ราชินีอารัคเน่ ตอนที่ 1: นี่ฉันอยู่ที่ไหน
ตอนที่ 1: นี่ฉันอยู่ที่ไหน
‘ นี่เธออยู่ส่วนไหนในโลกเนี่ย ? ’
เท่าที่เธอจำได้คือเธอกลับเข้านอนในอพาร์ตเมนต์ของเธอหลังจากดื่มกับเพื่อนร่วมงานมาทั้งคืน
เธอพบว่าตัวเองอยู่ในห้องโถงขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยวัยรุ่นมากมาย ผู้คนที่อยู่รอบๆตัวเธอก็สวมชุดเครื่องแบบแปลก ๆ และเธอสังเกตได้ในทันทีว่าเครื่องแบบทั้งหมดไม่เหมือนกัน
เครื่องแบบของพวกที่ด้านหน้าของห้องโถงใส่เป็นชุดสีขาว และมีดาวสีทองประดับอยู่ตามแนวแขนเสื้อ
พวกที่อยู่ตรงกลางใส่เครื่องแบบสีแดงและมีแถบสีเงินพาดผ่านบริเวณหน้าอก ในขณะที่เครื่องแบบของเธอและชุดของคนอื่นๆที่อยู่ด้านหลังเป็นเพียงชุดสีดำล้วน ไม่มีเครื่องประดับอะไรเพิ่มเติม
เธอหันไปหาคนที่อยู่ข้างๆและพยายามจะถามเขาว่าที่นี่ที่ไหน ? แต่เขาก็มองเธออย่างรังเกียจแล้วหันหน้ากลับไป ‘ ซุย เหมิง ’ มักจะอารมณ์ร้อนอยู่เสมอ และเด็กหนุ่มคนนั้นก็ทำให้โกรธเธอไม่น้อย
“นี่ ฉันกำลังพูดกับแกอยู่นะ ! หันหัวเวรนั่นมาทางนี้แล้วมองฉันสิ !” เธอพูดเสียงดัง ที่นั่งของเธออยู่ที่ปลายสุดของห้องบรรยาย ดังนั้นชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหน้าที่ดูเหมือนว่าเขาน่าจะพูดอะไรนั้นไม่ได้ยินเธอที่เธอพูดเลย
เด็กชายทำเป็นไม่สนใจและแสร้งทำเป็นว่าเธอไม่มีตัวตนอยู่ตรงนั้น
ซุย เหมิงขมวดคิ้วและกำลังจะแตะไหล่เขาเมื่อเธอได้ยินเสียงกระซิบดังก้องอยู่รอบตัวเธอ
“ดูขยะนั่นสิ !”
" ฉันยังไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ ว่ามหาลัยของเราจะเอาพวกขยะลูกผสมเข้ามา..."
“ไม่เคยได้ยินเหรอ ว่าเธอเป็นทายาทคนเดียวของที่บ้านเธอ”
เธอจึงชักแขนที่กำลังจะยื่นออกไปกลับอย่างลังเลและกวาดสายตาไปที่โต๊ะของตัวเองเพื่อมองหาเบาะแสเกี่ยวกับตัวตนของเธอว่าเธอเป็นใคร นอกจากจะมีน้ำอะไรก็ไม่รู้วางอยู่ขวดเดียวกับแท็บเล็ตสีเงินขนาดเล็ก ก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นอีกแล้ว
ซุย เหมิงเหลือบมองที่แขนของเธอและเห็นมือที่ดูบอบบางอ่อนโยนไม่ใช่มือที่ด้านหนาเหมือนเคย
เธอไม่มีกระจกเพื่อที่จะส่องดูรูปร่างหน้าตาของตัวเอง แต่เธอสามารถบอกได้ว่านี่มันไม่ใช่ร่างกายของเธอ และก่อนที่เธอจะสำรวจร่างกายของตัวเองเพิ่มเติมนั้น เธอก็ต้องประหลาดใจกับเสียงหึ่ง ๆ ที่ดังออกมาจากแท็บเล็ตและมีการแจ้งเตือนเล็กๆปรากฏขึ้น
