CD บทที่ 1 ไฟฟ้าแรงสูง
“เอ๋? รอยสักฉันหายไปไหนกัน?!”
จ้าวหยู่ถกแขนเสื้อของเขาขึ้น แล้วก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าแขนทั้งสองข้างของตนขาวสะอาดไร้รอยตำหนิใด ๆ ซึ่งก่อนหน้านี้เขาจำได้ว่าที่แขนของเขาเต็มไปด้วยรอยสักรูปมังกรแบบตะวันออกซึ่งวาดโดยโดยศิลปินที่มีชื่อเสียงที่สุดในละแวกนี้ มันสร้างความน่าเกรงขามแก่ผู้พบเห็นได้เป็นอย่างดี
แต่ทว่าตอนนี้ รอยสักนั้น...กลับหายไป?
จ้าวหยู่เงยศีรษะขึ้นมาจากโต๊ะและมองไปรอบ ๆ เขาสังเกตเห็นว่าตัวเองกำลังนั่งอยู่ในสำนักงานที่ใดสักแห่งหนึ่ง พื้นที่โดยรอบค่อนข้างสว่าง มีห้องทำงานเล็ก ๆ แยกย่อยออกไปเป็นจำนวนมาก
ในขณะเดียวกัน เขาได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นไม่หยุดไม่หย่อนพร้อมกับมองเห็นเอกสารปลิวว่อนไปทั่วตามทุกพื้นที่ มีเสียงดังวุ่นวายจากการเดินไปมาระหว่างห้องทำงานต่าง ๆ ของเหล่าพนักงาน ทุก ๆ คนมีสีหน้าที่เคร่งเครียดและดูเหมือนกำลังหงุดหงิดใครบางคนอยู่ตลอดเวลา
“เอาล่ะ ทุก ๆ คน มารวมตัวกันตรงนี้หน่อย!” อยู่ ๆ ชายวัยกลางคนผู้สวมใส่เสื้อแจ็คเก็ตสีน้ำตาลปรากฏตัวเข้ามา เสียงของเขาสร้างความสนใจของทุกคน
“หัวหน้าทีมคูปิง เธอจะเป็นคนมาอธิบายความคืบหน้าเกี่ยวกับคดีข่มขืนที่เกิดขึ้น คืนนี้เราจะตรวจตรากันตลอดทั้งคืนเพื่อจับกุมตัวคนร้ายให้ได้ ขอให้ทุกคนตั้งใจฟังให้ดี!”
ขณะเดียวกัน ก็มีใครบางคนเข็นกระดานสีขาวที่เต็มไปด้วยข้อความและรูปถ่ายจำนวนมากปักหมุดเอาไว้เข้ามาอย่างรวดเร็ว
เมื่อได้ยินประกาศ คนในสำนักงานก็รีบลุกขึ้นและเข้าใกล้ ๆ กระดานสีขาวนั้นทันที บางคนดึงเก้าอี้ที่ใกล้ตัวที่สุดมานั่ง พร้อมรอฟังประกาศอย่างตั้งใจ
ทางด้านจ้าวหยู่ เขายังคงนั่งอยู่กับที่ของตัวเองโดยไม่ได้เคลื่อนย้ายไปไหนและตอนนั้นเองเขาก็ตกอยู่ในอาการตกใจสุดขีด เมื่อเขาเผลอไปสัมผัสกับหูขวาของตัวเอง เขาพบว่าหูขวาของเขายังมีสภาพสมบูรณ์ปกติดีซึ่งมันควรจะแกว่งไปเมื่อตอนที่เขากำลังตะลุมบอนกับอีกแก๊ง
จ้าวหยู่ต้องการใช้กระจกหรืออะไรบางอย่างเพื่อมาสำรวจใบหน้าของตัวเอง เขามองไปรอบ ๆ เพื่อมองหาอะไรมาเป็นกระจกมาส่องใบหน้าตัวเอง ในระหว่างนั้นเขาก็สะดุดตากับรูปถ่ายรูปหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะตัวนั้น
รูปถ่ายที่ว่าคือภาพชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งผู้ซึ่งแต่งกายด้วยชุดตำรวจแต่ทว่าชายหนุ่มในรูปนั้นกลับมีหน้าตาที่คล้ายคลึงกับเขาราวกับแกะ
‘อะไรกันวะเนี่ย!!’
