เกิดใหม่เป็นทารกขั้นเทพ ตอนที่ 109
ตอนที่ 109
ไวเท่าความคิด หลินซวนดึงแขนเสื้อของมารดาด้วยมือเล็กๆ ของเขาก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงน่ารักของเด็กน้อยผู้หนึ่ง
“ท่านแม่ ข้าอยากกลับแล้วขอรับ”
ซวนยู่ชะงักไปชั่วขณะก่อนนางจะพยักหน้าและตอบบุตรชาย
“ตกลง แม่จะพาเจ้ากลับแล้ว”
ในระหว่างที่ซวนยู่เดินกลับที่พัก หัวใจของหลินซวนกลับยิ่งหนาวเหน็บมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะว่าในสายตาของเขาตอนนี้ ตึกอาคารทั้งหมดของวังลอยต่างก็เชื่อมต่อกันเป็นลำดับที่เฉพาะจงเจาะบางประการ
หอตำรา ห้องปรุงยา สนามต่อสู้ ลานค้าขาย... ถ้าหากเชื่อมโยงพวกมันเข้าด้วยกัน... ดูเหมือนว่าทั้งหมดจะกลายเป็นค่ายกลขนาดยักษ์ที่ครอบคลุมทั้งวังลอยฟ้าแห่งนี้!
สีหน้าของหลินซวนเริ่มปรากฏร่องรอยน่าเกลียดขึ้น เมื่อเขากลับไปยังห้องของตนเอง ก็พบว่าหลินเฮ่าได้ตื่นจากห้วงการบ่มเพาะแล้ว หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีผู้ใดเฝ้ามองอยู่ หลินซวนเริ่มบอกทุกสิ่งที่พบเจอแก่บิดามารดาทันที!
ในตอนนี้ หลินเฮ่าอดคิดไม่ได้ว่าสิ่งนี้มิใช่เรื่องที่เป็นไปได้! นี่เพราะหลินเฮ่ารู้ว่าสามในสิบส่วนของดวงวิญญาณของยู่ตู่เฟยยังคงอยู่ในมือของบรรพชนหลิน แล้วราชวงศ์อมตะจะสามารถใช้วิธีสกปรกใดได้กัน? พวกเขาไม่กลัวหรอกหรือว่าดวงวิญญาณส่วนนั้นจะแหลกสลาย และเส้นทางการบ่มเพาะของยู่ตู่เฟยจะหมดสิ้นไป?
“เป็นไปได้หรือไม่ว่าดวงวิญญาณของยู่ตู่เฟยนั้นจะมีบางอย่างผิดปกติ? หรือว่ามีสิ่งที่พวกเขาวางแผนเอาไว้มีค่ามากกว่าดวงวิญญาณส่วนนั้นของยู่ตู่เฟย?”
“ข้าเองย่อมมิได้มองผิดไปอย่างแน่นอน!”
น้ำเสียงของหลินซวนเย็นชายิ่งนัก หลินซวนร้องขอให้บิดาของตนออกไปตรวจสอบซ้ำอีกครั้ง หลินเฮ่าซึ่งหลบออกไปในยามค่ำคืนกำลังสำรวจเหตุการณ์ทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม หลินเฮ่าซึ่งอยู่ในขั้นที่สองของแดนแก่นทองคำ ในวังลอยฟ้าแห่งนี้เขาสามารถจะไปยังที่ใดก็ได้อย่างอิสระ
บัดนี้ ก้อนเมฆดำมืดครอบคลุมท้องฟ้า ประกายอัสนีวาบผ่านไปมา พายุฝนโหมกระหน่ำ แม้ว่าภายในวังแห่งนี้จะไม่มีน้ำสักหยดผ่านเข้ามาได้เนื่องจากค่ายกลขนาดยักษ์ที่กำลังเปิดใช้งานอยู่ แต่บรรยากาศโดยรอบก็หม่นหมอง ทำให้หัวใจของผู้คนบีบเกร็ง
ด้วยความช่วยเหลือจากความมืดของท้องฟ้าเบื้องบน หลินเฮ่าลอบเข้าไปยังบริเวณที่ตระกูลหวังพักอาศัยอยู่ได้อย่างเงียบเชียบ สัมผัสวิญญาณของเขากวาดผ่านไปทั่วบริเวณและรับรู้ได้ถึงบทสนทนาของผู้คน
“วะฮ่าๆๆๆ พวกคนแซ่หลินคงกำลังสุขใจอยู่สินะ อย่างไรเสีย พวกเราก็กำลังจะไปยังราชวงศ์อมตะแล้ว ส่วนพวกมันคงกำลังพยายามสานสัมพันธ์กับกองกำลังทั้งหลายแหล่อยู่!”
