ตอนที่แล้วบทที่ 648 ด้านมืดในจิตใจ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 650 ช้อปปิ้ง

บทที่ 649 ตกลง(ตอนฟรี)


กำลังโหลดไฟล์

บทที่ 649 ตกลง

เมื่อเห็นว่าคนที่โทรมาเป็นอาสามจี้เจิ้นผิง จี้เฟิงก็ดีใจมาก คิดว่าน่าจะมีข่าวจากพ่อและผู้อาวุโสเฒ่า เขาจึงรีบกดรับโทรศัพท์และกล่าวทันทีว่า “ได้ข่าวดีมาแล้วใช่มั้ยครับอาสาม?”

“ไอ้หนู ไม่รู้จักทักทายผู้หลักผู้ใหญ่ก่อนเลยหรือยังไง!” จี้เจิ้นผิงทำเสียงดุพลางหัวเราะ จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ถูกต้องแล้วล่ะ! ตาเฒ่าอนุมัติสิ่งที่นายต้องการ และฉันก็คุยกับพ่อของนายแล้ว เขาก็เห็นด้วยเช่นกัน!”

“จริงเหรอครับ?!”

จี้เฟิงยิ้มกว้างและพูดว่า “นี่เป็นข่าวดีจริงๆ!”

“เสี่ยวเฟิง! อย่าเพิ่งดีใจออกนอกหน้าจนเกินไปนัก ฉันอยากจะเตือนนาย นี่คือปฏิบัติการทางทหาร มันไม่ใช่เรื่องสนุก ทุกนาทีอยู่ในอันตราย แม้ว่าปู่และพ่อของนายจะตัดสินใจว่าเห็นด้วยกับคำขอของนาย แต่เรื่องนี้ยังคงต้องปิดบังจากแม่ของนายอยู่ นายต้องระวังให้ดี!” จี้เจิ้นผิงกล่าวเสียงเข้ม แต่ไม่ได้โกรธจริงจัง

จี้เจิ้นผิงไม่เข้าใจจริงๆ เขาเคยเห็นแต่ลูกหลานตระกูลอื่นๆในหยานจิง วันๆคิดแต่ว่าจะใช้ชีวิตอย่างไรให้สนุกสนาน มองหาสถานบันเทิงที่ปราศจากการจับตามองเพราะจะได้เพลิดเพลินอย่างที่ใจต้องการอย่างเต็มที่....

แต่เด็กคนนี้ จี้เฟิง! จะเป็นเด็กดีเกินไปหรือเปล่า เขาแตกต่างจากเด็กโง่เง่าเหล่านั้นอย่างสิ้นเชิง แต่ก็นับว่าเป็นเรื่องดี จากเรื่องทั้งหมดนี้ ถ้าจี้เฟิงเป็นเหมือนกับเด็กโง่พวกนั้น ผู้อาวุโสเฒ่าและคนอื่นๆในตระกูลคงจะปวดหัวมาก อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าจี้เฟิงจะไม่ได้ทำอย่างที่เด็กโง่ในวัยเดียวกันคนอื่นๆทำ แต่การเข้าร่วมสงครามก็ไม่ใช่เรื่องง่าย! ทุกนาทีคืออันตรายทุกการผิดพลาดหมายถึงชีวิต!

จี้เฟิงตกใจและรีบถามว่า “อาสาม แม่ของผมยังไม่รู้เหรอครับ?”

“ก็น่าจะแบบนั้น เพราะฉันยังไม่ได้บอกเธอ แม้แต่อาสะใภ้สามของนายก็ยังไม่รู้ ฉันกลัวว่าเธอจะเผลอพูดแล้วข่าวอาจจะไปเข้าหูแม่ของนาย!” จี้เจิ้นผิงกล่าว

เขาแน่ใจว่าหากรู้ว่าจี้เฟิงต้องไปอยู่ในสนามรบพี่สะใภ้จะต้องกังวลมาก เพราะในอดีต ตอนที่เขาเพิ่งพาทีมไปออกปฏิบัติการทางทิศตะวันตกเป็นครั้งแรกๆ แม่เฒ่าก็เป็นกังวลเช่นกัน และที่สุดที่แม่เฒ่าก็อดไม่ได้ที่จะต่อว่าผู้อาวุโสเฒ่า

แล้วจี้เฟิงเป็นลูกชายคนเดียวของพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่ หากเธอรู้ เธอจะต้องมีปฏิกิริยาที่รุนแรงอย่างแน่นอน และมีความเป็นไปได้ว่าเธออาจจะมาจัดการกับเขาด้วย...

