CD บทที่ 6 ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ
จ้าวหยู่อดไม่ได้ที่จะไม่รู้สึกประหม่าเลย ระบบปาฏิหาริย์ได้สร้างสถานการณ์ไว้สำหรับเขาในครั้งนี้ไว้อย่างไรกัน? เขารีบตรวจสอบอุปกรณ์ที่ได้รับมาจากเมื่อวานทันที อุปกรณ์ดักฟังล่องหนนั้น
ยังคงอยู่ เจ้านี่สามารถดักฟังใครก็ได้โดยที่เป้าหมายไม่รู้ตัวเลย นี่จึงเป็นของล้ำค่ามาก
จ้าวหยู่เดินเข้าไปในห้องทำงานของเขา เมื่อเข้าไปในแผนกสืบสวน เขาพบว่าข้างในมีคนทำงานอยู่ไม่มาก เขาไม่เห็นหลิวชางฮูและคูปิงอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน
เมื่อจ้าวหยู่ก้าวเข้ามาข้างใน ทุกคนที่ทำงานอยู่ต่างจ้องมองมาที่ชายหนุ่ม
ชายหนุ่มเบื้องหน้าก่อนหน้านี้คือคนที่สุภาพอ่อนโยนแต่ไม่รู้ทำไมนิสัยของเขาเปลี่ยนไปราวกับคนละคนแต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มที่มีนิสัยแตกต่างออกไปคนละขั้วคนนี้ก็คือคนที่สามารถจัดการกับคนร้ายคดีข่มขืนปืนช็อตไฟฟ้าก่อนหน้านี้ไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ
จ้าวหยู่ไม่ได้สนใจสายตาของคนเหล่านั้นสักเท่าไหร่ เขามุ่งหน้าตรงไปยังโต๊ะทำงานของเขาและเริ่มเปิดคอมพิวเตอร์โดยทันที
โต๊ะข้าง ๆ ของจ้าวหยู่คือ จางจิงเฟิงกับเหลียงฮวน ทั้งสองคนเป็น
ผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับคดีแช่แข็งที่ยังไม่ได้รับการสืบสวนหรือแก้ไขคดี
แต่คดีพวกนี้ไม่ได้ทำการสืบสวนมากพักใหญ่แล้ว ทีมนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนกสืบสวนคดีด้วยเช่นกัน
คดีส่วนใหญ่มักเกี่ยวพันกับการฆาตกรรมชิงทรัพย์ คดีแช่แข็งเหล่านี้ ส่วนใหญ่มาจากการพักทำคดีที่นานเกินไป จนไม่สามารถตามหาหลักฐานใด ๆ ต่อไปหรือบางทีพยานปากสำคัญก็หายตัวไปก่อนจะได้ไต่สวนคดีหรือบางทีคดีเหล่านี้ก็อาจไม่ได้รับการสืบสวนหรือแก้ไขเป็นเวลา 10-20ปี
ด้วยเหตุนี้เอง งานของแผนกนี้จึงเป็นหนึ่งในหน่วยงานที่ได้รับความนิยมน้อยที่สุด
ทุกคนพยายามที่จะหลีกเลี่ยงในการต้องมาทำงานที่แผนกนี้กันทั้งนั้น
ทั้งต้องทำงานภายใต้แรงกดดันจากเบื้องบน หากจัดการคดีได้ไม่ดีพอหรือใช้เวลานานจนเกินไปก็จะเกิดการลงโทษทางวินัยอีก
ด้วยความโชคร้ายจึงทำให้สองคู่หูอย่างจางจิงเฟิงและเหลียงฮวนต้องถูกย้ายมาที่แผนกนี้อย่างช่วยไม่ได้
ในตอนนี้ งานของพวกเขาคือการตรวจสอบหาอะไรบางอย่างจากหลักฐานที่มาจากไฟล์รูปและไฟล์วีดีโอ ด้วยความเก่าของพวกมันทำให้พวกเขาตรวจสอบได้อย่างยากลำบาก
ขณะที่จ้าวหยู่กำลังรอคอมพิวเตอร์ของเขาให้พร้อมใช้งาน เขาก็แอบมองดูงานของทั้งคู่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขาเห็นเพียงภาพถ่ายที่มีแต่ศพและเลือดเต็มไปหมดเท่านั้น
“อืม พวกคุณกำลังทำอะไรอยู่เหรอ? นี่มันอะไรเนี่ย? ทำไมมันถึงโหดเหี้ยมอย่างนี้” จ้าวหยู่หันไปเอ่ยถามอย่างสนใจ
“นี่น่ะเหรอ...” จางจิงเฟิงเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนา “มันเป็นคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นเมื่อสิบปีก่อนที่เกิดขึ้นในเขตใจกลางเมือง เหยื่อเสียชีวิตอย่างโหดเหี้ยม เขาถูกแทงตามร่างกายไปไม่ต่ำกว่าสี่สิบครั้ง!”
