมูลที่เขาดักฟังต่อไป เขาหยิบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบถ้วยของใครก็ไม่รู้ มากินเพื่อคลายความหิว
ส่วนข้อมูลที่เขาได้รับมา ด้วยปริมาณข้อมูลที่เขาได้รับมาเพิ่มเติม ทำให้ไวท์บอร์ดของจ้าวหยู่ไม่ได้กระจายข้อมูลเหมือนอันเก่า เขาได้เรียนรู้การจัดวางข้อมูลและเชื่อมข้อมูลหากันอย่างถูกวิธี รวมถึงสามารถแยกการวิเคราะห์หลักฐานง่าย ๆ ออกมาได้อย่างชัดเจน
อาจจะเป็นเพราะอิทธิพลของคูปิงด้วย เลยทำให้เขารู้สึกได้ว่า ข้อมูลทุกอย่างที่อยู่บนกระดานนี้ทำให้เขาสามารถเข้าใกล้ตัวคนร้ายได้มากกว่าเดิม แต่ทุกครั้งที่เขาสัมผัสความรู้สึกนั้นได้ ก็มีอะไรบางอย่างมาขวางกั้นทำให้เขาไม่สามารถไปต่อไปเลย
“ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ไปได้ นี่เราพลาดอะไรที่สำคัญไปรึเปล่า?”
ขณะที่เขากำลังใช้ความคิดกับข้อมูลตรงหน้า เขาไม่สามารถไปต่อด้วยตัวเองได้อีกต่อไป เขามองผ่านหลักฐานพวกนี้ซ้ำไปซ้ำมาจนสามารถจำข้อมูลได้เกือบทั้งหมดแล้ว
ช่วงเวลาประมาณสี่โมงเย็น เพื่อนข้างโต๊ะทำงานทั้งสอง จางจิงเฟิงและเหลียงฮวนก็กลับมาจากการลาดตระเวน ทั้งสองตกใจมากเมื่อเห็นกองหลักฐานกองใหญ่เต็มโต๊ะของจ้าวหยู่
“จ้าวหยู่” จางจิงเฟิงเรียก “นี่พวกเราพลาดอะไรกันไปหรือเปล่า?”
จ้าวหยู่ไม่แม้แต่จะมองพวกเขาและยังคงจดจ้องไปที่ไวท์บอร์ดราวกับกำลังโดนมนต์สะกดไว้
“โอ้…นี่คือคดีมือที่หายไปสินะ” เหลียงฮวนรู้ได้ในทันที ก่อนจะยกน้ำขึ้นมาจิบแก้กระหายพร้อมกับถอนหายใจเบา ๆ “เพราะคดีเจ้าปัญหานี้ทำให้คดีอื่น ๆ ไม่ได้เริ่มทำกันเสียที พูดก็พูดเถอะนะ พวกนายไม่คิดบ้างเหรอว่าแค่มือข้างเดียวมันจะไปมีความสำคัญอะไรมากมายขนาดนั้นกัน?”
คำพูดสุดท้ายของเหลียงฮวนดึงความสนใจจากจ้าวหยู่ในทันที เขาหันมาและพูดว่า “คุณหมายความว่ายังไง?”
จางจิงเฟิงนั่งลงก่อนจะพูดแบบน้ำเสียงโผงผาง “ก็ดูสิ! ทางเบื้องบนต้องการให้ทีม B ช่วยทำคดีมือที่หายไปนี่อย่างเดียว แล้วให้
ระงับการทำพวกคดีฆาตกรรมอื่น ๆ ที่โหดร้ายกว่านี้ตั้งเยอะไว้ก่อน”
“พวกคุณทั้งคู่ก็ได้สืบสวนเรื่องนี้กันด้วยเหรอ? แล้วได้พบหลักฐานอะไรเพิ่มเติมบ้างไหม?”
จ้าวหยู่แสดงความอยากรู้อยากเห็นออกมา จ้าวหยู่เห็นว่าพวกเขาเพิ่งกลับมา บางทีพวกเขาอาจได้หลักฐานใหม่ ๆ กลับมาด้วยก็ได้
จางจิงเฟิงรีบตอบไปในทันที “ก็แค่ไปคุยกับแผนกการจราจรและแผนกนิติวิทยาศาตร์เท่านั้นเอง พวกเราทำตามคำสั่งของหัวหน้าจิน เราได้ไปตรวจสอบรถ BMW ของเหยื่อมา”
“อะไรนะ? ไม่ใช่ว่ามันถูกตรวจสอบเสร็จไปแล้วหรอกหรือ? ทำไมถึงต้องตรวจสอบกันใหม่ด้วย” จ้าวหยู่ยังคงถามต่อ
“ก็ในวันที่เกิดเหตุ พบกล้องวงจรปิดมากมายที่สามารถจับภาพรถคันนั้นเอาไว้ได้น่ะสิ” เหลียงฮวนเริ่มตอบ “แต่สิ่งที่น่าแปลกคือไม่มีใครสามารถมองเห็นใบหน้าหรือคนขับรถได้เลยสักคน! ไม่ใช่แค่ว่ามองไม่ชัดหรืออะไรนะแต่ไม่สามารถมองเห็นคนขับได้เลยต่างหากล่ะ!”
“ทำไมกัน?” จ้าวหยู่เริ่มสนใจ “มันต้องมีเหตุผลสิ ใช่ไหม?”
“ก็ใช่ไง!” จางจิงเฟิงและเหลียงห้วยพยักหน้าตอบรับด้วยความกระตือรือร้น