STBI : ตอนที่ 58 เรียนรู้ที่จะก้าวข้าม
“คัมภีร์ถ้อยคำปีศาจ-แก่นแท้วาจาศักดิ์สิทธิ์”
“ตำราขงจื๊อแห่งคุณธรรม-เหล่านักพรตเต๋าที่ไม่ใช่ขงจื๊อสมควรได้รับแรงกระตุ้นจากการเรียนรู้”
“ฝ่ามือพลิกปฐพี กรรมคาถาของพระพุทธเจ้า และ คัมภีร์หกอักขระ สิ่งเหล่านี้สามารถปราบปรามสิ่งชั่วร้ายได้ เพียงแต่จะต้องใช้พลังหยวนที่เป็นวิถีของพระพุทธเจ้าในการกระตุ้น”
ในภูเขาหนังสือ ไป๋ตงหลิน ได้มองดูเทคนิคลับต่าง ๆ และ พบว่า เทคนิคบ่มเพาะพลังกายที่มีผลต่อสิ่งชั่วร้ายนั้นมีน้อยมาก เห็นได้ชัดว่ามันมีน้อยกว่าพวกเทคนิคการฝึกฝนพลังปราณ หรือแทบจะไม่สามารถค้นพบได้เลย เพราะถึงอย่างไร ท้ายที่สุด เทคนิคลับการบ่มเพาะร่างกายที่ทรงพลังก็ล้วนอยู่ในโลกแห่งหลักจารึกทั้งหมด
เทคนิคและทักษะที่เกี่ยวข้องกับพลังปราณนั้นแตกต่างกัน สิ่งนี้ไม่ได้คำนึงถึงระดับของพวกมัน และ พวกมันได้ถูกโยนเข้าไปในภูเขาหนังสือทั้งหมด ยกตัวอย่างเช่น ฝ่ามือพลิกปฐพี สิ่งนี้ ดูเหมือนจะไม่ได้ด้อยไปกว่าเทคนิคการบ่มเพาะร่างกายในโลกแห่งหลักจารึก
เพราะของสิ่งนี้ไม่ได้สำคัญสำหรับเส้นทางการบ่มเพาะพลังกาย หรือ อาจเพราะว่ามันค้นพบได้โดยง่าย พวกเขาเลยไม่ได้หวนแหนมันมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บทฝึกฝนของพวกลัทธิขงจื๊อที่มีจำนวนมากมาย พอ ๆ กับเทคนิคการฝึกฝนพลังปราณ
เทคนิคเหล่านี้ล้วนน่าสนใจ แต่เกือบทั้งหมดล้วนมีข้อกำหนดในการฝึกฝน ด้วยฐานการฝึกฝนที่แตกต่างกัน มันไม่สามารถใช้งานร่วมกันได้ แต่ไม่ว่ามันจะมีประโยชน์หรือไม่ ทุกเส้นทางการฝึกฝน ล้วนมีถนนหนทางหลายพันสาย บางทีเขาสามารถใช้มันอ้างอิงได้
ไป๋ตงหลิน ได้หลับตาและครุ่นคิด เขาจะต้องหาทางจัดการกับสิ่งชั่วร้ายให้ได้ และ ไม่ยอมให้ตัวเองต้องมีจุดอ่อนเช่นนั้น
ในเวลานี้ จู่ ๆ เขาก็ได้รับแรงบันดาลใจบางอย่าง เส้นทางบ่มเพาะพลังปราณและร่างกาย มีสิ่งนึงที่เหมือนกันทั้งหมดนั่นก็คือพวกเขาต้องบ่มเพาะจิตวิญญาณ
ดังนั้น เขาจึงได้สื่อสารกับสร้อยข้อมือและมองหาเทคนิคลับที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณ ทว่า เทคนิคลับที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณนี้ค่อนข้างมีน้อยมาก ดูเหมือนว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นที่หวงแหนมากจริง ๆ
การบ่มเพาะจิตวิญญาณ อาจกล่าวได้ว่า มันมีความสำคัญกับทุกด่านพลัง ไม่ว่าจะเป็น เส้นทางการบ่มเพาะพลังปราณ หรือ เส้นทางการบ่มเพาะพลังกาย ทุกเส้นทางล้วนต้องฝึกฝนจิตวิญญาณ
ในระยะแรก เขาทำได้เพียงอัดพื้นฐานเกี่ยวกับความรู้ของจิตวิญญาณเข้าไปเพียงเท่านั้น จากนั้นก็ใช้พลังเหนือธรรมชาติของเนตรจิตวิญญาณในการชี้นำ