เมื่อความตกใจหายไป เขารู้สึกเหมือนมีความทรงจำบางอย่างบางอย่างกำลังไหลเข้ามาภายในหัวเขา ในที่สุดจ้าวหยู่เริ่มตระหนักได้ว่า ตัวเขาในตอนนี้อาจจะข้ามมาในโลกคู่ขนาน
เขายังจำได้ชัดเจนว่าตัวเขาก่อนหน้านี้เป็นใคร เขาคือจ้าวหยู่ ผู้มีอิทธิพลสูงสุดของแก๊งมาเฟียฉิงหลง
แม้ในตามความเป็นจริงเขาจะชื่อจ้าวหยู่แต่ใคร ๆ ก็ต่างพากันเรียกเขาว่า ราชานักสู้จ้าว
‘มันเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านี้? เดี๋ยวนะ โอ้ พระเจ้า!!’
ความทรงจำสุดท้ายที่เขาจำได้คือเขาถูกสั่งประหารชีวิตโดยการฉีดยาพิษเข้ากระแสเลือด
เขาเริ่มจำได้มากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อนึกถึงตอนที่ยาพิษกำลังค่อย ๆ แล่นไปทั่วร่างของเขาอย่างช้า ๆ พร้อมกับความกลัวตายที่ค่อย ๆ คืบคลานเข้ามาพร้อม ๆ กัน เขานึกถึงคำพูดที่เขาได้พึมพาตอนก่อนตายเอาไว้ว่า
“ตายอย่างมีเกียรติดีกว่าใช้ชีวิตเหมือนกับหมาข้างถนน…”
แต่ในขณะที่เขากำลังพึมพาคำพูดนั้น เขากลับมาโผล่อยู่ที่นี่อย่างได้อย่างไรกัน?
หรือที่จริงแล้วเขามีความสามารถย้ายวิญญาณสิงร่างของคนอื่นได้?
มันเกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วนเกินไป ไม่มีแม้แต่การส่งสัญญาณเตือนใด ๆ หรือแม้แต่กลับมาเกิดใหม่โดยเริ่มจากการเป็นทารกตามธรรมชาติด้วยซ้ำ แล้วความทรงจำใหม่ ๆ ที่เขาไม่รู้จักกำลังหลั่งไหลเข้ามาในหัวเขาไม่หยุด
เขาไม่ได้ตกใจแค่เพียงว่านี่เป็นอีกโลกหนึ่งที่แตกต่างจากโลกใบเดิมที่เขาเคยอยู่เพียงเท่านั้น
แต่ ณ ปัจจุบันนี้ เขาคือหนึ่งในเจ้าหน้าที่แผนกสืบสวน กล่าวอีกนัยหนึ่ง เขากลายมาเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ!!
‘ให้ตายเถอะ!!’
