บทที่ 642 ตกลง(ตอนฟรี)
บทที่ 642 ตกลง
“เลิกคุยเรื่องไร้สาระแล้วมานั่งที่นี่!”
สำหรับความภาคภูมิใจของจี้ช่าวเหลยในชัยชนะ เซียงหยงซานทำเหมือนมันเป็นสิ่งล่องหน เขาเพียงแค่เหลือบมองไปที่มือของจี้ช่าวเหลยที่จับมือของเซียงยี่โหรวอยู่ด้วยสายตาไม่ค่อยพอใจและกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ถ้าจะคุยแต่เรื่องไร้สาระ จะไปไหนก็ไป อย่ามาขัดขวางการพูดคุยของฉันกับจี้เฟิง!”
“พี่~!”
ใบหน้าสวยๆของเซียงยี่โหรวแดงขึ้นมาทันที เธอจ้องเขม็งไปที่เซียงหยงซาน
เซียงหยงซานหันหน้าไปทางอื่นราวกับไม่รู้ไม่เห็นใดๆทั้งสิ้น เขามองตรงไปที่จี้เฟิงและกล่าวว่า “ไปนั่งตรงนั้นกันเถอะ ฉันมีอะไรจะคุยด้วย!”
จี้เฟิงยิ้มอย่างสุภาพและกล่าวว่า “ถ้าพี่รองของผมยังไม่นั่ง ผมก็คงไม่สามารถนั่งลงก่อนได้!”
ทั้งคำพูดและสีหน้าของเซียงหยงซานแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ไว้หน้าจี้ช่าวเหลยเลย และในฐานะน้องชายอย่างจี้เฟิง เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย ดังนั้นถ้าเซียงหยงซานไม่ให้เกียรติพี่รองของเขา เขาก็ไม่จำเป็นต้องให้เกียรติเซียงหยงซาน!
แน่นอนว่าเพื่อรักษาบรรยากาศ จี้ช่าวเหลยจึงพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจและกล่าวว่า “น้องสาม นายไปนั่งเถอะ สไตล์ฉันไม่ใช่คนชอบนั่งนิ่งๆคุยเรื่องน่าเบื่อๆอยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงว่าฉันยังต้องพาพี่สะใภ้ของนายออกไปเดินเล่นด้วย มีอะไรก็คุยกันตามสบายเลยนะ!”
แม้ว่าจี้ช่าวเหลยจะคุยกับจี้เฟิง แต่ตอนที่เขาพูดคำว่า ‘พี่สะใภ้’ เขาจงใจเน้นคำอย่างจริงจัง เพราะเขาตั้งใจจะบอกเซียงหยงซานได้รู้ความลึกซึ้งระหว่างเขากับเซียงยี่โหรว
เซียงหยงซานหันขวับไปจ้องจี้ช่าวเหลยด้วยสายตาดุดันแล้วกล่าวว่า “ตราบใดที่ยังไปได้ ก็รีบไสหัวไปซะ!”
จี้ช่าวเหลยหัวเราะ เขาโบกมือให้เซียงหยงซานและกล่าวว่า “ครับๆ ผมไปก่อนนะครับพี่เขย!”
“ฮึ่ม!”
เมื่อมองดูจี้ช่าวเหลยใช้แขนโอบไปที่เอวน้องสาวของเขาและจากไปพร้อมกับเสียงหัวเราะ เซียงหยงซานก็อดไม่ได้ที่จะชี้ไปที่ด้านหลังของสองคนนั้นและพูดกับจี้เฟิงว่า “พี่รองของนายสมควรที่จะต้องโดนทุบตีสั่งสอนซะบ้าง!”
จี้เฟิงยิ้มจางๆและกล่าวว่า “บางทีหลังจากผ่านไปซักระยะ คนที่พูดประโยคนี้อาจเป็นเขา!”
“นายแน่ใจเหรอว่า นายจะทำให้จี้ช่าวเหลยชนะฉันได้?!” เซียงหยงซานมองไปที่จี้เฟิงด้วยความประหลาดใจ
จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อยและพูดว่า “คุณไม่จำเป็นต้องเชื่อคำพูดของผมก็ได้ แต่ผมจะบอกว่าชุดยิมนาสติกที่ผมสอนเขาไปเป็นชุดเดียวกันกับที่ผมฝึก และเพียงเพื่อให้ได้แต่งงานกับผู้หญิงที่เขารัก เขาจึงฝึกฝนอย่างหนัก ดังนั้นเขาจึงก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว!”