[ โซฟีลูกสาวสุดที่รัก หวังว่าลูกจะตั้งใจเรียนนะ ไม่ต้องไปคิดมากเกี่ยวกับพวกชั้นสูงที่อยู่รอบๆตัวลูกนะ]
[ พ่อเฒ่าของลูกยังคงเป็นหัวหน้าของตระกูลดยุคอันทรงเกียรติ และเราสามารถทำให้ครอบครัวของพวกเขาล้มละลายได้ตลอดเวลา ! ]
แม้จะเป็นเพียงตัวหนังสือที่ส่งมา แต่ซุย เหมิง ก็สามารถสัมผัสได้ถึงความรักและความอบอุ่นที่ส่งผ่านข้อความนั้น ใครก็ตามที่ส่งมาให้แสดงให้เห็นชัดเจนเลยว่าห่วงใยเธอ
“โซฟี ? โซฟี ? ฉันชื่อโซฟีเหรอ ?” ซุย เหมิงพึมพำกับตัวเอง
‘ ผ่างง ! ’
ซุย เหมิงกุมศีรษะของเธอด้วยความเจ็บปวด ในขณะที่คลื่นแห่งความทรงจำถาโถมเข้ามาในหัวของเธอ จู่ๆมือของเธอเริ่มสั่น เธอจึงรีบเอนศีรษะลงนอนเพื่อข่มตาหลับ
โซฟีเป็นลูกสาวที่เป็นลูกผสมระหว่างดยุคปีเตอร์เลอร์ และเผ่าพันธุ์รูปร่างคล้ายมนุษย์ที่ไม่ทราบสายพันธุ์ แม่ของเธอเสียชีวิตในการคลอดบุตร และท่านดยุคเองก็ปฏิเสธที่จะมีคนรักคนใหม่
ดยุคขัดต่อความเห็นของที่ปรึกษาและเพื่อนฝูงของเขา พร้อมกล่าวว่าลูกสาวครึ่งมนุษย์ของเขาจะได้เป็นทายาทของครอบครัวของเขา
เรื่องนี้ทำให้เกิดสัญญาณเตือนไปทั่วและแม้แต่ราชวงศ์เองก็ยังส่งจดหมายถึงเขาเพื่อเตือนให้เค้าคิดดีๆ อย่ารีบด่วนตัดสินใจ
และถึงแม้ว่า ‘ถ้า’ โซฟีเป็นอัจฉริยะด้านการฝึกฝนก็ตาม เธอเองก็อาจจะรู้สึกไม่ได้รับการยอมรับจากคนรอบข้างด้วยความเต็มใจอยู่ดี ถึงแม้ความจริงเธอจะยังห่างไกลจากความจริงข้อนั้นก็เถอะ
แม้เธอจะมีทรัพยากรและเทคนิคการฝึกฝนที่ดีที่สุดก็ตาม แต่พลังชี่ทางร่างกายของเธอก็ยังคงอยู่แค่ในขั้นที่สองอยู่ดี
ชนชั้นสูงคนอื่นๆ ที่อายุเฉลี่ยพอๆกับเธอนั้น ล้วนอยู่ในขั้นที่หกและเจ็ดของพลังชี่ทางร่างกาย และมีอัจฉริยะบางคนถึงขั้นระดับพลังชี่ทางจิตวิญญาณไปถึงขั้นที่หนึ่งแล้ว
ตอนนี้ชื่อเสียงของเธออยู่ในความยุ่งเหยิง เธอถูกมองว่าเป็นทั้งลูกผสมและเป็นคนไร้ค่าในด้านการฝึกฝน สิ่งนี้ยิ่งทำให้บุคลิกของเธอที่ขี้อายอยู่แล้วอยากจะยอมแพ้และถอนตัวออกไปเสีย
ไม่มีใครอีกแล้วนอกจากพ่อของเธอที่คอยอยู่ข้างเธอ
สิ่งเดียวที่เธอได้รับจากแม่คือสร้อยคอรูปดาวขนาดเล็กที่ห้อยลงมาจากคอของเธอ พ่อของเธอให้เธอสัญญาว่าจะไม่ถอดมันออก แต่โซฟีรู้สึกกลัวสร้อยคอเส้นนี้เล็กน้อย
เท่าที่เธอจำความได้ สร้อยคอเส้นนี้ใส่ได้พอดีกับคอของเธออย่างสมบูรณ์แบบตั้งแต่ยังเด็กจนปัจจุบัน เหมือนราวกับว่าวัสดุของสร้อยนั้นสามารถเติบโตควบคู่ไปตามความสูงที่เพิ่มขึ้นของเธอได้