“ฮ่าๆๆ เป็นเช่นนั้นสินะ?”
“เจ้าคิดว่าพวกตระกูลหลินจะตระหนักหรือไม่ว่าแดนลึกลับที่ต้องใช้อัจฉริยะน้อยจำนวนมากเพื่อกระตุ้นทางเข้านั้นมิใช่เรื่องจริง?”
“ฮี่ๆๆ พวกมันคงจะเชื่อเช่นนั้น! อย่างไรเสีย นี่ก็มิใช่เพื่อการเปิดทางเข้าแดนลึกลับแต่อย่างได้ หากเป็นเพราะราชวงศ์อมตะต้องการจะชำระล้างหม้อสามขาทมิฬดับสวรรค์เก้าชั้นฟ้าต่างหากเล่า!”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าต้องใช้โลหิตมากเพียงใดในการชำระล้างสมบัติชิ้นนี้? ตำนานเล่าขานมาว่าต้องเป็นโลหิตจำนวนมหาศาล!”
“ข้าเองก็มิคาดเลยว่าตระกูลหลินจะยอมพาตัวเซียนน้อยของพวกมันมาที่นี่ด้วย! หากมิใช่เพราะเจ้าเด็กสวะคนนั้น จำนวนของอัจฉริยะที่เราต้องใช้ในครานี้ควรจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างน้อยก็สองเท่า!”
สายฟ้าเบื้องบนเต้นรำในหมู่เมฆปลดปล่อยเสียงคำรามลั่น ด้านนอกของห้องแห่งนั้น หลินเฮ่ากำลังตกตะลึงจนดวงตาเบิกกว้าง!
ร่างกายของเขาเย็นยะเยือกเสียยิ่งกว่าสายฝนจากท้องนภา!
เขามิคาดคิดเลยว่าเหตุผลที่ราชวงศ์อมตะค้นหาอัจฉริยะวัยเยาว์จำนวนมากมายถึงเพียงนี้มิใช่เพื่อการเปิดประตูสู่แดนลึกลับ หากแต่เป็นการใช้โลหิตสังเวยเพื่อชำระล้างหม้อสามขาทมิฬดับสวรรค์เก้าชั้นฟ้า!
หรือว่าเหล่าอัจฉริยะทั้งหมดในวังลอยฟ้าแห่งนี้ล้วนถูกเชิญมาเพื่อการเป็นเครื่องสังเวยทั้งหมด?
นี่มันเรื่องบัดซบอันใดกัน? เหตุใดราชวงศ์จึงอาจหาญมากพอจะกระทำเรื่องเช่นนี้? พวกเขาต้องการจะกลายเป็นศัตรูกับคนทั้งแผ่นดินเช่นนั้นหรือ?
ในคืนนั้น หลินเฮ่าพุ่งตัวไปสำรวจสถานที่ซึ่งเป็นที่พักของคนจากราชวงศ์ทั้งหมด
แม้ว่าคนพวกนั้นจะยังมิได้ปริปากเกี่ยวกับเรื่องนี้แต่อย่างใด แต่ด้วยน้ำเสียง ความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูด และสีหน้าของพวกมันทั้งหมด สิ่งที่ตระกูลหวังพูดย่อมเป็นความจริง!
ร่างกายเขาสั่นสะท้าน จากนั้นหลินเฮ่าก็รีบทะยานกลับไปยังที่พักของตนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
“ซวนเอ๋อร์!”
หลินเฮ่าผลักประตูและเข้าไปในห้องอย่างเร่งร้อน มองดูบุตรชายและภรรยาด้วยความกระวนกระวายยิ่งนัก!
เมื่อหลินซวนเห็นสีหน้าของบิดาที่พุ่งเข้ามา หัวใจเขาก็เต้นไม่เป็นจังหวะ!
ทว่า ก่อนที่หลินซวนจะได้เอ่ยถามสิ่งใด น้ำเสียงคุ้นเคยสายหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านนอกของประตูห้อง นั่นเป็นเสียงของยู่ตู่เฟย
เจ้าชายของราชวงศ์อมตะ*ผู้นี้ยืนอยู่กลางอากาศและเฝ้ามองการกระทำของหลินเฮ่าตลอดทั้งคืน แต่สีหน้าของเขากลับสงบนิ่งยิ่งนัก เสียงหัวเราะของเขาซื่อตรงกว่าที่เคยเป็นมาตลอด
มีเพียงดวงตาของเขาเท่านั้นที่เปล่งประกายดุร้ายคล้ายอสูรที่กำลังเฝ้ารอคอยให้เหยื่อของตนตายใจ
“พวกเรามาถึงราชวงศ์อมตะแล้ว”
“แขกผู้มีเกียรติของตระกูลหลิน เชิญ!”
………….
อาณาจักรเซี่ยเต๋าสามารถเรียกได้อีกอย่างว่าอาณาจักรเต๋า มันคืออาณาจักรที่อยู่ใจกลางและมีขนาดใหญ่ที่สุดในอาณาเขตเหนือคราม
คำว่าเต๋าในชื่อของมันนั้นมีเพื่อแสดงให้คนธรรมดาได้ทราบถึงความน่าเกรงขามของสถานที่แห่งนี้ว่ามากมายเพียงใด
จากประวัติศาสตร์ของอาณาเขตเหนือคราม อาณาจักรเซี่ยเต๋าคือศูนย์กลางของเหนือครามมาโดยตลอด ความมั่งคั่งและยิ่งใหญ่ของมันอยู่ในระดับที่เหนือกว่าอาณาจักรอื่นๆ มากมายนัก
สองอาณาจักรที่อยู่ถัดไปทางตะวันตกของเซี่ยเต๋าเองก็เป็นอาณาจักรที่กว้างใหญ่เช่นกัน ทว่ามันมีขนาดเล็กกว่าเซี่ยเต๋า และจำนวนอัจฉริยะรวมถึงตระกูลใหญ่ก็น้อยนิดยิ่งนัก
ด้านอาณาจักรชี่ทางเหนือของอาณาเขตเหนือครามนั้น ผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นั่นมีความหลากหลายยิ่งนัก พวกเขามีอัจฉริยะหลายระดับด้วยกัน แต่ตระกูลต่างๆ ก็เต็มไปด้วยข้อพิพาทระหว่างกัน
ส่วนทางด้านอาณาจักรหานทางใต้ แม้ว่าจะมีพื้นที่กว้างขวาง แต่ส่วนใหญ่กลับไม่สามารถอยู่อาศัยได้ ทั้งอสูรในทะเลและอสูรบนพื้นดินมักจะบุกเข้าสู่เมืองต่างๆ อยู่บ่อยครั้ง ผู้คนที่อยู่ที่นั่นมีจำนวนน้อยลงทุกที
ทางด้านตะวันออก อาณาจักรฉีซานและอาณาจักรซู่มีตระกูลใหญ่ปกครองอยู่
อย่างไรก็ตาม พื้นที่ของอาณาจักรทั้งสองแม้รวมกันก็มิได้กว้างใหญ่เท่าเซี่ยเต๋า ต่อให้ทั้งสองอาณาจักรร่วมมือกันพวกเขาก็ไม่สามารถจะเทียบได้กับเซี่ยเต๋าอย่างแน่นอน!
อาณาจักรเซี่ยเต๋านับได้ว่ามั่งคั่งที่สุดแล้วหากเทียบกับอาณาเขตเหนือครามทั้งหมด
นี่คือความจริงแท้มาตั้งแต่ยุคสมัยบรรพกาล หลังจากที่ราชวงศ์อมตะสามารถครอบครองทั้งเซี่ยเต๋าไว้ได้ทั้งหมด พวกเขาก็ก่อตั้งตระกูลและสร้างรากฐานของตนเอง เวลาผ่านไปจนมิอาจนับได้ อัจฉริยะจากเซี่ยเต๋าได้เดินทางออกไปก่อให้เกิดความปั่นป่วนไปเท่าอาณาเขตทั้งเก้า และเริ่มต้นยุคสมัยอันรุ่งโรจน์!
ทุกคราวที่ราชวงศ์อมตะของอาณาจักรเซี่ยเต๋าถูกกล่าวถึง ย่อมหมายถึงพลังอำนาจอันเหลือล้นของพวกเขา และเป็นตัวตนที่ได้รับความเคารพสูงสุดจากทั่วทั้งอาณาเขตเหนือคราม!
ราชวงศ์อมตะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งและลึกลับที่สุดในสายตาของผู้บ่มเพาะทั้งหมดในอาณาเขตเหนือครามแห่งนี้ หรือจะกล่าวได้ว่าพวกเขาคือสัญลักษณ์แทนจิตวิญญาณของอาณาเขตเหนือคราม!
ทว่า บัดนี้ ภาพลักษณ์ที่พวกเขาสร้างขึ้นมาเนิ่นนานกลับถูกสั่นในที่สุด!
ค่ายกลจำนวนนับไม่ถ้วนในวังลอยฟ้าแห่งนี้ถูกกระตุ้นขึ้น มันผสานรวมกับสายฝนและสายฟ้าบนท้องนภา!
ร่างเงานับไม่ถ้วนเหาะมาจากระยะไกล พวกเขากอบกุมอาวุธไว้ในมือ สวมชุดประดับขนนกสีดำและหมวกสานจากไผ่ มีผ้าม่านยาวสามฉื่อบดบังใบหน้าของตนเอาไว้ แต่กลิ่นอายที่ปลดปล่อยออกมาแข็งแกร่งยิ่งนัก หยดน้ำในระยะสามฉื่อรอบตัวพวกเขาต่างจางหายไปในอากาศ
ชายหนุ่มผมทองภายใต้ชุดคลุมปักบุปผาม่วงหกดอกบนปลายแขนเสื้อลอยขึ้นสู่ท้องฟ้ายามรุ่งอรุณ ดวงตาของเขาสงบนิ่ง
“คนจากอาณาจักรชี่อยู่บริเวณนั้น พวกเขามีทั้งหมดสามสิบหกคนด้วยกัน อย่าให้พวกเขาหนีไปได้”
“ตรงส่วนนั้นเป็นคนจากอาณาจักรด้านตะวันตกทั้งสอง สิบเจ็ดคนเป็นยอดอัจฉริยะ และที่เหลือเป็นเพียงอัจฉริยะสามัญ พวกเขาทั้งหมดรวมกันห้าสิบสองชีวิต อย่าได้หลงเหลือไว้”
“ส่วนนั่น อาณาจักรหาน พวกเขามีทั้งหมดสิบคนแต่แข็งแกร่งยิ่งนัก จดจำไว้ว่าอย่าได้สังหารพวกเขาเด็ดขาด”
ชายหนุ่มผู้นั้นยืนอยู่กลางอากาศ น้ำเสียงเรียบเฉย แต่ดวงตาดุร้ายและเย็นชาราวกับเป็นสัตว์อสูรตัวหนึ่ง
*ยู่ตู่เฟยเป็นเชื้อพระวงศ์คนหนึ่ง ถึงไม่ได้มีแซ่เดียวกับจักรพรรดิแต่ก็ยังมีศักดิ์เป็นเจ้าชาย