จี้เฟิงรู้ดีว่าเซียงหยงซานไม่ใช่คนที่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ อีกฝ่ายจะต้องหาวิธีที่จะทำให้คนของตัวเองแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็วจากเขาให้ได้อย่างแน่นอน แต่จี้เฟิงจะยอมรับว่าเขามีวิธีดังกล่าวได้อย่างไร? มีอะไรหลายอย่างที่ทำได้แต่ไม่สามารถพูดได้
“ดูเหมือนว่านายจะยังไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของฉันสินะ?” เซียงหยงซานถามด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “จี้เฟิง! ถ้ายังไงนายก็จะปฏิเสธเสียงแข็งอยู่แบบนี้ ก็บอกมาตอนนี้เลย ฉันไม่มีเวลามากพอที่จะรอนายอยู่ที่นี่!”
“คุณพอจะช่วยบอกอะไรที่มันเฉพาะเจาะจงมากกว่านี้หน่อยได้หรือเปล่า? อย่างเช่น เป้าหมายของการดำเนินการในครั้งนี้อยู่ที่ไหน แล้วจะใช้เวลานานเท่าไหร่?” จี้เฟิงถาม
“ฉันจะไม่บอกนาย ถ้านายไม่ได้เซ็นสัญญารักษาความลับ และถ้านายไม่ใช่คนของฉัน!” เซียงหยงซานส่ายหัวและปฏิเสธทันที “ถ้านายต้องการรู้ นายก็จะต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบ!”
“แต่ถ้าคุณไม่อธิบายอะไรให้ผมฟังเลย ผมก็ไม่กล้าเซ็นเหมือนกัน!” จี้เฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้มที่บิดเบี้ยว
เซียงหยงซานขมวดคิ้วและกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องถาม แต่มันยากมากเลยเหรอที่จะช่วยฝึกทหารที่กำลังจะออกรบให้แข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว มันสำคัญมากเลยหรือที่จะต้องรู้เรื่องให้ชัดเจน?”
จี้เฟิงไม่ได้ตอบในทันที เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถามว่า “แล้วถ้าผมต้องการไปทำหน้าที่ร่วมกับคุณล่ะ? แบบนี้ผมต้องรู้เรื่องให้ชัดเจนก่อนมั้ย?”
“อะไรนะ?! นายอยากเข้าร่วมด้วยงั้นเหรอ!” เซียงหยงซานตกใจ
จี้เฟิงพยักหน้าอย่างหนักแน่นและกล่าวว่า “ใช่ ถ้ามันเป็นเพียงปฏิบัติการเล็กๆ ผมสามารถเข้าร่วมได้ แต่ผมมีเงื่อนไข จะต้องให้กองพลเรดแอร์โรว์บางส่วนเข้าร่วมในการปฏิบัติการครั้งนี้ด้วย คนในทีมนั้นมีรากฐานที่ดี ผมกับพวกเขาพอจะมีความคุ้นเคยกันอยู่บ้าง ดังนั้นมันจะดีกว่าถ้าได้ร่วมทีมกับพวกเขา!”