มีวิธีการฝึกฝนจิตวิญญาณเฉพาะอยู่ แต่สิ่งนี้ต้องรอให้เขาก้าวสู่ความพร้อมให้ได้ก่อน นั่นก็หมายความว่า ในปัจจุบัน เขาไม่จำเป็นจะต้องมองหาวิธีการเฉพาะเจาะจง ในการบ่มเพาะจิตวิญญาณ เขาเพียงแค่ต้องมองหาการเหนี่ยวนำโดยการใช้จิตวิญญาณก็เพียงพอแล้ว
ไป๋ตงหลิน ได้อ่านเกี่ยวกับข้อมูลการฝึกฝนจิตวิญญาณนับพัน และ ในที่สุด เขาก็ได้เลือกบางสิ่งออกมาจากหนึ่งในนั้น
มันคือ ‘พระสูตรของพระโพธิสัตว์’ สิ่งนี้คือพระสูตรสูงสุดของพุทธศาสนา และ มันเป็นบางสิ่งที่อยู่เหนือความแค้นและความคับข้องใจ แน่นอนว่าผลของมัน สามารถยับยั้งสิ่งชั่วร้ายได้ โดยไม่จำเป็นจะต้องอาศัยการเหนี่ยวนำพลังหยวนของพระพุทธเจ้า เพราะสิ่งนี้ ใช้คาถาบทสวดทางจิตวิญญาณเพียงเท่านั้น แต่ทว่า ผู้ใช้ จำเป็นจะต้องมีความรู้และความเข้าใจทางพุทธศาสนาในระดับสูง
อีกอันคือ ‘บันทึกสารทุกข์สุขดิบของเส้นทางเต๋า’ สิ่งนี้คือพระสูตรของลัทธิเต๋า ซึ่งก็เหมือนกับอันแรก ผู้ใช้จำเป็นจะต้องมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับคัมภีร์เต๋า และ จำเป็นจะต้องศึกษาพื้นฐานของคัมภีร์เต๋า
พระสูตรของพระโพธิสัตว์,บันทึกสารทุกข์สุขดิบของเส้นทางเต๋า…
ไป๋ตงหลิน ได้จ้องมองอย่างลึกซึ้ง หลังจากที่เขาเข้ามาในนิกายศักดิ์สิทธิ์ เขาก็สัมผัสได้ถึงโลกหล้าที่กว้างใหญ่เป็นอย่างมาก
เขาคล้ายกับว่าตัวเองอาจจะหลงทางได้เมื่อเข้ามาสู่โลกใหญ่แห่งนี้ ดังนั้น สิ่งที่เขาต้องทำ ก็คือการฝึกฝนอย่างตรงไปตรงมาและแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
มีเพียงการแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น ถึงจะสามารถปกป้องความลับ และ ตัวของเขาเองได้
หลังจากตัดสินใจได้ เขาก็เริ่มหา พระสูตรทางพุทธศาสนา และ พระสูตรของลัทธิเต๋า มาเรียนรู้ แม้ว่าสิ่งเหล่านี้ จะไม่ใช่เทคนิคลับสำหรับการฝึกฝน แต่มันก็มีข้อมูลและเนื้อหาเฉพาะ เกี่ยวกับ พระสูตรทั้งสองที่เขาเลือกมา เขาสามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้ได้
ผ่านไปหลายวัน ไป๋ตงหลิน ก็ยังคงอยู่ที่ ภูเขาหนังสือ เขาได้เรียนรู้ บทสวด และ ข้อมูลเกี่ยวกับลัทธิเต๋า ทำให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ของเขาเพิ่มมากขึ้น หลังจากอยู่ที่นี่มาหลายวัน ไป๋ตงหลิน ก็ใช้จ่ายแต้มผลงานของเขาไปมาก แต่เขาก็ยังเหลือพวกมันอยู่อีกจำนวนมากอยู่ดี
ไป๋ตงหลิน ได้หลับตาลง และ ขมวดคิ้วเล็กน้อย เขารู้สึกว่ามีตัวละครนับไม่ถ้วนในพื้นที่มืดมิดในจิตใจของเขา
ทว่าในเวลานี้เอง สร้อยข้อมือจี้เต๋า ก็ส่องแสงเล็กน้อย จากนั้นก็มีข้อความปรากฏขึ้นในหัวของเขา
“ซูฉี? แล้ว เจิ้งฉิง มีธุระอะไรกับฉัน?”