“ฟู่~ ดีแล้วครับดีแล้ว!” จี้เฟิงผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอก กับเรื่องนี้เขาประมาทเลินเล่อเกินไป เขาลืมที่จะเตือนอาสามก่อนว่าอย่าบอกแม่ของเขา เพราะหลังจากที่คุยเรื่องนี้กับอาสามไปแล้ว เขาก็ติดต่ออาสามได้ยาก ดังนั้นจึงไม่มีโอกาสได้เตือนเขาเรื่องนี้ และที่สำคัญมันก็ไม่ใช่เรื่องที่สมควรจะต้องไปกวนอาสามด้วย เพราะจี้เฟิงรู้ดีว่าอาสามกำลังยุ่งอยู่กับเรื่องของเขา

“อย่าเพิ่งดีใจไป แม้ว่าฉันจะไม่พูด แต่ไม่รู้ว่าพ่อของนายจะพูดหรือเปล่า!” จี้เจิ้นผิงยิ้ม “ดังนั้น ฉันขอแนะนำให้นายโทรไปหาพ่อของนายจะดีกว่าหรือไม่ก็ตรงไปหยานจิงเลย เตรียมคำพูดและเหตุผลที่ดีพอไว้ด้วยล่ะ เมื่อถึงเวลานั้นจะได้ตอบคำถามของพ่อนายได้ทั้งหมด!”

จี้เฟิงเองก็คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน เขาพยักหน้าและกล่าวว่า “พร้อมเมื่อไหร่ผมจะไปหยานจิงทันที!”

“ยังไงก็ตาม เมื่อนายมาที่หยานจิงแล้ว นายควรมาหาฉันก่อน ในเมื่อตาเฒ่าอนุญาตให้นายเข้าร่วมปฏิบัติการในครั้งนี้แล้ว มันก็ขึ้นอยู่กับนายแล้วว่าจะจัดการเลือกบุคลากรยังไง!” จี้เจิ้นผิงชี้นำอีกครั้ง

จี้เฟิงยิ้มและพยักหน้า “โอเคครับ รอผมไปถึงหยานจิงเมื่อไหร่ ผมจะติดต่อไปทันที!”

เมื่อวางสาย จี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวเล็กน้อย เขาไม่แน่ใจจริงๆว่าพ่อจะบอกเรื่องนี้กับแม่ของเขาหรือเปล่า และในกรณีที่พ่อบอกแม่ให้รู้... ก็คงจะแปลกถ้าเขาได้ไป

“ฉันต้องเดินทางไปหยานจิงให้เร็วที่สุด!” จี้เฟิงคิดอยู่ในใจ

แต่จู่ๆจี้เฟิงก็ตบหัวของตัวเองและพูดอย่างหงุดหงิดว่า “ให้ตายเถอะ! นายลืมคุยเรื่องอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยกับอาสามได้ยังไง!”

เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้งเพื่อที่จะโทรหาอาสามจี้เจิ้นผิง แต่พอนึกขึ้นได้ก็วางโทรศัพท์ลง

ในเมื่อเขาวางแผนที่จะไปหยานจิงให้เร็วที่สุด เขาจึงคิดว่าต่อให้อาสามหาอุปกรณ์มาให้ได้ เขาก็คงไม่มีเวลาไปรับ แถมช่วงนี้อาสามก็ดูยุ่งๆ ไม่รู้ว่าเขาจะใช้เวลานานแค่ไหน

ในขณะที่เดินลงมาจากห้องใต้หลังคา จี้เฟิงก็คิดไปด้วยว่าเขาจะไปหาอุปกรณ์ทางการทหารที่ยังขาดอยู่ได้จากที่ไหน... ทหาร! อุปกรณ์ทางทหาร... ก็ต้องนึกถึงทหาร แล้วเซียงหยงซานก็เป็นทหารไม่ใช่เหรอ?

