เกิดใหม่เป็นทารกขั้นเทพ ตอนที่ 121
ตอนที่ 121
นับว่าเป็นโชคดีที่ตั้งแต่คราวที่โดนตระกูลหวังลอบโจมตีครั้งก่อน การป้องกันโดยรอบของตระกูลหลินก็เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
ชั่วขณะที่ซวนยู่และหลินเฮ่าปรากฏตัวออกมาจากค่ายกลเคลื่อนย้ายก็มีผู้คนสัมผัสได้ทันที
“เอ๋? ตรงนั้นเกิดอะไรขึ้น? พวกเราไปดูกันเถิด!”
“ใครกล้ามาก่อปัญหากับตระกูลหลินของข้า?”
ทว่า เมื่อเหล่าศิษย์สกุลหลินทะยานมาถึงและเห็นร่างที่นอนอยู่ ใบหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นซีดเผือด
“ท่านเจ้าเมือง....ท่านเจ้าเมือง!?”
“นายหญิง?!”
………
อาณาจักรฉีซาน เมืองต้าหยาน
ท้องฟ้าใสกระจ่าง แต่งแต้มด้วยก้อนเมฆแลดูงดงาม กระทั่งฝืนน้ำก็ยังสะท้อนฟ้าเบื้องบนให้เห็น ผู้คนมากมาย เมืองแห่งนี้ช่างเต็มไปด้วยความสงบสุข
ตระกูลหลินสามารถเอาชนะจ้าวห้วงเหวลงได้ บรรพชนแซ่หลิน หลินฉิงเทียนเองก็เลื่อนขั้นบรรลุแดนปราณก่อตั้งจิตในตำนาน และราชวงศ์อมตะถึงขั้นมาเชื้อเชิญพวกเขาไปเข้าร่วมการสำรวจด้วยตนเอง
ครึ่งปีมานี้ สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นมากมายในต้าหยาน
ยิ่งกว่านั้น เซียนน้อยสกุลหลิน หลินซวน เลื่อนขั้นลมปราณของตนไม่เว้นวัน ก่อร่างปรากฏการณ์นับไม่ถ้วนซึ่งช่วยส่งเสริมการบ่มเพาะของเหล่าจอมยุทธมากมาย บัดนี้ เมืองต้าหยานกลายเป็นนครที่มั่งคั่งและเป็นที่ต้องรับที่สุดในอาณาจักรฉีซาน
อาณาเขตตระกูลหลินแห่งอาณาจักรฉีซาน ในอาคารหนึ่ง กลิ่นหอมกรุ่นของชาชั้นดีอบอวลไปทั่ว
ตาแก่สองคนกำลังนั่งไขว้ขาอยู่ตรงข้ามกันและพูดคุยเรื่องแนวทางการบ่มเพาะต่างๆ
“กล่าวถึงเรื่องนี้ หลินเปา เกิดอะไรขึ้นกับดวงตาเจ้า? ข้ารู้สึกว่ามันดูแปลกประหลาดชอบกล นี่มิใช่พลังการต่อสู้ที่เจ้าจะเอื้อมถึงได้ในระดับการบ่มเพาะของตนเอง!” ชายชราในชุดสีขาว หลินเทียนหยา รู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังกินของเปรี้ยวเข้าไป น้ำเสียงของเขาเองก็แฝงแววขมขื่นเจือจาง
“ฮ่าๆๆๆ ในที่สุดก็มีวันที่คนอย่างเจ้าริษยาข้าผู้นี้ เอ่ยกันตามตรง แม้พรสวรรค์ของข้าจะด้อยกว่าเจ้า แต่โชคของข้าย่อมดีกว่าอย่างแน่นอน!” หลินเปาหัวเราะดังลั่นและเทน้ำเดือดลงในกาชา
ทันใดนั้น กลิ่นหอมของชาก็ตีฟุ้งขึ้นมา
“หากมิใช่เพราะว่าข้าได้มีโอกาสพาซวนเอ๋อร์ไปยังตระกูลเซียวในครานั้น เกรงว่าข้าคงมิได้รับทักษะเนตรที่ทรงพลังเช่นนี้”
“พูดถึงตระกูลเซียวแล้ว ข้าล่ะโกรธเคืองพวกมันยิ่งนัก พวกมันบังอาจแพร่งพรายความลับเกี่ยวกับตระกูลหลินของเราแก่จ้าวห้วงเหว กระทั่งนำกองกำลังของตระกูลมากมายไปสวามิภักดิ์กับศัตรู หากมิใช่เพราะว่าผู้อาวุโสตระกูลซวน ซวนชูกับแม่นางน้อยซวนหยานหรานห้ามพวกเราไว้ พวกมันสมควรถูกเราบดขยี้จนสิ้นซากไปนานแล้ว!” หลินเทียนหยาแค่นเสียงออกมา