จ้าวหยู่ไม่อยากจะเชื่อเลย ตัวเขาที่อยู่ในเส้นทางของมาเฟียกลับกลายมาเป็นเจ้าหน้าที่ในแผนกสืบสวน มันเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน? ยิ่งคิดหาเหตุผลเท่าไหร่ มันก็ยิ่งทำให้หัวสมองของเขาแทบจะระเบิด
เขาเอามือไปลูบศีรษะเบา ๆ ก่อนหน้านี้เขาได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะจากของมีคมมากมาย มันสร้างรอยแผลเป็นเอาไว้เต็มไปหมด ด้วยรอยแผลเป็นพวกนั้นทำให้ศีรษะของเขาล้านแต่มันก็ไม่ได้แย่มากนักถ้าเทียบกับความสะดวกสบายแถมได้รูปลักษณ์ที่ยังช่วยเอื้อต่อการไปข่มขู่คนได้อีกด้วยแต่ตอนนี้ศีรษะของเขากลับปกคลุมไปด้วยเส้นผมดำ ยาว สุขภาพดี มันเสริมภาพลักษณ์ใหดูเป็นชายหนุ่มรูปงามได้ดีทีเดียว
“ทุก ๆ คน นับตั้งแต่วันที่ 12 ของเดือนนี้ เมืองของเราได้เกิดเหตุข่มขืนจากการถูกช็อตด้วยปืนช็อตไฟฟ้าถึงสามคดีด้วยกัน”
ทันใดนั้นก็มีเสียงนักสืบหญิงผู้มีผมสั้นและนัยน์ตากลมโตขนาดใหญ่ กำลังอธิบายสถานการณ์ของคดีที่พวกเขารับผิดชอบให้เหล่าสมาชิกในทีมได้ฟัง
จ้าวหยู่สามารถจดจำผู้หญิงคนนี้ได้ทันทีจากความทรงจำที่เพิ่มเข้ามาใหม่
เธอเป็นหัวหน้าทีมของหน่วยสืบสวน ทีม B ถึงแม้เธอจะยังดูเด็กเกินกว่าที่จะมารับตำแหน่งนี้แต่ด้วยวุฒิภาวะ ความเด็ดเดี่ยวและมันสมองที่น่าเหลือเชื่อ ทำให้เธอสามารถไขคดีต่าง ๆ ได้มากมาย แถมเธอยังเป็นที่ถูกอกถูกใจต่อเบื้องบนทั้งหลายอีกด้วย
เวลามีการทำงานเป็นทีมใหญ่ เธอมักจะรับหน้าที่เป็นคนนำทีมเสมอ
“เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายในคดี มักแต่งกายด้วยชุดที่ค่อนข้างหวือหวาอยู่เป็นประจำซึ่งนั่นอาจเป็นปัญหาสำคัญของคดีนี้ก็ว่าได้” หัวหน้าทีมคูปิง เริ่มต้นบทนาของเธอ “สถานที่เกิดเหตุส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นที่ตามบาร์ทั่ว ๆ ไป คนร้ายจะเลือกก่อเหตุหลังเที่ยงคืนไปแล้ว
จากตามคำให้การของเหยื่อ เหยื่อเล่าว่าคนร้ายได้ตามเธอเข้าไปในตรอกที่ไร้ซึ่งผู้คน เธอถูกทำให้หมดสติจากการช็อตด้วยปืนช็อตไฟฟ้าก่อนที่จะเริ่มข่มขืน หลังจากที่คนร้ายขืนใจเหยื่อจนสำเร็จความใคร่ คนร้ายได้ทำการปัสสาวะทิ้งลงบนตัวเหยื่ออีกด้วย”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘ปัสสาวะ’ เหล่าคนนั่งฟังต่างพากันหันหน้าหนีอย่างเงียบ ๆ
“เราได้มีการส่งตรวจสอบตัวอย่างจากปัสสาวะที่ได้รับมาแล้วเรียบร้อย” คูปิงกล่าวต่อ “หลักฐานบ่งบอกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งสามคดีกระทำโดยคนร้ายคนเดียวกัน