นี่เป็นการตัดสินใจของจี้เฟิงหลังจากที่เขาคิดพิจารณาอย่างรอบคอบ
เนื่องจากอาสามจี้เจิ้นผิงบอกให้เขาเป็นคนตัดสินใจ ดังนั้นจี้เฟิงจึงต้องคิดให้รอบคอบ อย่างไรก็ตาม เรื่องที่เกี่ยวกับเบื้องบนเป็นอะไรที่จี้เฟิงไม่ค่อยรู้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขารู้ มันจะเป็นการดีกว่าหากทั้งสองฝ่ายได้กระทำการร่วมกัน ถึงแม้ว่าการกระทำนั้นจะไม่ใช่เรื่องดี แต่เมื่อทั้งสองฝ่ายได้กระทำร่วมกัน ก็เท่ากับเป็นความร่วมมือกันเล็กๆ ซึ่งเห็นได้ชัดมีผลดี อย่างน้อยก็ช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเซียงและตระกูลจี้
ในมุมมองของจี้เฟิง ทั้งตระกูลจี้ ตระกูลเหอและตระกูลเซียง ต่างก็เป็นตระกูลใหญ่ที่คานอำนาจกันอยู่ จึงเป็นทางเลือกที่ดีหากจะดึงตระกูลใดตระกูลหนึ่งให้มุ่งเน้นความสนใจไปในสิ่งเดียวกัน และเพิ่มความสัมพันธ์กับอีกตระกูลหนึ่งสักเล็กน้อย
เพราะในโรงงานผลิตยา จี้เฟิงรับผิดชอบด้านการผลิต และฝ่ายตระกูลเหอที่รับผิดชอบโดยเหอหงเหว่ยมีหน้าที่ขาย ดังนั้นตระกูลเหอจึงเป็นฝ่ายติดต่อกับตระกูลเซียงโดยตรง ไม่มีใครรู้ว่าจะมีกลอุบายใดๆอยู่ตรงกลางหรือไม่ แต่อย่างน้อยตระกูลจี้และตระกูลเซียงไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกันโดยตรงหรือไม่มีผลได้ผลเสียต่อกัน เพราะมีตระกูลเหออยู่ตรงกลาง!
แต่ตอนนี้มีโอกาสที่จะเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเซียงและตระกูลจี้ แน่นอนว่าจี้เฟิงไม่อยากพลาด
และที่สำคัญที่สุด จี้เฟิงรู้สึกว่าตัวเขายังต้องการที่จะเติบโตขึ้น อยากจะแข็งแกร่งขึ้น และสนามรบก็เป็นตัวเร่งการเติบโตที่ดีที่สุด!
ในอดีตที่ผ่านมา จี้เฟิงเข้ารับการฝึกอบรมจากระบบฝึกอบรมสุดยอดสายลับในสนามรบแทบนับครั้งไม่ถ้วน แต่ยังไม่มีโอกาสได้สัมผัสของจริง! แต่ถ้าคราวนี้เขาตามไปด้วย เขาจะต้องได้รับประสบการณ์ที่ต่างไปจากเดิมแน่นอน และมันจะต้องโหดหินกว่ามาก!
“จี้เฟิง นี่คือสิ่งที่อาของนายบอกให้นายพูดเหรอ?!” เซียงหยงซานขมวดคิ้วและถาม
“จะใช่หรือไม่ใช่ มันจะส่งผลต่อคำตอบของคุณหรือเปล่าล่ะ?” จี้เฟิงยิ้ม
“ดูเหมือนว่าอาสามของนายจะไม่ได้บอกให้นายทำแบบนี้ ฉันเองก็คิดเหมือนกัน แม้ว่าตระกูลของนายจะมีผู้ชายมากมายที่ไม่เป็นไปตามที่ผู้อาวุโสของตระกูลคาดหวัง แต่ต่อให้พวกเขาจะไร้ประโยชน์แค่ไหน เหล่าผู้อาวุโสก็คงไม่ยอมให้ไปสนามรบแน่!” เซียงหยงซานดูเหมือนจะพูดกับตัวเองมากกว่าคุยกับจี้เฟิง
หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เซียงหยงซานก็เอ่ยขึ้นว่า “จี้เฟิง การที่นายบอกว่าอยากจะไปสนามรบด้วย นายรู้ใช่มั้ยว่านี่มันไม่ใช่การไปเที่ยว แต่มันคือของจริง! มันคือการร่วมรบกับคนอื่น และนายอาจจะตายก็ได้ ฉันว่านายควรปรึกษากับครอบครัวของนายให้ดีอีกครั้ง!”
“มันแน่นอนอยู่แล้วที่ผมจะต้องกลับไปปรึกษากับครอบครัว แต่ก่อนอื่นผมก็ต้องถามความคิดเห็นของคุณชายใหญ่เซียงให้ชัดเจนก่อน ไม่อย่างนั้นมันจะเป็นการปรึกษาที่เปล่าประโยชน์!” จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อย
เซียงหยงซานอดไม่ได้ที่จะเงียบ ผ่านไปครู่ใหญ่เขาก็ไม่รู้ว่าควรจะตอบจี้เฟิงว่าอย่างไร
แม้ว่าเซียงหยงซานจะดูเป็นคนไม่ชอบคิดเล็กคิดน้อยและโผงผาง แต่มันก็เป็นเพียงแค่บุคลิกของเขาเท่านั้น เขามีอะไรมากกว่าความโผงผางตรงไปตรงมา ที่แน่ๆคือเขาก็มีหัวใจ มีความรู้สึก และมีความคิดที่ลึกซึ้ง ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ได้ชื่อว่าเป็นผู้นำตระกูลรุ่นที่สามของตระกูลเซียง!
จี้เฟิงเป็นฝ่ายขอเข้าร่วมปฏิบัติการด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่เซียงหยงซานไม่คาดคิด ความจริงแล้ว สิ่งที่เขาต้องการคือให้จี้เฟิงช่วยทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาแข็งแกร่งขึ้น และในขณะเดียวกันก็ให้ทั้งกองทัพเรียนรู้สิ่งที่จี้เฟิงเรียกว่าชุดฝึกยิมนาสติก เพราะในการแข่งขันเขตทหารก่อนหน้านี้ ทหารของกองพลเรดแอร์โรว์มีทักษะที่แข็งแกร่งขึ้นมาก ซึ่งทำให้ทหารทั้งกองทัพตื่นตาตื่นใจ
นับตั้งแต่นั้นมา สาเหตุที่ทำให้กองพลเรดแอร์โรว์แข็งแกร่งขึ้นอย่างกะทันหันได้กลายเป็นจุดสนใจของเหล่าทหารและผู้คนในแวดวงทหาร และในฐานะที่เป็นแกนนำของกองทัพ เซียงหยงซานจึงเกิดความกังวลโดยธรรมชาติ
หากโลกทางการเมืองเป็นพลังของตระกูลจี้ และวงการธุรกิจคือรากฐานสำคัญของตระกูลเหอ ดังนั้นกองทัพก็คือป้อมปราการของตระกูลเซียง!
อย่างไรก็ตาม สามสิ่งนี้ไม่ได้เกิดความแบ่งแยกอย่างชัดเจน ในแต่ละส่วนมีส่วนเกี่ยวข้องเล็กน้อยในทุกวงการและทุกตระกูล นอกจากแวดวงธุรกิจแล้ว ตระกูลเหอก็ยังมีกลุ่มการเมืองรุ่นใหญ่อีกด้วย และตระกูลจี้ก็มีพลังมากมายในแวดวงธุรกิจ
ตระกูลเซียงเองก็มีอำนาจที่แข็งแกร่งในแวดวงธุรกิจและการเมืองเช่นกัน แต่ก็ยังห่างไกลจากอีกสองตระกูลมาก
ทิศทางการพัฒนาหลักของแต่ละตระกูลยังคงแตกต่างกัน
ในกรณีนี้ หากตระกูลจี้ได้แทรกซึมเข้าไปในกองทัพ เรียกศรัทธาจากเหล่าทหารและกระจายพลังอำนาจไปทั่วกองทัพด้วย ถ้าเป็นเช่นนี้ ความสำคัญของการดำรงอยู่ของตระกูลเซียงคืออะไร?
แน่นอนว่าตระกูลเซียงจะไม่อนุญาตให้สิ่งนี้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน ดังนั้นการได้รับวิธีที่จะทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็วจึงเป็นหนึ่งในจุดประสงค์ของเซียงหยงซานในครั้งนี้
เหตุผลที่เขาไม่เจรจาอย่างเป็นทางการผ่านผู้อาวุโสตระกูลจี้และเลือกที่จะมาหาจี้เฟิงโดยตรงก็เพราะการคุยกันตามประสาคนรุ่นเดียวกันเป็นอะไรที่ง่ายกว่า การพูดคุยแบบดูไม่เป็นทางการมีโอกาสที่เขาจะได้รับการตอบรับสูง จี้เฟิงจะต้องปฏิเสธไม่ออกอย่างแน่นอน และมันก็จะไม่เหมือนกับพวกจิ้งจอกเฒ่ารู้มากของตระกูลจี้ เพราะมีโอกาสสูงมากที่พวกเขาจะฉวยโอกาสตรงนี้แลกผลประโยชน์!
