586 - ช่วงเวลาอันงดงามครั้งสุดท้าย
586 - ช่วงเวลาอันงดงามครั้งสุดท้าย
อันเหมียวอี้ค่อยๆถอดเสื้อผ้าของตัวเองอย่างช้าๆด้วยอริยบทอันงดงาม เย่ฟ่านจ้องมองการกระทำของนางด้วยรอยยิ้มและกล่าวว่า
"หากผู้อื่นรู้ว่าในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตข้ายังมีโอกาสได้เสพสุขเช่นนี้ ไม่ทราบว่าพวกเขาจะโกรธแค้นมากแค่ไหน?"
ภายในห้องหอหลังน้อย ผิวพรรณของอันเหมียวอี้งดงามและสดใสดุจหยกเนื้อดี ภายใต้แสงจันทร์พร่างพราย นางงดงามไร้ที่ติ และร่างกายของนางมีกลิ่นหอมจางๆชวนวาบหวาม
เย่ฟ่านมีทัศนคติเชิงลบต่อการฝึกฝนแบบคู่อยู่เสมอ แต่เขาไม่ต้องการทำให้หญิงสาวคนรักผิดหวังดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกเช่นกัน
“เด็กน้อยเจ้าช่างเอาแต่ใจ!”
บนเตียงหยกขาว ร่างกายสีขาวนวลของอันเหมียวอี้เปล่งประกายสดใส นางเคาะหน้าผากของเย่ฟ่านเพื่อทำให้เขาสงบลง
เมื่อเผชิญกับความงามอันโดดเด่นเช่นนี้ ไม่มีมนุษย์คนใดที่จะรักษาความสงบได้ และเย่ฟ่านย่อมไม่คิดจะเสียเวลาไปกับการทำสมาธิด้วยการฝึกฝนคู่ตั้งแต่แรก
ผิวพรรณของเหมียวอี้มีความสดใสราวกับงาช้าง ร่างกายอันอ่อนนุ่มของนางมีส่วนโค้งส่วนเว้าเป็นลูกคลื่นงดงามไร้ที่ติ
หลังจากนั้นไม่นาน เสียงบทสวดจากคัมภีร์โบราณก็ดังขึ้นอีกครั้งและห้องหอหลังน้อยก็เต็มไปด้วยสันติสุขอันศักดิ์สิทธิ์ ในเวลาเดียวกันเย่ฟ่านและอันเหมียวอี้ก็เริ่มฝึกฝนตามแบบฉบับของวิธีการฝึกฝนคู่อย่างเข้มข้น
ในคืนเดือนหงายที่สว่างไสว เวลาผ่านไปเหมือนสายน้ำ ภายในตำหนักสราญรมย์ห้องหอแห่งนี้ถูกปิดกั้นอย่างแน่นหนาจากยอดฝีมือของตำหนัก
หากไม่ทำเช่นนั้นเกรงว่าเสียงเพลงจากสุดยอดเต๋าจะกระจายออกไปจนสร้างความตกตะลึงให้กับผู้คนในเมืองศักดิ์สิทธิ์
อันเหมียวอี้เป็นผู้สืบทอดอันดับหนึ่ง พลังฝีมือของนางแข็งแกร่งไม่เป็นรองสตรีศักดิ์สิทธิ์ทุกคนในโลก อีกทั้งตำหนักสราญรมย์ค่อนข้างเปิดกว้างในเรื่องชายหญิง ผู้อาวุโสในตำหนักจึงไม่ได้ขัดขวางการกระทำของนาง
แม้ว่าในห้องหอจะมีเสียงดังเล็ดลอดออกมาตลอดเวลา แต่ผู้อาวุโสของตำหนักที่อยู่ด้านนอกกลับมีสีหน้าเรียบเฉยราวกับไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย
ในช่วงครึ่งหลังของคืนความสุขสงบจึงเริ่มบังเกิดขึ้น และพระสูตรนิพพานรวมทั้งเคล็ดวิชาศักดิ์สิทธิ์คู่ก็ไม่สามารถรักษารอยแผลที่ถูกทิ้งไว้โดยสุดยอดเต๋าได้
อันเหมียวอี้ร้องไห้คร่ำครวญอยู่ในอ้อมอกของเย่ฟ่าน นางพยายามคิดหาหนทางในการรักษาบาดแผลของเขาแต่สุดท้ายนางก็ได้แต่ถอนหายใจด้วยความอับจนปัญญา
ยาศักดิ์สิทธิ์โบราณที่มีค่ามากที่สุดในโลกอยู่ในมือของเย่ฟ่าน และมันก็ไม่มีประโยชน์ในการรักษาเขา
“นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราได้เจอกัน” อันเหมียวอี้จ้องมองเย่ฟ่านด้วยความเศร้าโศก
“ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายอย่างแน่นอน” เย่ฟ่านลูบแก้มของนางเบาๆและกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า