โซฟีเป็นสาวสวยที่มีผิวสีขาวซีด หุ่นเพรียวยาวและมีส่วนเว้าส่วนโค้งที่บ่งบอกได้ว่าเธออาจจะกลายมาเป็นคนที่หักอกใครๆได้อย่าง
มากมาย
รูปร่างหน้าตาของเธอนั้นจัดได้ว่าใกล้เคียงกับมนุษย์ธรรมดามาก เว้นเสียแต่ปลายหูเล็กแหลมเหมือนเอลฟ์และนัยย์ตาคมสีทองของเธอ
โซฟีไม่มีความมั่นใจในตัวเองเลยแม้แต่น้อยเนื่องจากถูกรังแกและล้อเลียนมาตลอด ดังนั้นเธอจึงซ่อนใบหน้าของเธอไว้หลังม่านผม
“ความฝันของฉันคือการกลายมาเป็นผู้หญิงที่ทรงอิทธิพลที่พ่อจะต้องภาคภูมิใจ” ความทรงจำที่เหมือนว่าถูกลืมไปนานดังก้องอยู่ในหัวของซุย เหมิง แล้วเธอก็เด้งตัวขึ้นมาจากโต๊ะพร้อมกับอ้าปากค้าง
เธอรู้สึกปวดหัวตุบๆ แต่อาการนั้นก็ถูกเมินเฉยอย่างรวดเร็ว เมื่อซุย เหมิง พยายามทำความเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ
ในความทรงจำนั้น เธอมองเห็นทุกอย่างจากมุมมองของโซฟี และเธอแยกความรู้สึกที่เกิดขึ้นไม่ออกราวกับความความรู้สึกนั้นเป็นของเธอเอง
มันเหมือนกับว่าทั้งสองสาวกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ทั้งความทรงจำและบุคลิก
ตอนนี้ซุย เหมิงรับรู้ได้ถึงความปรารถนาที่อยากจะแข็งแกร่งของโซฟี และตอนนี้ในใจของเธอก็กำลังเกิดความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคยอยู่
เธอถอนหายใจอย่างอึกอักและกระซิบตอบกลับไปยังเสียงในหัวของเธอ
“ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมฉันถึงได้มาอยู่ในร่างของเธอ แต่ฉันสัญญาว่าจะพยายามทำตามความฝันของเธอ อย่างน้อยก็จนกว่าฉันจะหาทางกลับบ้านได้”
ซุย เหมิงไม่ได้ยินคำตอบกลับจากเสียงนั้น แต่อย่างน้อยก็รู้สึกได้ว่าอาการหวิวๆในใจของเธอได้หายไป
ซุย เหมิงได้จากไปแล้ว แต่ชีวิตใหม่ของเธอในชื่อโซฟี ปีเตอร์เลอร์กำลังจะเริ่มต้นขึ้น
‘ กริ๊ง ! กริ๊ง ! กริ๊ง ! ’
เสียงออดบอกเวลาเลิกเรียนดังขึ้นจากลำโพงที่อยู่เหนือศีรษะ ขณะที่นักเรียนรอบๆตัวเธอก็เริ่มเก็บสัมภาระของตัวเองและเดินออกจากห้องโถงไป
โซฟีพบกระเป๋าหิ้วใบเล็กๆ วางอยู่ที่เท้าของเธอ เธอจึงใส่น้ำขวดเล็กๆและแท็บเล็ตลงไป เธอเดินตามทางที่อยู่ในความทรงจำของเธอมาถึงห้องสมุดอันยิ่งใหญ่ของ ‘ รอยัล อคาเดมี ’
แม้ว่าเธอจะมีความทรงจำของโซฟีคนก่อนอยู่ แต่เธอก็จำเป็นที่จะต้องตรวจสอบข้อมูลพวกนั้นดูอีกครั้งและเรียนรู้เกี่ยวกับโลกใบใหม่รอบตัวเธอเพิ่ม
เห็นได้ชัดว่าดาวเคราะห์ดวงนี้ไม่ใช่ดาวโลกแน่นอนเพราะเธอสามารถเห็นดวงอาทิตย์เป็นสีฟ้าอ่อน ๆ ที่มีดวงจันทร์สามดวงลอยอยู่บนท้องฟ้า
อาคารรอบๆตัวเธอเป็นสีออกเทาเงินและดูเหมือนว่าพวกมันจะถูกสร้างตรงขึ้นมาจากพื้นดินอย่างไร้รอยต่อ
โซฟีเดินไปที่ห้องสมุดด้วยการก้าวกึ่งกระโดดเบาๆ ของเธอ ภายใต้เส้นผมที่พาดผ่านบดบังใบหน้าของเธอมีรอยยิ้มเล็กๆซ่อนอยู่
ซุย เหมิงอาจจะเกลียดการอ่าน แต่หลังจากที่เธอได้รับความทรงจำของโซฟี เธอก็ได้รับสืบทอดความรักในการอ่านหนังสือของโซฟีมาด้วย สำหรับเธอแล้ว หนังสือทำหน้าที่เป็นที่หลบหนีความวุ่นวายและเป็นสิ่งที่ช่วยเบี่ยงเบนความฟุ้งซ่านในชีวิตเธอ
ประตูห้องสมุดขนาบข้างด้วยรูปปั้นอันโอ่อ่าสองรูป หนึ่งในนั้นเป็นรูปของไททันกรีก แอตลาสผู้แบกโลกไว้บนบ่า ขณะที่อีกรูปปั้นหนึ่งเป็นชายคนหนึ่งที่เธอไม่รู้จัก
รูปปั้นชายคนนั้นทำท่าชกต่อยอากาศอย่างดุเดือด และใครๆ ต่างก็สัมผัสได้ถึงพลังอำนาจและความยิ่งใหญ่ที่แผ่ออกมาจากรูปปั้นนั้น
โซฟีมองดูรูปปั้นทั้งสองอย่างสงสัยและสแกนสายรัดข้อมือของเธอที่ประตูด้วยจังหวะการเคลื่อนไหวที่คุ้นเคย ประตูเกิดเสียงสั่นเล็กน้อยและจึงเลื่อนเปิดออกเพื่อเผยให้เห็นห้องสมุดภายใน
นี่มันไม่เหมือนกับที่ไหนๆ ที่เธอเคยเห็นมาก่อนในชีวิต เพราะไม่มีหนังสืออยู่ตรงส่วนไหนเลย
แทนที่จะเป็นห้องสมุดทั่วๆไป กลับมีพ็อดทรงเหมือนฝักเล็กๆ กระจัดกระจายอยู่รอบๆ ห้องที่เปิดโล่งโดยมีนักเรียนนั่งอยู่ข้างในพ็อด โซฟีเดินมองไปรอบๆ ด้วยความสับสน แต่ก็ไม่เห็นอะไรอื่นนอกจากพ็อด เธอลองหาดูรอบๆ จนกระทั่งพบพ็อดที่ว่างแล้วกดปุ่มเล็กๆ ตรงด้านข้าง
พ็อดส่งเสียงฟู่ออกมาช้าๆ จากนั้นประตูพ็อดก็เปิดออกเผยให้เห็นเก้าอี้ที่ดูนั่งสบายและโต๊ะยาวอยู่ข้างใน โซฟีก้าวเข้าไปอย่างระมัดระวังและประตูพ็อดก็ล็อคลงตามหลังเธอ
โต๊ะด้านในเป็นสีน้ำตาลทำให้นึกถึงท่อนซุงที่อยู่บนต้นไม้ มีร่องเล็กๆ ขนาดเท่ากับสายรัดข้อมือของเธออยู่ที่กลางโต๊ะ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าตั้งใจออกแบบไว้วางสายรัดข้อมืออย่างชัดเจน
โซฟีวางสายรัดข้อมือไว้ที่ร่องบนโต๊ะและหลังจากนั้นก็มีเสียงกลไกดังก้องไปทั่วห้อง
" เข้าสู่ห้องสมุดเสมือน "
" นักเรียนหมายเลขประจำตัว 13923 ขอสิทธิการเข้าถึง "
“อนุมัติการเข้าถึง !”