นอกจากนี้ เหยื่อรายที่สามได้ตื่นขึ้นมาในขณะที่กำลังถูกกระทำชำเรา เธอพยายามต่อสู้โดยการข่วนไปที่หน้าของคนร้าย ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้เราได้รับตัวอย่างเลือดมาด้วย”
หัวหน้าทีมคูปิงยังคงอธิบายถึงสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นต่อไป
ในระหว่างนั้น ชายวัยกลางคนผู้สวมใส่เสื้อแจ็คเก็ตสีน้ำตาลก่อนหน้านี้ หันหน้ามาที่จ้าวหยู่และโบกมือสั่งอย่างไม่ใส่ใจว่า
“นี่เจ้าหนู เธอเห็นใช่มั้ยว่าคืนนี้เราต้องทำงานล่วงเวลากัน ทำไมไม่วิ่งออกไปชงกาแฟมาให้พวกเราทุกคนล่ะ”
จ้าวหยู่ชำเลืองไปมองที่ชายคนนั้น เขาคือรองหัวหน้าแผนกสืบสวน หลิวชางฮู
ระหว่างการฝึกงานของจ้าวหยู่ที่นี่ เขามักจะโดนหลิวชางฮูใช้ให้ทำโน่นทำนี้รับใช้ตัวเขาเองมากกว่าการทำงานในฐานะเจ้าที่ตำรวจเสียอีก
ยิ่งไปกว่านั้น ตัวตนของจ้าวหยู่บนโลกนี้ไม่ใช่คนที่มีนิสัยนักเลงที่ชื่นชอบการชกต่อยเท่าไหร่
เขาเป็นชายหนุ่มที่พินอบพิเทาที่เพิ่งจบจากนักเรียนตำรวจและเป็นตำรวจอย่างเต็มตัว
นอกจากนี้ ไม่ได้มีเพียงหลิวชางฮูเท่านั้น แม้แต่เพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ ก็ชอบกลั่นแกล้งเขาอีกด้วย พวกเขามักจะใช้ให้เขาทำงานในส่วนของคนอื่นแทน แน่นอนว่างานเหล่านั้นไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของจ้าวหยู่เลยแม้แต่น้อย
“เฮ้ย! เร็วเข้าสิ!” รอยยิ้มของหลิวชางฮูหายไปทันทีเมื่อพบว่าทางจ้าวหยู่ไม่ขยับเขยื้อนไปไหนเลย “นี่แกไม่ได้ยินที่ฉันพูดหรือยังไง!”
จ้าวหยู่ในตอนนี้ไม่ใช่คนขี้กลัวแบบเมื่อก่อน เขาไม่มีทางยอมปล่อยให้ตัวเองถูกกดข่มขี่ข่มเหงได้อีก
ทันใดนั้น ชายวัยกลางคนคนนั้นกระแทกมืออย่างแรงลงบนโต๊ะอย่างแรงและลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
การกระทำของเขาทำให้หัวหน้าทีมคูปิงต้องหยุดการอธิบายคดีและหันมาสนใจกับเหตุการณ์ตรงหน้านี้โดยทันที
“ฉัน ฉันจะเป็นคนไปทำให้เองค่ะ!”
ไม่มีใครคาดคิดว่าเหตุการณ์ตรงหน้าจะถูกขัดจังหวะจากผู้หญิงที่มีท่าทางอ่อนโยนและน้ำเสียงใสราวกับระฆัง ทุกคนหันไปมองดูหญิงสาวคนหนึ่งที่ค่อนข้างอวบเล็กน้อย เธอมัดผมทิ้งปลายแบบหางม้า สวมแว่นตาอันใหญ่โตเกือบจะปิดบังใบหน้าไปกว่าครึ่ง
หญิงสาวคนนี้มีชื่อว่าหลี่เบ่ยหนี เธอเป็นเจ้าหน้าที่ฝึกงานคนใหม่ของแผนกสืบสวน
แม้เธอจะเข้ามาทำงานได้ไม่ถึงเดือนแต่เธอดันไปตกหลุมรักจ้าวหยู่เข้าเสียแล้ว
เรื่องนี้ไม่น่าแปลกเท่าไหร่ แม้บุคลิกของจ้าวหยู่จะดูเป็นคนน่ากลั่นแกล้งแถมยังมีนิสัยพูดน้อยแต่เขาก็มีสัดส่วนร่างกายที่สูงโปร่ง สมเป็นชายชาตรี เป็นประเภทที่ว่าสาวใดที่ได้เจอ ก็ต้องเหลียวตามองกันทุกคน
เมื่อหลี่เบ่ยหนีเห็นว่าคนที่ตัวเองแอบชอบกำลังโดนกลั่นแกล้ง เธอจึงรีบเข้ามาเพื่อช่วยเหลือเขาในทันที