ทันใดนั้นเขาก็เกิดปิ๊งไอเดียขึ้นมา เหมือนกับว่าวิสัยทัศน์ในช่วงนี้ของเขาจะคับแคบเกินไป หากมองด้วยความเป็นจริง ก็จะรู้ว่ายังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่จะช่วยแก้ปัญหาได้

“ไปหาเซียงหยงซานดีกว่า!” จี้เฟิงตัดสินใจและชกหมัดเข้ากับฝ่ามือตัวเอง

จี้เฟิงที่เดินลงมาก็เห็นเซียวหยูซวน ถงเล่ย และจี้เสี่ยวหยูนั่งเล่นกันอยู่ในห้องหนังสือที่ชั้นสอง จี้เสี่ยวหยูกำลังนั่งเล่นเกมคอมพิวเตอร์อย่างมีความสุข ส่วนเซียวหยูซวนและถงเล่ยก็นั่งอยู่ข้างๆ

“เล่ยเล่ย!” จี้เฟิงยืนอยู่ที่ประตูและกวักมือของเขาเพื่อเรียกถงเล่ยให้มาหา

ถงเล่ยเป็นคนอารมณ์เย็นชา การดูคนอื่นเล่นเกมไม่ทำให้เธอสนุกเท่ากับการอ่านหนังสือ เธอจึงแค่นั่งเป็นเพื่อนเซียวหยูซวนและจี้เสี่ยวหยูเท่านั้น

“หืม? จี้เฟิง มีอะไรเหรอ?” ถงเล่ยเดินออกมาและถามด้วยเสียงเบา เนื่องจากจี้เฟิงเรียกเธอออกมา คงมีบางอย่างที่พูดต่อหน้าเซียวหยูซวนและจี้เสี่ยวหยูไม่ได้

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก ฉันแค่จะบอกว่า อีกประมาณสองวัน ฉันจะต้องไปหยานจิง ที่นั่นมีบางอย่างที่ฉันต้องไปจัดการ คงต้องใช้เวลาซักระยะเลยว่าที่ฉันจะกลับมา ฉันมาบอกเธอเอาไวก่อน” จี้เฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“นายจะไปนานเลยเหรอคราวนี้?” ถงเล่ยตกใจ ในใจยังแอบรู้สึกเศร้าเล็กๆ

จี้เฟิงยิ้มอย่างอ่อนโยนและลูบคางที่น่ารักของถงเล่ยและพูดว่า “ยังไงก็ตาม เธอกับหยูซวนก็ต้องกลับบ้าน ดังนั้นเราไปด้วยกันเถอะ!”

เมื่อถึงวันหยุดฤดูร้อน เซียวหยูซวนจะต้องกลับบ้านและพักอยู่ที่นั่นตลอดช่วงวันหยุด ไม่อย่างนั้น พ่อแม่ของเซียวหยูซวนจะรู้ว่าลูกสาวของพวกเขาได้อยู่อาศัยกับจี้เฟิงแล้ว และนั่นก็คงจะมีคำถามตามมา

และเพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ดังกล่าว เซียวหยูซวนจึงแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นทุกครั้ง เธอสามารถทำทุกอย่างที่เธอต้องการ ก่อนที่วันหยุดฤดูร้อนกำลังจะมาถึง และแน่นอนว่าเธอก็ต้องกลับบ้าน

เช่นเดียวกับถงเล่ย

ในช่วงวันหยุดฤดูร้อน ถงเล่ยจะต้องกลับไปที่หยานจิง วันเวลาผ่านไป ผู้อาวุโสเฒ่าของตระกูลถงเริ่มแก่ตัวลง และคนรุ่นต่อไปมักจะกลับไปที่หยานจิงทุกครั้งที่มีเวลา สุดท้ายแล้วพวกเขาจะต้องทำคะแนนให้ได้มากที่สุด ทิ้งความประทับใจไว้ให้กับผู้อาวุโสถง ใครจะรู้ว่าบางทีผู้อาวุโสถงอาจจะทิ้งสิ่งสำคัญไว้ให้พวกเขามากกว่าที่คิดเพราะคะแนนพิศวาส!

แม้ว่าตระกูลถงจะไม่ใช่ตระกูลที่ร่ำรวยติดอันดับต้นๆของหยานจิง แต่ก็รวยพอที่จะทำให้รุ่นลูกรุ่นหลานต้องตาลุกวาวและต้องทำตัวให้ดีพอเพื่อรับช่วงต่อ

ถงเล่ยพยักหน้าเล็กน้อย “ฉันเกรงว่าพี่หยูซวนจะไม่สามารถทำแบบนั้นได้!”

จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะเกาหัวของเขาทันที แน่นอนว่าตามหลักเหตุผลแล้วเขาควรที่จะทำเช่นนี้ อย่างไรก็ตาม เซียวฉางเหอไม่รู้ว่าตอนนี้เซียวหยูซวนอาศัยอยู่กับเขา และถ้าเกิดพ่อแม่ของเซียวหยูซวนรู้ว่าเขาก็อาศัยอยู่กับถงเล่ยด้วย จี้เฟิงคิดว่าท่าทีของเขาจะต้องไม่ใช่ความยินดีอย่างแน่นอน

ภายใต้สถานการณ์นี้ มีทางเดียวคือเซียวหยูซวนจะต้องกลับบ้านของพ่อแม่เธอทุกครั้งที่เธอว่างจากงาน

อย่างไรก็ตาม ในใจของเซียวหยูซวนไม่อยากทำแบบนั้น

เพราะทุกครั้งก่อนที่เธอต้องแยกจากกันกับจี้เฟิง แม้ว่าใบหน้าของเซียวหยูซวนจะยังคงประดับไปด้วยรอยยิ้มที่มีเสน่ห์ แต่จี้เฟิงก็ยังมองเห็นความไม่เต็มใจในดวงตาของเธอได้อยู่ดี แต่ก็ไม่มีทางออกที่ดีไปกว่านี้ เขาไม่สามารถวิ่งไปบอกเซียวฉางเหอแล้วบอกกับเขาว่าผมไม่สามารถแต่งงานกับลูกสาวของคุณได้ เพราะผมมีผู้หญิงอีกคนอยู่ก่อนแล้ว!

ใครก็ตามที่มีจิตสำนึกและความรู้สึกผิดชอบชั่วดีเพียงเล็กน้อย ไม่สามารถทำเรื่องแบบนี้ได้ นับประสาอะไรกับจี้เฟิง หากเขาทำแบบนั้นจริง เขาก็คงเป็นคนที่ไร้จิตสำนึกที่หาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวเองและแฟนสาว!

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้เกิดขึ้นมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว และทุกครั้งมันได้สร้างความเศร้าในหัวใจของเซียวหยูซวน และมันก็ทำให้หัวใจของจี้เฟิงรู้สึกอึดอัดเช่นกัน

“นายกำลังพูดเรื่องอะไร?”

ขณะที่จี้เฟิงกำลังอับจนหนทาง จู่ๆเสียงของเซียวหยูซวนก็ดังขึ้นข้างๆถงเล่ย ไม่รู้ว่าเธอออกมาจากห้องอ่านหนังสือตั้งแต่ตอนไหน “ทำไมนายถึงต้องเป็นทุกข์ด้วย จี้เฟิง! ฉันบอกนายกี่ครั้งแล้วว่าอย่าทำหน้าเคร่งเครียดแบบนี้ เพราะมันทำให้ฉันกับเล่ยเล่ยต้องทุกข์ใจไปด้วย!”

จี้เฟิงถอนหายใจเบาๆ เขาจับมือเซียวหยูซวนและพูดอย่างอ่อนโยนว่า “หยูซวน เธออุตส่าห์เชื่อใจฉัน มาอยู่กับฉัน แต่ฉันทำผิดต่อเธอ และทำให้เธอต้องทำผิดไปด้วย...”

เซียวหยูซวนอดไม่ได้ที่จะงุนงงและรู้สึกแปลกๆ เธอหัวเราะและพูดว่า “เดี๋ยวๆ นี่มันเรื่องอะไรกัน? นายเป็นอะไร แล้วใครทำผิด?”

“พอดีว่าเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย!”

จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะจ้องมองเธอด้วยรอยยิ้มรู้สึกผิด เขาส่ายหัวและกล่าวว่า “อีกสองหรือสามวันฉันจะต้องไปหยานจิง... หยูซวน เธออยากจะอยู่ที่นี่หรือจะกลับไปบ้านของเธอ?”

“... ฉันจะกลับบ้าน!” เซียวหยูซวนเข้าใจในทันทีว่าความรู้สึกผิดของจี้เฟิงมาจากเรื่องอะไร และเธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ “จี้เฟิง นายไม่ต้องกังวลจนมากเกินไป ถ้ามีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกแล้วนายเป็นแบบนี้ทุกครั้ง แล้วในอนาคตพวกเราจะอยู่กันอย่างมีความสุขได้ยังไง? ... ที่ได้ติดตามนาย ได้มาเป็นแฟนนาย ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นอย่างทุกวันนี้ มันทำให้ฉันมีความสุขดี และฉันก็จะบอกพ่อแม่ของฉันแบบนั้น!”