“จริงเหรอเนี่ย” แม้ว่าคอมพิวเตอร์ของจ้าวหยู่จะพร้อมใช้งานแล้วมาได้สักพักแล้วก็ตามแต่คดีตรงหน้าก็เรียกความสนใจของเขาได้ไม่น้อย
เขาเริ่มหยิบรูปที่เกิดเหตุขึ้นมาดูอย่างระมัดระวัง
“ตอนนั้นคดีนี้สร้างความวุ่นวายไว้มากเลยทีเดียว” เหลียงฮวนกล่าว “เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายคือคนว่างงานทั่วไป เขาไม่มีงานไม่มีเงินเดินไปมาอย่างไร้จุดหมาย แรงจูงใจอาจจะมาจากการกู้หนี้นอกระบบจึงทำให้เขาเสียชีวิต เพราะหลังจากที่เขาถูกฆ่าตายคนร้ายได้เขียนบนกำแพงว่า ‘ตาต่อตา ฟันต่อฟัน’ ด้วย จึงทำให้คดีนี้ถูกต้องชื่อว่า คดีฆาตกรรมแก๊งอันธพาล”
“ตามรายงานที่ได้รับมาจากตำรวจที่ทำการสืบสวนคดีนี้ เลือดของผู้ตายสาดกระเซ็นไปทั่ว ภรรยาของผู้ตายถึงกับมีปัญหาทางจิตเลย หลังจากเกิดเหตุขึ้น คนกว่าครึ่งที่อาศัยอยู่พื้นที่ตรงนั้นต่างพากันย้ายหนีออกไปด้วยความหวาดกลัว รัฐบาลจึงรื้อถอนสถานที่นี้ออกไป” จางจิงเฟิงกล่าวต่อ
“อย่างนี้นี่เอง...” จ้าวหยู่ฟังอย่างตั้งใจพร้อมตรวจสอบภาพถ่ายตรงหน้าอีกทีและถามว่า “เพราะความวุ่นวายในครั้งนั้นเหรอที่ทำให้คดีนี้ยังไม่ปิดไม่ได้สักที”
จางจิงเฟิงถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างสิ้นหวัง “ถ้าคดีนั้นถูกปิดไปแล้ว พวกเราคงไม่มานั่งทำท่าสิ้นหวังอยู่กันแบบนี้หรอก ตอน
แรกทางตำรวจเองก็ระดมกำลังค้นหาตัวคนร้ายกันทั้งวันทั้งคืน ถึงขนาดทำการกวาดล้างขบวนการหนี้นอกระบบต่าง ๆ ที่คิดว่าน่าจะเจอตัวคนร้ายได้แต่ก็ไม่สามารถตามตัวคนร้ายได้เลย จึงทำให้คดีถูกแช่แข็งไว้เป็นเวลานาน อยู่ดี ๆ หัวหน้าก็ต้องการรื้อคดีขึ้นมาใหม่ซะงั้น”
“แล้วยิ่งเป็นในตอนนี้ด้วยแล้ว” เหลียงฮวนพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“สถานที่เกิดเหตุถูกรื้อถอนไปหมดแล้ว ไม่มีแม้แต่สถานที่ให้หาหลักฐานใด ๆ เพิ่มเติมได้เลย ทำได้เพียงแกะรอยจากรูปถ่ายเหล่านี้เท่านั้น มันเป็นคดีที่สมควรปิดตายไปแล้วซะด้วยซ้ำ!”
“และที่สำคัญคดีนี้ใกล้จะครบสิบปีแล้ว ทางเบื้องบนต้องการให้เราสืบสวนและคลี่คลายคดีนี้ให้เร็วที่สุด” จางจิงเฟิงกล่าวพร้อมถอนหายใจออกอีกรอบ “ถ้าเราสองคนไม่สามารถแก้ไขคดีนี้ได้ล่ะก็ พวกเราคงถูกลดขั้นไปเป็นตำรวจจราจร!”
“ใช่แล้วล่ะ” เหลียงฮวนยิ้มออกมาอย่างข่มขื่น “เราควรไปฝึกทำหน้าที่จราจรกันเลยดีไหม สิ่งแรกที่ฉันต้องทำคงเป็นการแจกใบสั่ง
ให้กับพวกที่จอดรถไม่ถูกที่ข้างหน้าสถานีตำรวจสินะ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า…” จางจิงเฟิงหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เขาทำท่าแจกใบสั่งตามเหลียงฮวนอย่างขบขัน
จ้าวหยู่เผลอย่นจมูกไปโดยไม่รู้ตัวขณะหยิบรูปถ่ายรูปหนึ่งขึ้นมา
“เอ่อ ฉันมีเรื่องอยากจะพูดสักสองสามอย่างแต่ไม่รู้จะพูดดีมั้ย…”
“ไม่เป็นไรว่ามาเลย” จางจิงเฟิงกล่าว “เรามาถึงในจุดที่ไม่มีอะไรจะเสียได้อีกแล้วล่ะ พูดมาได้เลย”
“ผมคิดว่าชื่อของคดีนี้ มันไม่ควรตั้งชื่อว่าคดีฆาตกรรมแก๊งอันธพาลตั้งแต่แรก”
“ว่าไงนะ?” ทั้งสองตกงุนงงเล็กน้อยและหันมามองหน้ากัน
“พวกคุณคงเข้าใจผิดถึงวิธีการของพวกแก๊ง พวกนั้นไม่มีทางทำงานกันแบบนี้หรอก” จ้าวหยู่ชี้ไปที่รูปถ่ายแล้วเริ่มวิเคราะห์ข้อมูล “ลองคิดดูสิ ถ้าพวกคุณเป็นเจ้าหนี้ที่ลูกหนี้ค้างเงินไว้เป็นจำนวนมาก คุณจะขู่บังคับเพื่อให้เขายอมจ่ายเงินหรือฆ่าเขาและทิ้งเงินก้อนนั้นไป”
“อืม” เหลียงฮวนลองคิดตามคำพูดของจ้าวหยู่ “แน่นอนสิว่าต้องบังคับให้ลูกหนี้คนนั้นมาจ่ายหนี้”
“ใช่แล้ว มันต้องเป็นอย่างนั้น!” จ้าวหยู่กล่าวต่อ “พวกแก๊งเจ้าหนี้นอกระบบมองแต่เงินเท่านั้นและไม่มีเหตุผลที่ต้องฆ่าลูกหนี้แล้วทิ้งร่องรอยให้ตำรวจตามสืบแน่นอน ถึงแม้ว่าผู้ตายจะเป็นหนี้เป็นร้อยล้าน พันล้าน พวกเขาไม่มีทางตามฆ่าลูกหนี้แน่นอน”
“พวกเรามีคำพูดติดมากที่มักจะพูดว่า...” จ้าวหยู่เผลอหลุดพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไปเสียแล้วเขารีบแก้ไขคา พูดของเขาใหม่อย่างรวดเร็ว
“ฉันหมายถึง พวกแก๊งเหล่านี้ก็มักจะพูดทำนองว่า ‘อย่าตัวเด่น เดี๋ยวตายไว’ อยู่ พวกคุณไม่คิดหรอกเหรอว่า ถ้ายิ่งกระทำการที่โหดเหี้ยมและละเลงเลือดไปทั่วแบบนี้ ยิ่งสร้างความเดือดร้อนให้กับแก๊งตัวเองและยิ่งความวุ่นวายมากขึ้นเท่าไหร่ มันก็ยิ่งส่งผลเสียและไม่ได้อะไรตอบแทนกลับมาเลยสักอย่าง” จ้าวหยู่ยังคงกล่าวต่อ “ในความเป็นจริง ถ้าคิดที่จะขู่หรือฆ่า แค่ขู่โดยการพังข้าวของหรือทำร้ายลูกเมียของลูกหนี้เพื่อเป็นการบังคับให้จ่ายคืนหนี้เท่านั้นก็พอแล้ว ถ้าพวกคุณฆ่าลูกหนี้ไปแบบไม่สมเหตุสมผล แล้วจะตามเงินก้อนนั้นกลับคืนมาได้อย่างไรกัน”
“ใช่ อย่างที่เธอพูดเลย!” จางจิงเฟิงรีบตอบรับอย่างไว “ทำไมฉันถึงคิดเรื่องนี้ไม่ได้นะ?”
“’งั้นก็หมายความว่า ทีมตำรวจสืบสวนก่อนหน้านี้ระบุทิศทางในการสอบสวนผิดมาตลอดล่ะสิ ถ้าสาเหตุจากการฆ่าไม่ได้มาจากแก๊งจริง แล้วใครจะเป็นผู้ลงมือ”
“เหยื่อถูกแทงสี่สิบแผล…” จ้าวหยู่อดสงสัยข้อนี้ไม่ได้ “ฆาตกรรมคน ๆ เดียว แต่ต้องทำร้ายเหยื่อถึงสี่สิบครั้งเชียวหรือ ถ้าให้ฉันเดา ฉันคิดว่าเหยื่อกับคนร้ายต้องมีความสัมพันธ์อะไรกันบางอย่าง ไม่แน่คนร้ายอาจพยายามจงใจสร้างวิธีการฆ่าอย่างโหดเหี้ยมและจัดฉากให้เหมือนเป็นการลงมือของพวกแก๊งอันธพาลเหล่านั้นซึ่งจะทำให้การสันนิฐานของพวกเราไขว้เขวไป!”
“อื้ม ก็ฟังดูเข้าท่า…” จางจิงเฟิงลองพิจารณาถึงความเป็นไปได้ต่าง ๆ เกี่ยวกับคดีนี้อีกครั้ง “แต่ในรายงายบอกว่าผู้ตายเป็นแค่เพียงคนว่างงานทั่ว ๆ ไป ค่อนข้างโลกส่วนตัวสูงและนิสัยไม่ค่อยดี ดูเหมือนเขาน่าจะมีศัตรูไว้พอสมควร มันเลยยากที่จะตรวจสอบว่าคนไหนจะมีแรงจูงใจมากพอที่จะมาฆ่าเขา”
“แล้วภรรยาของผู้ตายล่ะ เธฮป่วยจนรักษาไม่หายเลยเหรอ?” จ้าวหยู่ถามอย่างกะทันหัน
“ไม่นะ” เหลียงฮวนเปิดสำนวนคดีดูและตอบกลับไป “ตอนนี้เธอแต่งงานใหม่ แถมมีลูกแล้วด้วย เห็นได้ชัดว่าสภาพจิตใจเธอฟื้นฟูได้
ดีทีเดียว”
“แล้วทำไมพวกคุณไม่ลองไปถามหล่อนดูว่าเหยื่อไม่ถูกกับใครบ้างล่ะ ถ้าเหยื่อมีศัตรูอยู่จริง เธอก็ต้องรู้สิ มันคงยังไม่สายเกินไปที่จะเริ่มตรวจสอบรายชื่อคนร้ายขึ้นมาใหม่อีกครั้ง” จ้าวหยู่หันกลับไปยังคอมพิวเตอร์ตัวเอง “ไม่แน่นะ ตัวภรรยาเองก็อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับคนร้ายในคดีนี้ด้วยก็ได้”
“อะ…อะไรนะ!” เหลียงฮวนรีบหันมาหาจ้าวหยู่ด้วยท่าทีประหลาดใจ “เธอกำลังหมายถึง…”
“การแทงไปจำนวนสี่สิบครั้ง ถ้าไม่มีความเครียดแค้นอย่างลึกซึ้งคงไม่มีทางทำอย่างนั้นได้แน่นอน”
หลังจากกล่าวจบ จ้าวหยู่ก็เริ่มค้นหาห้องเช่าใหม่บนเว็ปไซด์อย่างใจเย็น
“ทำไมพวกคุณไม่ลองตรวจสอบดูล่ะ ว่าสิ่งที่ผมพูดมัน...”
ก่อนที่จ้าวหยู่จะพูดจบประโยค นายตำรวจทั้งสองก็รีบวิ่งออกไปจากสถานีตำรวจเรียบร้อยแล้ว