“อย่างไรก็ตาม หากว่าเป็นแม่นางซวนหยานหรานคนนั้น ข้าก็คิดว่าไม่เลวทีเดียว เจ้าว่าอย่างไร?” หลินเปาหยิบจอกชาของตนขึ้นมาพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
หลินเทียนหยาพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
“จริงด้วย นางเป็นเด็กสาวที่ใช้ได้เลยทีเดียว เฉลียวฉลาด งดงาม และเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ พวกเราสามารถร่างสัญญาหมั้นหมายระหว่างกันไว้ได้ แต่หากว่าซวนเอ๋อร์มิได้ชมชอบนาง พวกเราก็ยังสามารถแนะนำรุ่นเยาว์คนอื่นได้อีก....เอาล่ะ เอาล่ะ อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้กันดีกว่า”
เมื่อตาแก่เปาได้ยินหลินเทียนหยากล่าวเช่นนั้น ดวงตาของเขาก็กลอกไปมา
“เช่นนั้น ร่างกายของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
“เรียกได้ว่าการรักษามิได้ย่ำแย่นัก ส่วนใหญ่ก็เริ่มหายดีแล้ว เอ่ยตามตรง ต้องขอบคุณโอสถที่ได้รับมาจากราชวงศ์อมตะ ไม่เช่นนั้นแล้วข้าคงไม่อาจรักษาตัวได้เร็วเช่นนี้” หลินเทียนหยายิ้มบางเบา ในการต่อสู้กับกองทัพอสูรคราวนั้น แม้ว่าเขาเองจะสามารถเอาชนะฝ่ายตรงข้ามมาได้ ทว่าก็ต้องแลกด้วยราคามหาศาลเช่นกัน
“ข้าคิดว่าป่านนี้ซวนเอ๋อร์และคนอื่นๆ คงไปถึงอาณาจักรเซี่ยเต๋าเรียบร้อย ไม่แน่ว่าอาจถึงเมืองหลวงของราชวงศ์อมตะแล้วเสียด้วยซ้ำ!”
“หากนับตามเวลาแล้ว และไม่มีอุบัติเหตุใดเกิดขึ้นกลางทาง ก็ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น”
ผู้อาวุโสทั้งสองต่างดื่มชาของตนและแลกเปลี่ยนบทสนทนากันไปมา เช่นว่าพวกเขาควรให้หลินซวนแต่งกับซวนหยานหรานดีหรือไม่ หรือปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเพราะหลินซวนในช่วงที่ผ่านมานี้
ทันใดนั้นเอง ก็ปรากฏร่างของคนในตระกูลพุ่งเข้ามาในห้องอย่างรีบร้อน
“ผู้อาวุโสหลินเปา! ผู้อาวุโสหลินเทียนหยา! เกิดบางอย่างขึ้น ท่านเจ้าเมืองกับนายหญิงกลับมาแล้วขอรับ!”
หลินเฮ่าและซวนยู่กลับมาแล้ว? ตาแก่ทั้งสองนิ่งค้างไปชั่วขณะ เหตุใดพวกเขาจึงกลับมาเร็วเช่นนี้?
จากนั้น อาวุโสสกุลหลินทั้งคู่ก็มิได้สนใจสิ่งใดอีกและรีบเดินออกไป ศิษย์ตระกูลหลินจำนวนมากเองก็ตามมาเช่นกัน สีหน้าของพวกเขาดูกระวนกระวายและเป็นกังวลยิ่งนัก
หลินเทียนหยาและหลินเปาที่เพิ่งมาถึง เมื่อพวกเขาได้เห็นว่าซวนยู่และหลินเฮ่าเป็นอย่างไรในตอนนี้ สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปทันที
“หลินเฮ่า?! ซวนยู่?!”
โดยมิต้องขบคิดใดๆ หลินเปาทะยานร่างเข้าไปใกล้ทั้งสองคนทันที เขาใช้นิ้วต่างคมมีดกรีดเข้าที่ฝ่ามือของตน และเค้นเอาแก่นโลหิตออกมาสองหยด แก่นโลหิตทั้งสองปะทุกลายเป็นหมอกสีเลือดและพุ่งเข้าไปผสานรวมกับปราณโลหิตในร่างของคนเจ็บทันที!
หลินเทียนหยาเองก็พลิกข้อมือและก่อร่างอักขระขึ้นมา ปราณวิญญาณในรัศมีร้อยฉื่อถูกรวบรวมและส่งเข้าไปในร่างทั้งสอง!
สัมผัสได้ถึงความปั่นป่วนในปราณโลหิตและปราณวิญญาณ อีกทั้งบาดแผลมากมายบนร่างของหลินเฮ่าและซวนยู่ สีหน้าของหลินเทียนหยาน่าเกลียดยิ่งนัก
“มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่?”
“มิใช่ว่าหลินเฮ่าและซวนยู่กำลังไปยังราชวงศ์อมตะกับซวนเอ๋อร์หรอกหรือ?”
“อาวุโสท่าน อันที่จริงแล้ว...”
รุ่นเยาว์คนหนึ่งของตระกูลหลินเดนออกมาและบอกว่าพวกเขาค้นพบความปั่นป่วนบางอย่างที่ก่อตัวขึ้นด้านนอกของเมือง ทว่าหายไปก่อนที่จะได้ทำการตรวจสอบ
ในตอนนี้ หลินเปาและหลินเทียนหยาต่างมองหน้ากัน ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลาย กระทั่งสีหน้ายังเริ่มซีดลง
พวกเขาหล่นลงมาจากท้องฟ้า และคาดว่าจะมาจากค่ายกลเคลื่อนย้ายรูปแบบหนึ่ง หรือว่าจะเป็น.... เมื่อนึกถึงความเป็นไปได้ทั้งหลาย หลินเปาและหลินเทียนหนาอดมิได้ที่จะหนาวสะท้านไปทั้งตัว
“ผู้อาวุโส...ซวนเอ๋อร์...ซวนเอ๋อร์...”
ทันใดนั้น ซวนยู่ก็เปิดเปลือกตาขึ้นอย่างอ่อนแรง นางกระซิบแผ่วเบาคล้ายต้องการบอกบางสิ่ง ทว่าอาการบาดเจ็บทั้งหลายหนักหนาจนเกินไป กระทั่งอาวุโสทั้งสองยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ก็ยากที่จะฟื้นฟูได้โดยเร็วไว
“ซวนยู่! ช้าก่อน มันเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่....”
“ช่วยเขา... ซวนเอ๋อร์... ราชวงศ์...”
แม้จะแทบสิ้นสติอยู่รอมร่อ ซวนยู่ก็ยังพยายามฝืนตัวอธิบายสถานการณ์ให้ผู้อื่นได้เข้าใจ
สีหน้าของอาวุโสสกุลหลินทั้งสองไม่น่ามองอย่างยิ่งในตอนนี้ ราชวงศ์อมตะกล้าดีอย่างไรจึงทำเช่นนี้?
กลายเป็นว่าแดนลึกลับที่พวกเขากำลังจะไปช่วยเปิดทางให้นั้นมิได้เป็นเรื่องจริงอย่างสิ้นเชิง...พวกมันต้องการใช้อัจฉริยะรุ่นเยาว์ทั้งหลายของอาณาเขตเหนือครามเป็นเครื่องเซ่นสังเวยเพื่อชำระล้างหม้อสามขาทมิฬดับสวรรค์เก้าชั้นฟ้า เพื่อที่ราชวงศ์อมตะจะได้ค้นพบเส้นทางสู่การเป็นอมตะ!
“นี่มันเป็นไปมิได้ ยู่ตู่เฟยผู้นั้นถึงขั้นยอมสละวิญญาณสามในสิบส่วนของมัน สำหรับผู้บ่มเพาะระดับแก่นทองคำแล้ว เสี้ยววิญญาณขนาดนี้เป็นของสำคัญยิ่ง ต่อให้มันจะไม่ตกตายหากต้องเสียวิญญาณส่วนนี้ไป ทว่าความสูญเสียของมันย่อมต้องมหาศาลยิ่งนัก!” หลินเปามิอาจทำใจให้เชื่อได้ว่าเกิดบางสิ่งขึ้นกับหลินซวน สีหน้าของเขากระวนกระวาย ดวงตาเต็มด้วยความร้อนรน
“ถ้าหากว่าพวกมันวางจับซวนเอ๋อร์ได้สำเร็จ....พวกมัน ย่อมไม่ลังเล....” ซวนยู่ใช้พละกำลังทั้งหมดที่มี ทว่ามิอาจจะเอ่ยได้จนจบประโยค นางหมดสติลงอีกครั้ง...
เห็นภาพเช่นนี้เบื้องหน้าของตน หลินเปาไม่คิดแม้แต่น้อย เขาทะยานร่างไปยังถ้ำที่บรรพบุรุษตระกูลหลินกักตัวฝึกวิชาอยู่ทันที