หัวใจของจี้เฟิงรู้สึกราวกับถูกสัมผัสอย่างนุ่มนวล มันทำให้เขาตื้นตันจนไม่สามารถพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้อีก เขาพยักหน้าเล็กน้อยและพูดว่า “งั้นถ้าว่างๆ ฉันจะพาพวกเธอไปช้อปปิ้งก็แล้วกัน!”

“จริงเหรอ?!” ถงเล่ยถามอย่างมีความสุข

เซียวหยูซวนยิ้มและกล่าวว่า “เรื่องนี้นายเป็นคนพูดออกมาเองนะ ถ้านายเปลี่ยนใจล่ะก็ รอได้เลยว่าฉันกับเล่ยเล่ยจะจัดการกับนายยังไง!”

ทันใดนั้นจี้เฟิงก็พยักหน้าและยิ้ม “ไม่เปลี่ยนใจหรอก งั้นเอาแบบนี้ เราไปวันนี้เลยแล้วกัน!”

จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงความละอายอยู่ในใจ ตั้งแต่ที่แฟนสาวทั้งสองคนยอมติดตามมาอยู่กับเขา เขาก็ไม่ค่อยได้พาพวกเธอไปเที่ยวหรือช้อปปิ้งเลย ส่วนใหญ่แล้วพวกเธอจะไปช้อปปิ้งกันเองหรือเพื่อนผู้หญิงคนอื่นๆ ในขณะที่ตัวเขานั้นก็มัวแต่ยุ่งอยู่กับธุรกิจ

‘ฉันติดหนี้พวกเธอมากเกินไป!’ จี้เฟิงบ่นตัวเองอยู่ในใจ

“งั้นฉันจะไปเรียกเสี่ยวหยู...” ถงเล่ยพูดและกำลังจะหันหลังกลับ แต่เธอก็ถูกจี้เฟิงดึงมือไว้

“วันนี้เราไปกันสามคนเถอะ เราจะไม่พาเสี่ยวหยูไปด้วย!” จี้เฟิงยิ้ม “เด็กคนนี้เป็นคนเงียบๆ แม้ว่าเธอจะชวน เสี่ยวหยูก็ไม่ไปหรอก!”

“พูดอะไรไม่คิด!” เซียวหยูซวนหัวเราะและตีไหล่จี้เฟิงอย่างแรง จะให้ทิ้งเสี่ยวหยูไว้ที่บ้านคนเดียวโดยที่พวกเขาทั้งสามคนไปช้อปปิ้งกันหน้าตาเฉยได้ยังไง! พูดเป็นเล่น! ต่อให้เป็นคนเงียบๆ หรือชอบอยู่กับบ้านมากแค่ไหน แต่ถ้ามารู้ทีหลังว่าถูกทิ้งก็คงไม่มีใครชอบใจอย่างแน่นอน!

“เล่ยเล่ย ไปเรียกเสี่ยวหยูมา!” เซียวหยูซวนพูดเบาๆ

“อื้ม จะไปเดี๋ยวนี้!” ถงเล่ยยิ้มและหันหลังเข้าห้องอ่านหนังสือ

เซียวหยูซวนมองไปที่จี้เฟิงและพูดเบาๆว่า “นักเลงน้อย ฉันรู้ดีว่านายดีกับเราและห่วงใยเรามากแค่ไหน นายจะทำอะไรก็ระมัดระวังอยู่เสมอ แต่นายไม่จำเป็นต้องเอาใจพวกเราขนาดนั้น ไม่อย่างนั้นมันจะยิ่งทำให้ฉันไม่สบายใจ... และทุกข์ใจ...”

จี้เฟิงยิ้มมุมปาก “ถ้าเธอไม่อยากให้ฉันเอาใจ งั้นคืนนี้เธอก็มาเอาใจฉันแทนแล้วกัน โอเค๊?”

“อ๊ะ!” เซียวหยูซวนหน้าแดงทันที “ตาบ้านี่!”

…จบบทที่ 649~❤️

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด