CD บทที่ 12 อูฐ!
เนื่องจากต้องใช้จำนวนคนมาช่วยทำคดีมือที่หายไปเป็นจำนวนมาก ทำให้แผนกสืบสวนมีจำนวนคนไม่เพียงต่อการทำงาน แม้แต่เจ้าหน้าที่ฝึกงานอย่างหลี่เบ่ยหนีก็ต้องมีส่วนช่วยในการทำคดีนี้ด้วยเช่นกัน
วันนี้หลี่เบ่ยหนีมีความสุขมากเพราะเธอกับจ้าวหยู่ได้มาทำงานในหน้าที่เดียวกัน การได้ใช้เวลาร่วมกับคนที่เธอแอบชอบช่างเป็นวันที่โชคดีสำหรับเธอจริง ๆ
ทางด้านจ้าวหยู่เองก็อารมณ์ดีไม่ต่างกัน ในระหว่างการเดินทางบนรถบัส จ้าวหยู่คุยกับหลี่เบ่ยหนีไปพลาง ฮัมเพลงไปพลาง เขาลืมเรื่องการเดิมพันกับหลิวชางฮูไปอย่างสิ้นเชิง สาเหตุที่ทำให้เขาอารมณ์ดีแบบนี้ก็เพราะว่าเขาสามารถเปิดระบบปาฏิหาริย์ได้อีก
ครั้ง
ทันทีที่เขาตื่นนอน เขารีบจุดบุหรี่เตรียมสูบทันทีแค่เพียงการสูดรับควันเข้าไปในครั้งแรก เขาก็สำลักควันแล้วไออย่างรุนแรงราวกับกำลังโดนกระแสไฟฟ้าช็อตอย่างไรอย่างนั้น
ระบบกำลังทำงาน
เสียงอันลึกลับได้ดังขึ้น
Ken(น้ำ) Gen(ภูเขา) วารีจากยอดภูผา หยดน้ำมาก่อน ภูเขาตามหลัง ทุกสิ่งย่อมมีขึ้นและลง ชั่วดีได้ถูกชะตากำหนดไว้
จ้าวหยู่รีบจดจำถ้อยคำจากระบบที่ได้กล่าวไว้แต่เนื่องจากประโยคที่ค่อนข้างซับซ้อน ทำให้เขาลืมมันลงอย่างรวดเร็ว เขาสามารถจดบันทึกใส่สมุดได้แต่คำง่าย ๆ เช่น น้ำและภูเขา เท่านั้น
แม้ว่าเขาจะยังไม่เข้าใจระบบปาฏิหาริย์สักเท่าไหร่แต่จากการผจญภัยจากครั้งที่แล้ว ๆ มา เขาก็เชื่อมั่นในศักยภาพของระบบว่าจะสามารถช่วยเขาไขคดีนี้ได้อย่างแน่นอน
“ฮ่าฮ่า ค่อยดูเถอะเจ้าโง่หลิว ฉันจะทำให้แกต้องมาเสียเงิน 1,800หยวน แทนฉันให้ได้!”
แต่ยังไม่ทันดีใจได้เท่าไหร่ ปัญหาก็เข้ามาหาเขาเข้าเสียแล้ว ปรากฏว่าเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายที่จ้าวหยู่และหลี่เบ่ยหนีได้รับมอบหมายให้ไปสอบถามข้อมูลคือเหยื่อร้ายที่สองจากคดีของปีก่อน ‘หยวนหลีลี่’
จากตามข้อมูลที่ได้รับมา หยวนหลีลี่เคยเป็นครูสอนเปียโนที่โรงเรียนสอนดนตรีมาก่อน การสูญเสียมือขวาของเธอส่งผลกระทบต่อชีวิตและหน้าที่การงานของเธอเป็นอย่างมาก ดูเหมือนการสูญเสียมือขวาของเธอไป จะเป็นเหตุทำให้สามีขอหย่ากับเธอ
หยวนหลีลี่คือเหยื่อที่ร้องเรียนการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจเพราะสาเหตุนี้เองที่ทำให้สื่อได้เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องจนทำให้เจ้าหน้าที่เก่ง ๆ หลายคนต้องถูกบังคับให้ลาออกจากงานไปและก็เป็นไปตามคาด เธอไม่ยอมให้ความร่วมมือในการสอบสวนคดีสักเท่าไหร่
เธอสร้างความงุนงงให้กับจ้าวหยู่และหลี่เบ่ยหนีตั้งแต่หน้าประตู เธอบอกว่าเพราะการทำงานที่ไร้ประโยชน์ของตำรวจที่ผ่านไปเป็นปีแล้วแต่ก็ยังไม่สามารถจับตัวคนร้ายได้แล้วจะช่วยหาความยุติธรรมให้เธอได้อย่างไรกัน
จากนั้นเธอก็พูดอีกว่า ทางตำรวจก็ได้ข้อมูลจากเธอไปทั้งหมดแล้ว จะมาสอบสวนเพิ่มเติมอีกทำไม มันเหมือนกับเอาเกลือมาสาดใส่แผลเธอให้เจ็บแสบขึ้นอีกครั้ง เธอขู่ว่าจะบอกเรื่องนี้กับนักข่าวเรื่องการทำงานของตำรวจอีกรอบ
หยวนหลีลี่พูดอย่างดุเดือดพร้อมชี้นิ้วด่าไปทั่ว มันน่ารำคาญมากสำหรับจ้าวหยู่ ถ้าไม่ติดว่ามือขวาของเธอหายไปแล้วล่ะก็ จ้าวหยู่จะไม่ยอมยืนนิ่งให้เธอดูถูกแบบนี้ได้แน่ ยังดีที่มีหลี่เบ่ยหนีมาด้วย ด้วยการพูดจาสุภาพน่าฟัง ช่วยให้การสอบถามจากพยานจบสิ้นไปได้ด้วยดี
ในตอนแรกจ้าวหยู่สับสนเป็นอย่างมาก เนื่องจากคำให้การครั้งล่าสุดของหยวนหลีลี่ก็มีความชัดเจนและครบถ้วนมากพอแล้ว ทำไมพวกเขายังต้องมาพบเธอและสอบปากคำใหม่อีกครั้งกันแต่หลังเสร็จสิ้นจากการสอบถามครั้งนี้เขาก็รู้แล้วว่าทางตำรวจพยายามหาหลักฐานใหม่ ๆ เพิ่มเติม เพื่อมาวิเคราะห์กับคดีมือที่หายไปที่เกิดขึ้นล่าสุดและหาความเชื่อมโยงกันของคดีเก่าและใหม่ว่าเหยื่อทั้งสามมีความเชื่อโยงกันอย่างไรเพื่อจะได้ตัดสินทิศทางของการสืบสวนได้
อย่างไรก็ตาม หยวนหลีลี่กล่าวว่าเธอไม่รู้จักหรือมีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับเหยื่อรายที่สามนี้เลย
เช่นเดียวกับที่เธอก็ไม่รู้จักเหยื่อรายแรกเช่นกัน นั่นหมายความว่าเหยื่อทั้งสามคนไม่ได้รู้จักกันและกันมาก่อน ดังนั้นอาจจะระบุได้ว่าคนร้ายก็แค่สุ่มเลือกเหยื่อขึ้นมาเองเฉย ๆ
จ้าวหยู่เพิ่งเข้าใจถึงความหมายของคำว่า ‘พยายามทำทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่จะทำได้’ ในการสืบสวนคดี พวกเขาต้องวิเคราะห์ข้อมูลทุก ๆ อย่างไม่ให้พลาดแม้แต่นิดเดียวและต้องไม่มองข้ามแม้ว่าจะเป็นจุดข้อสงสัยที่เล็กน้อยเพียงใดก็ตาม
บ้านของหยวนหลีลี่ตั้งอยู่ในย่านราคาแพงที่มีแต่คนรวยเท่านั้นจะอยู่ได้ แม้ว่าเธอจะไม่ได้เป็นครูสอนเปียโนอีกต่อไป แถมยังหย่าร้างกับสามีอีกแต่ทางสามีเองก็ทิ้งเงินก้อนใหญ่ไว้ให้ ทำให้เธอสามารถอยู่ได้สบาย ๆ ไปทั้งชาติด้วยเงินก้อนนั้น
ย่านนี้ค่อนข้างที่จะวุ่นวายเพราะรายล้อมไปด้วยห้างสรรพสินค้าทุกรูปแบบไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ เมื่อตอนที่จ้าวหยู่และหลี่เบ่ยหนีกลับออกจากบ้านหยวนหลีลี่ออกมา ถนนแถวนั้นถูกทำให้แคบลงเพราะจำนวนรถยนต์ที่มากมาย
“ถ้าต้องขึ้นรถบัสกลับล่ะก็ พวกเรากลับไม่ทันมื้อเย็นแน่เลยค่ะ จะทำไงกันดีคะ เดี๋ยวนะ รุ่นพี่ดูนู่นสิคะ!!”
โดยไม่คาดคิด หลี่เบ่ยหนีจะไปเจอสิ่งที่น่าสนใจเข้าในระหว่างที่เธอกำลังพูด เธอพยายามเรียกให้จ้าวหยู่หันมาสนใจ จ้าวหยู่หันหน้ามามองตามว่าคืออะไรและมันจะน่าสนใจแค่ไหนกัน
บนทางเท้าด้านล่างอาคารขนาดสูง มีอูฐสองหนอกกำลังเดินอยู่โดยมีผู้ชายคนหนึ่งที่สวมใส่ชุดชาวเผ่ากำลังเดินจูงอูฐและมีป้ายแขวนที่คอของอูฐว่า
‘ถ่ายภาพครั้งละ 5 หยวน’
“นั่นอูฐนี่!” หลี่เบ่ยหนีตบมือดีใจด้วยความตื่นเต้นราวกับเด็ก ๆ “มันเป็นอูฐจริง ๆ ด้วย!”
เมืองที่จ้าวหยู่เคยอาศัยตั้งอยู่ทางใต้ นอกจากในสวนสัตว์แล้ว มันเป็นเรื่องยากมากที่จะได้พบเจออูฐตัวเป็น ๆ แบบนี้ จ้าวหยู่ค่อนข้างสนใจอย่างมากทีเดียว เขาจ้องเขม็งไปที่อูฐตรงหน้าโดยไม่กระพริบตา
“คุณผู้ชาย คุณผู้หญิงสนใจถ่ายรูปกันสักใบไหม” คนจูงอูฐยิ้ม
“แค่ 5 หยวนเท่านั้นเอง ไม่แพงเลยใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ ใช่!” หลี่เบ่ยหนีดึงแขนจ้าวหยู่ด้วยความตื่นเต้นขณะที่เธอพูด “ไปถ่ายกันเถอะค่ะ! โอกาสแบบนี้ใช่ว่าจะหาได้ง่าย ๆ นะคะ”
จ้าวหยู่ยังไม่ทันยินยอมเลย คนจูงอูฐก็พาอูฐมาอยู่ต่อหน้าพวกเขาเสียแล้ว
“อืม...ฉันจะขอนั่งบนนั้นได้มั้ยคะ?” หลี่เบ่ยหนีเอียงศีรษะถามคนจูงอูฐ
“ได้แน่นอน!” คนจูงอูฐพยักหน้า
“แล้วเราสามารถนั่งด้วยกันได้ไหมคะ” หลี่เบ่ยหนีถามด้วยความหวังว่าจะได้ถ่ายรูปกับจ้าวหยู่
ยังไม่ทันที่ชายคนนั้นจะได้ตอบอะไร เสียงกรีดร้องแสบแก้วหูก็ดังขึ้นมาจากมุมถนน
“กรี๊ด!! โจร!! ช่วยจับโจรทีค่ะ! มันขโมยกระเป๋าของฉันไป!!”
ทันทีที่เสียงดังขึ้นทั้งสามคนก็หันไปมองหาต้นทางของเสียงนั้น
ผู้ชายสวมใส่กางเกงยีนส์วิ่งผ่านหน้าพวกเขาไป เห็นได้ว่าว่าชายที่ถือกระเป๋าคนนี้ไม่ได้เป็นเจ้าของเองแต่เป็นโจรที่ขโมยมาจาก
ผู้หญิงที่ตะโกนร้องคนนั้นต่างหาก
“ขโมย!?” หลี่เบ่ยหนีหยุดทุกการกระทำตรงนั้นทันทีแล้วเริ่มทำหน้าที่ตัวเอง “หยุดนะ!!”
แต่โจรก็ไม่ได้โง่พอที่จะหยุดให้โดนจับได้ หลี่เบ่ยหนีดันไปที่ตัวจ้าวหยู่
“คุณกำลังทำอะไรอยู่คะ ทำไมไม่ไปวิ่งตามจับคนร้ายล่ะคะ!”
แต่จ้าวหยู่ก็ไม่ได้ขยับตัวไปไหนแต่อย่างใดและพูดอย่างเฉื่อย ๆ ว่า
“ล้อเล่นหรือไง เราคือเจ้าหน้าที่หน่วยสืบสวนนะ เราจะไปวิ่งตามจับคนร้ายแบบตำรวจทั่วไปได้ยังไงกัน”
“พูดแบบนั้นได้ยังไงคะ!” หลี่เบ่ยหนีพูดอย่างกระวนกระวายใจ “เราเป็นตำรวจนะคะ หน้าที่ของตำรวจคือจับคนร้ายไม่ใช่หรือยังไงกัน ไปสิคะรีบไปตามจับเร็วเข้า”
หลี่เบ่ยหนีพยายามจะนั่งแท็กซี่ไปตามทางที่โจรวิ่งแต่การจราจรแย่มาก ต่อให้เธอเรียกแท็กซี่ได้ เธอก็ไม่สามารถไปไหนได้อยู่ดี
“เอาล่ะ ๆ” จ้าวหยู่โบกมือของเขาไปมาเบา ๆ “อย่าให้พี่ชายคนนี้เสียเวลาเลย มาถ่ายรูปกันต่อเถอะ”
แต่เมื่อเขาหันมาเห็นเจ้าของกระเป๋าที่ถูกขโมยไป จ้าวหยู่รู้สึกเหมือนโดนกาวดักไว้ไม่ให้ขยับไปไหนได้ ราวกับกำลังโดนฟ้าผ่าลงมาแล้ววิสัยทัศน์เขาก็ปั่นป่วนไปหมด
“บ้าน่า! ไม่จริง ทำไม…ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้!!!”