และเพื่อไม่ให้จี้เฟิงไหวตัวทัน เซียงหยงซานจึงเสนอขอให้จี้เฟิงยื่นมือเข้าช่วยเหลือก่อน เพื่อให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาแข็งแกร่งขึ้น และภายใต้สถานการณ์นี้ แม้ว่าจี้เฟิงจะโกหกหรือใช้ลูกไม้อะไร ก็ไม่มีทางหลบซ่อนจากสายตาของเขาไปได้!
แต่เซียงหยงซานไม่ได้คาดหวังว่าจี้เฟิงจะเสนอตัวเองเพื่อเข้าร่วมรบด้วยจริงๆ!
หากจี้เฟิงติดตามเขาไป และมีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นระหว่างพวกเขา ความสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูลอาจลดลงไปถึงจุดเยือกแข็งทันที และมีโอกาสสูงมากที่จะทำให้เกิดการต่อสู้ระหว่างสองตระกูล!
สำหรับผู้อาวุโสจี้ ผู้นำสูงสุดแห่งตระกูลจี้ในเวลานี้ ในตอนที่คุณปู่ของเขายังมีชีวิตอยู่ ก็ยังต้องยกนิ้วให้ และมีครั้งหนึ่ง คุณปู่ของเขาเคยกล่าวไว้ว่า ถ้าผู้อาวุโสจี้ไม่ได้ถูกรัฐบาลย้ายออกจากกองทัพไปในครั้งนั้นตระกูลทหารอันดับหนึ่งก็ควรจะเป็นของตระกูลจี้!
จากสิ่งนี้จะเห็นได้ว่าผู้อาวุโสของตระกูลจี้มีพลังมากแค่ไหน
หากเกิดอะไรขึ้นกับจี้เฟิง แล้วทำให้ผู้อาวุโสจี้โกรธ แม้จะเป็นตระกูลเซียงก็ยังต้องปวดหัว
เซียงหยงซานจะไม่ยอมเสี่ยงเด็ดขาด!
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว เซียงหยงซานก็กล่าวว่า “ไปพูดคุยปรึกษาก่อนได้เลย เพราะตราบใดที่ครอบครัวของนายเห็นด้วย ก็ให้อาสามของนายติดต่อกับพ่อของฉันได้เลย! หลังจากนั้น ตามเงื่อนไขของนาย ที่ต้องการให้กองพลธนูแดงเข้าร่วม ก็ส่งคนที่นายต้องการไปได้เลยทันที ให้ทั้งสองฝ่ายได้สื่อสารและวางแผนการไว้ล่วงหน้าจะดีกว่า!”
จี้เฟิงพยักหน้าและพูดด้วยรอยยิ้ม “คุณอยู่ที่เจียงโจวได้อีกกี่วัน!”
“ฉันจะอยู่อีกสองวัน! และไม่ว่าผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไร ฉันจะรอข่าวจากนาย!” เซียงหยงซานกล่าว “จะดีกว่าถ้าให้อาสามของนายโทรแจ้งกับพ่อของฉันโดยตรงเลย!”
“ตามนั้น!” จี้เฟิงพยักหน้าและยิ้ม
เขาเข้าใจความหมายของเซียงหยงซาน ตราบใดที่อาสามและพ่อของเซียงหยงซานตกลงพูดคุยกันเอง แล้วหากมีอะไรเกิดขึ้นระหว่างการรบ มันก็จะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเซียงหยงซานเลย และด้วยวิธีนี้ เซียงหยงซานยังสามารถหาวิธีที่จะทำให้คนของเขาแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็วได้อีกด้วย ในเมื่อยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวแบบนี้ แล้วมีเหตุผลอะไรที่จะไม่ทำล่ะ?
ในที่สุด ทั้งสองก็ได้บรรลุข้อตกลงในระดับหนึ่ง ต่างฝ่ายต่างรู้สึกโล่งใจขึ้นมาก
เซียงหยงซานยกแก้วขึ้นและพูดว่า “ปกติฉันไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่วันนี้ฉันจะยกเว้นและดื่มมัน!”
จี้เฟิงยิ้มและกล่าวว่า “ผมคิดว่าจะมีโอกาสอีกมากมายที่เราจะได้ดื่มด้วยกันในอนาคต ชน!”
ทั้งสองต่างมองหน้ากัน และอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างรู้ทันซึ่งกันและกัน....
…จบบทที่ 642~❤️