“รองหัวหน้าหลิวคะ ฉัน…ฉันขอเป็นคนไปทำให้แทนดีกว่าค่ะ ฉันยังอยู่ในหน้าที่ฝึกงาน หน้าที่พวกนี้ฉันเป็นคนไปทำน่าจะดีกว่าค่ะ”
หญิงสาวหันมายิ้มให้กับจ้าวหยู่ ก่อนที่เธอจะออกไปชงกาแฟเพื่อเตรียมมาเสิร์ฟให้ทุกคน
เมื่อหลี่เบ่ยหนีเดินหลบฉากออกไป หลิวชางฮูทำท่าไม่พอใจจ้าวหยู่ ก่อนที่เขาจะหันกลับไปสนใจคดีต่อ
จ้าวหยู่ตระหนักดีว่านี่ไม่ใช่เวลาที่ดีที่จะแสดงอารมณ์โกรธของเขาออกมา เขาพยายามทำจิตใจตัวเองให้สงบลงและครุ่นคิดถึงสถานการณ์ต่าง ๆ แม้ว่าหลายสิ่งจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปแต่เขายังคงสามารถจดจำได้ดีว่าเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้เขากำลังก้าวไปสู่ความตาย
ชีวิตก่อนหน้านี้ของเขาถูกดำเนินคดีในข้อหาฆาตกรรม จ้าวหยู่รู้อยู่แก่ใจว่ามันเป็นการจัดฉากขึ้นมา
เหยื่อในคดีคือบอสใหญ่ของกลุ่มบริษัทด้านอสังหาริมทรัพย์ จ้าวหยู่เพียงแค่ทำตามคำสั่งของผู้มีอำนาจเหนือกว่าให้ไปใช้ความรุนแรงและข่มขู่นิดหน่อยเท่านั้น ไม่มีทางที่จะทำให้ชายคนนั้นถึงขั้นเสียชีวิต
นอกจากนี้ยังเป็นการทำร้ายร่างกายโดยกลุ่มคนใหญ่ ไม่มีทางที่เขาจะถูกดำเนินในคดีฆาตกรรมได้! ดังนั้นการตัดสินคดีนี้ต้องเกิดจากผู้มีอำนาจฝ่ายอื่นแน่นอน
ยิ่งคิดถึงสิ่งที่เขาโดนกระทำ ทำให้เขากำมือแน่นชนิดที่ว่าสามารถทำให้นิ้วโป้งเขาแตกหักได้จากความเดือดดาลนี้
ถ้าเขาพบตัวการวางแผนนี้ได้ล่ะก็ เขาจะให้พวกมันชดใช้อย่างสาสม!
ขณะนั้นเอง หลี่เบ่ยหนีก็กลับมาพร้อมกับกาแฟของทุก ๆ คน ใบหน้าของเธอเต็มเปี่ยมไปด้วยความกระตือรือร้นในการทำงาน เธอแจกจ่ายกาแฟให้กับสมาชิกในหน่วยและพูดว่า
“ขอบคุณสำหรับการทำงานหนักนะคะ” ในระหว่างที่เสิร์ฟกาแฟให้แต่ละคน
ในที่สุดเธอก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าจ้าวหยู่ เธอยื่นถ้วยกาแฟแก้วสุดท้ายให้ ก่อนจะลดเสียงให้เบาลงและพูดว่า
“เจ้าหน้าที่จ้าวคะ ถ้วยนี้ฉันใส่กาแฟลงไปให้สองช้อนค่ะ แน่นอนว่าคืนนี้เราได้ทำงานล่วงเวลากันแน่ ๆ แต่ฉันก็เชื่อมั่นในการทำงานของคุณเสมอนะคะ”
จ้าวหยู่จะไม่โต้ตอบอะไร เขามองถ้วยกาแฟอย่างเงียบ ๆ หลี่เบ่ยหนีไม่ได้พูดอะไรต่อ เธอก็กลับไปนั่งที่ตามเดิมด้วยใบหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม
หัวหน้าทีมคูปิงอธิบายเกี่ยวกับคดีเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอขยับออกจากพื้นที่ไปเล็กน้อยเพื่อให้พื้นที่แก่หัวหน้าจินเจินปิง ผู้ที่มียศสูงสุดในแผนกสืบสวน หัวหน้าจินอายุราว ๆ ห้าสิบปี จากผมดำก็แปรเปลี่ยนเป็นหงอกเทา เขามักมีท่าทีที่เคร่งขรึมและไม่ค่อยจะได้เห็นร้อยยิ้มจากเขาสักเท่าไหร่
“ฉันรู้ว่าพวกคุณทุกคนมีภารกิจที่ยุ่งมาก” หัวหน้าจินเริ่มกล่าวด้วยเสียงอันดัง “คดีนี้เกิดขึ้นมาแล้วด้วยกันสามครั้งซึ่งเป็นคดีที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เราไม่สามารถละเลยถึงหน้าที่ตรงนี้ได้ เราต้องรีบจบคดีนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ ขอให้ทุก ๆ คน ตั้งใจทำงานกันอย่างเต็มที่ด้วย
ทีม A จะเป็นผู้รับผิดชอบในการรวบรวมพยานหลักฐานต่าง ๆ ตามสถานที่ที่คาดว่าคนร้ายจะลงมือ คนร้ายมักจะปรากฏตัวตามบาร์ที่ไม่ค่อยมีผู้คนมากเท่าไหร่นัก ไปตามเก็บภาพบันทึกจากกล้องวงจรปิดตามบาร์และสถานที่ใกล้เคียงที่เกิดเหตุทั้งหมดมา พร้อมทั้งค้นหาหมายเลขป้ายทะเบียนรถละแวกนั้นด้วย อย่าให้หลักฐานชิ้นใดหลุดรอดไปได้”
“รับทราบ!” เจ้าหน้าที่ทุกคนต่างขานรับในหน้าที่ของตน
“ส่วนทีม B ความรับผิดชอบของคุณอยู่ในระหว่างการดำเนินการตรวจสอบ” หัวหน้าจินเริ่มกล่าวต่อ
“เรายังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับเลือดของคนร้ายดังนั้นเราจึงไม่สามารถเปรียบเทียบกับตัวอย่างเลือดได้แต่อย่างไรก็ตาม ให้ตรวจสอบจากคราบปัสสาวะที่ได้รับมาเป็นหลัก ติดต่อประสานงานกับทางโรงพยาบาลและศูนย์การแพทย์ต่าง ๆ เพื่อตรวจหาความเป็นไปได้ หากสามารถระบุได้แน่ชัด เราก็จะสามารถจับกุมคนร้ายได้อย่างแน่นอน!
นอกจากนี้ ไปตรวจสอบประวัติการซื้อเครื่องช็อตไฟฟ้าพร้อมตรวจสอบสัญญาณโทรศัพท์มือถือจากภายในพื้นที่เกิดเหตุด้วย และพยานสำคัญที่เห็นใบหน้าของคนร้าย อย่าลืมสั่งคนให้ไปเฝ้าระวังคุ้มกันเธออย่างรัดกุม”
“รับทราบ!”
“เอาล่ะ พวกคุณได้รับมอบหมายหน้าที่กันเรียบร้อยแล้ว หวังว่าจะไม่มีปัญหาใด ๆ เกิดขึ้นนะ รีบออกไปจัดการหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเร็วเข้า ยิ่งทำงานเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งตามจับผู้ร้ายได้เร็วขึ้นเท่านั้น”
เมื่อหัวหน้าจินพูดจบ เขาปิดสมุดบันทึกในมือลงและเตรียมหันหลังกลับก้าวออกไปในทันที
แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางฝูงชน
“เดี๋ยวก่อนครับ!”
ทุกคนหันหน้ามองหาต้นต่อของเสียงและไม่ใช่ใครอื่น เจ้าของเสียงนั้นก็คือจ้าวหยู่
แม้แต่ตัวหัวหน้าจินเองที่กำลังก้าวเท้าออกไป ก็ต้องหันกลับมามอง พร้อมถามด้วยน้ำเสียงอย่างเร่งรีบ
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่าจ้าวหยู่”
“คือผม!!” จ้าวหยู่ชี้ไปที่ตัวเอง “วันนี้ผมรู้สึกไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ ผมขอลาหยุดวันนึงนะครับ ขอให้จับตัวคนร้ายได้ไว ๆ นะครับ”