หลังจากได้รับข่าว เขาก็เตรียมออกจากภูเขาหนังสือในทันที เขาได้เรียนหนักอยู่ที่นี่เป็นเวลาหลายวัน แม้ว่าการเก็บเกี่ยวจะดี แต่จิตใจของเขาก็รู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงต้องการพักผ่อน
เขาได้กวาดผ่านบนอากาศและกลับไปที่เรือนพักของเขา ในเวลานี้ เขาสัมผัสได้ถึงลมหายใจของคนที่อยู่ข้างนอกทำให้เขาเปิดประตูออกไปต้อนรับในทันที
“พี่ไป๋ ในที่สุดข้าก็ได้พบท่าน!”
“เข้ามาก่อนสิ่!”
ไป๋ตงหลิน ยิ้มและเชิญอีกฝ่ายเข้ามา เขาไม่รู้ว่า เกิดอะไรขึ้นกับ เจิ้งฉิง เหตุใดอีกฝ่ายถึงดูกังวลมาก แต่เขาก็เชิญอีกฝ่ายเข้าไปนั่งข้างในและเสิร์ฟชา 1 ถ้วย ก่อนที่จะกล่าวถามอีกฝ่าย
“พี่ เจิ้ง มีธุระอะไรกับข้างั้นหรือ?”
เจิ้งฉิง ได้รับชามาแล้วดื่ม จากนั้นก็กล่าวพูดออกมาด้วยความโล่งใจ :
“อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย เอาเป็นว่าพวกเรามาเพิ่มเพื่อนติดต่อกันบนสร้อยข้อมือก่อน ครั้งนี้ หากข้าไม่ได้เจอ คุณหนูซู เกรงว่าข้าคงไม่รู้ว่าจะหาท่านเจอเมื่อไหร่”
หลังจากพูดจบ เขาก็จับมือของ ไป๋ตงหลิน หลังจาก สร้อยข้อมือทั้งสองแตะกัน พวกเขาก็เพิ่มเพื่อนกัน ตอนนั้นคืนงานเลี้ยง พวกเขาไปแค่กินดื่มกันเท่านั้น และ ยังไม่คุ้นเคยกับ สร้อยข้อมือจี้เต๋า ทำให้ทั้งสองยังไม่ได้บันทึกรายชื่อเพื่อน
“พี่ไป๋ เพียงแค่ไม่ได้พบเจอกันในช่วง 2-3 เดือนมานี้ ไม่คิดเลยว่าท่านจะแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ช่างน่าตกใจมากจริง ๆ”
“สามารถขึ้นไปอันดับหนึ่งได้ในคราวเดียว ฮ่าฮ่าฮ่า พี่ไป๋ นำหน้าพวกเราไปมากแล้ว!”
ไป๋ตงหลิน ได้จิบชาและยิ้มเล็กน้อย เขาไม่ได้สนใจ คำชมของ เจิ้งฉิง สักเท่าไหร่
“พี่เจิ้ง อย่าได้พูดถึงเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้เลย บอกข้ามาเถิดว่าท่านต้องการพบข้าด้วยเรื่องอันใด?”
เจิ้งฉิง ได้หยุดชื่นชมและยกนิ้วให้ ไป๋ตงหลิน ไม่เพียงแต่แข็งแกร่งเท่านั้น แต่ยังฉลาดมากอีกด้วย สมแล้ว ที่สามารถก้าวล้ำเหนือนำศิษย์หลายแสนคนและขึ้นไปอยู่อันดับต้น ๆ ของผังรายชื่อ
หลังจากปรับจิตใจให้ผ่อนคลาย เจิ้งฉิง ก็กล่าวพูดออกมา :
“อะแฮ่ม ท่านก็รู้ว่าข้าชอบหาสหาย และ ทุกวันนี้ข้าก็ได้ไปตีสนิทศิษย์พี่ 2-3 คนมาแล้ว และ ศิษย์พี่คนนั้นก็ขอให้ข้ามองหาท่าน!”
“หืม?ศิษย์พี่คนนี้ต้องการอะไรจากข้างั้นหรือ?”
ไป๋ตงหลิน ดูสงสัย แม้ว่าเขาจะอยู่อันดับต้น ๆ ของผังรายชื่อ แต่เขาก็ไม่นับเป็นอะไรเมื่อเทียบกับศิษย์พี่เหล่านั้นที่ได้ขึ้นเขาหลักไปแล้ว
ยิ่งเหล่านักพรตเต๋ามีความแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ พวกเขาก็จะจมปลักอยู่กับการบ่มเพาะความแข็งแกร่ง ดังนั้น พวกเขาไม่ควรมีเวลามาใส่ใจศิษย์น้องเช่นพวกเขา
เจิ้งฉิง ได้สั่นศีรษะและตอบกลับ“ข้าเองก็ไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ เพียงแต่ นอกจากพี่ไป๋แล้ว อู๋เหว่ย และ ถู๋หยา ก็ได้รับเชิญด้วย!”
ไป๋ตงหลิน ขมวดคิ้วแน่น ถ้าปฏิเสธคงไม่ใช่เรื่องดี ดังนั้นเขาจึงได้กล่าวถามออกไป :
“เวลาและสถานที่?”
“พรุ่งนี้ตอนเที่ยง ณ ร้านอาหารฮั่นไห่!”
…
นิกายศักดิ์สิทธิ์ มีพื้นที่ขนาดใหญ่เป็นจำนวนมาก และ แน่นอนว่าย่อมมีพื้นที่พิเศษอยู่ ภายในพื้นที่พิเศษนี้คือพื้นที่สาธารณะในการแลกเปลี่ยนและทำธุรกรรม ที่นี่ มีร้านอาหารที่ตั้งตระหง่านและอยู่ใกล้กับศูนย์กลางของพื้นที่ มันมีชื่อว่า ร้านฮั่นไห่
ไป๋ตงหลิน ได้มองขึ้นไปที่แผ่นป้ายและก้าวเข้าไปในร้าน
เมื่อเขาเข้าไปในร้านอาหาร คนรับใช้ในชุดดำ ที่ยืนอยู่ด้านข้าง ก็ก้าวออกไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและกล่าวพูดด้วยความเคารพ :
“สวัสดี คุณชายไป๋ นายท่านของข้าได้เตรียมงานเลี้ยงไว้ที่ชั้นบนสุด โปรดตามข้ามา!”
ไป๋ตงหลิน ได้พยักหน้า และ เดินไปที่ชั้นบนสุด มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่เหล่านักพรตเต๋าจะมีข้ารับใช้ ดังนั้น เขาจึงเพียงแค่ชำเลืองมองข้ารับใช้คนนี้และไม่ได้สนใจ
เขารีบขึ้นไปบนชั้นบนสุดอย่างรวดเร็ว หลังจากคนรับใช้ทำความเคารพแล้วถอยหลังกลับไป ไป๋ตงหลิน ก็มองเข้าไป ที่ด้านหน้าของเขา มีโต๊ะอาหารขนาดใหญ่ และ ในเวลานี้ มีคนสามคนที่มีกลิ่นอายไม่ธรรมดานั่งอยู่
“น้องไป๋ ในที่สุด เจ้าก็มา เชิญนั่ง!”
บุรุษที่ดูองอาจกล้าหาญ ได้ลุกขึ้นยืนและกล่าวพูดอย่างกระตือรือร้น ดูเหมือนว่า คนผู้นี้จะเป็น ศิษย์พี่ และ กลิ่นอายพลังของเขาก็ถูกซ่อนไว้ลึกจน ไป๋ตงหลิน ไม่สามารถตรวจจับอะไรได้เลย เขาได้มองหาที่ว่างและนั่งลงพร้อมกับกล่าวถามอย่างสุภาพ :
“ศิษย์พี่ท่านนี้ ไม่ทราบว่าท่านเรียกข้ามามีธุระอะไรงั้นหรือ?”
“ฮ่าฮ่า น้องไป๋ ช่างเข้าใจอะไรได้รวดเร็วดีจริง ๆ ต้องบอกว่าสมแล้วที่เป็นอันดับต้น ๆ ของรายชื่อศิษย์ใหม่ ให้ข้าได้แนะนำตัวก่อน ข้ามีนามว่า ชิวเสิ่น เป็นศิษย์อาวุโสจากยอดเขาเทียนเหว่ยเฟิง!”
การแสดงออกของ ไป๋ตงหลิน ได้เปลี่ยนไป แท้จริงแล้วเขากลับเป็นศิษย์อาวุโสของยอดเขาเทียนเหว่ยเฟิง ที่เป็น 1 ใน 36 ยอดเขาเทียนกัง
คนผู้นี้ไม่ธรรมดา!
มีเหตุผลอะไรที่ตัวตนดั่งกล่าวจะต้องมองหาศิษย์ใหม่เพื่อขอความช่วยเหลือ?