“ข้าจะไม่ตาย ข้าจะมีชีวิตอยู่อีกหมื่นปีเพื่อเหยียบย่ำดินแดนศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นให้อยู่ใต้ฝ่าเท้า”
“หมื่นปี ถึงตอนนั้นข้าคงกลายเป็นกองกระดูกไปแล้ว” อันเหมียวอี้ลุกขึ้นจากเตียงหยกก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ข้างหน้าต่าง
“อีกครึ่งหนึ่งของหม้ออสูรกลืนสวรรค์กำลังจะเข้าสู่โลก” อันเหมี่ยวอี้มีสีหน้าเศร้าสร้อย
“มีเพียงต้องใช้ร่างศักดิ์สิทธิ์เซียนโบราณและร่างอสูรสวรรค์เท่านั้นหรือ?” เย่ฟ่านถาม
"ตอนนี้ทุกอย่างล้วนไร้ความหมายแล้ว" อันเหมี่ยวอี้กล่าวอย่างใจเย็นโดยไม่หันกลับมามอง
ผ่านไปนานนางก็เดินกลับมาและกล่าวว่า “เจ้าไปเถอะ”
"ข้าจะอยู่ที่นี่จนถึงเช้า" เย่ฟ่านลุกขึ้นนั่ง
"ได้เวลาออกเดินทางแล้ว"
อันเหมียวอี้ปรนนิบัติเย่ฟ่านสวมเสื้อผ้าด้วยการเคลื่อนไหวที่อ่อนโยนและนุ่มนวล
“เพื่อพิสูจน์ว่าข้ายังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ นานๆครั้งเจ้าจะได้ยินข่าวเกี่ยวกับข้า รับรองว่าดินแดนแห่งนี้จะไม่เงียบเหงาอย่างแน่นอน” เย่ฟ่านกล่าวก่อนจะเดินออกจากตำหนักสราญรมย์
เมืองศักดิ์สิทธิ์มีความเจริญรุ่งเรือง แต่เย่ฟ่านก็จะจากไปในที่สุด เขาไม่ได้ออกไปทันทีเพราะเขากำลังรอจักรพรรดิดำ
ในช่วงวันสุดท้ายที่เย่ฟ่านอยู่ในเมืองศักดิ์สิทธิ์ เขาเดินเตร่ไปทั่วและเที่ยวทุบตีเด็กน้อยที่นินทาเขาในที่สาธารณะ ซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้คนมากมาย
เขากำจัดอู๋จือหมิงและหลี่จงเทียนรวมทั้งลูกหลานของมหาอำนาจมากมายอย่างโหดเหี้ยม
ทุกคนรู้ดีว่าเวลาของร่างเซียนใกล้จะหมดแล้ว และไม่มีใครคิดจะเอาชีวิตของตัวเองไปเสี่ยงอย่างเปล่าประโยชน์กับคนที่ไม่กลัวตายคนหนึ่ง
ในช่วงเวลานี้แม้แต่บุตรศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายก็ยังหลบซ่อนตัวจากเมืองศักดิ์สิทธิ์ชั่วคราว ไม่มีผู้ใดต้องการเป็นเพื่อนเย่ฟ่านไปนรก ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะหลีกเลี่ยงคำท้าทายของเย่ฟ่านอย่างเด็ดขาด
เฟิ่งหวงก็ไม่ปรากฏข่าวอีกเลย แม้แต่ราชาเผิงน้อยปีกทองก็ดูเหมือนจะไม่มีโอกาสพบนางอีกแล้ว ความต้องการของนางเพียงแค่ต้องการสร้างความเป็นศัตรูระหว่างเขาและเย่ฟ่าน
ในตอนนี้เย่ฟ่านแทบจะกลายเป็นคนตายคนหนึ่งดังนั้นนางจึงไม่ให้ความสำคัญกับราชาเผิงน้อยปีกทองอีกต่อไป
ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตอันแสนสั้นนี้เย่ฟ่านทรงพลังจนน่าเหลือเชื่อ และในวันนั้นเองที่อิ๋งเฟิงบุตรศักดิ์สิทธิ์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับกลางไม่สามารถทนความหยิ่งผยองของเย่ฟ่านได้อีกต่อไป
เขารับคำท้าทายของเย่ฟ่านและการต่อสู้ก็จบลงอย่างรวดเร็วด้วยการที่อิ๋งเฟิงถูกทุบตีจนแทบจะกลายเป็นคนพิการ
ต้องขอบคุณที่พวกเขาทั้งสองไม่เคยเป็นศัตรูกัน ไม่อย่างนั้นเย่ฟ่านคงฆ่าอิ๋งเฟิงอย่างทารุณไปแล้ว
หลังจากนั้นไม่ว่าเย่ฟ่านจะเดินทางไปไหนผู้คนมากมายก็จะแตกฮือกันไปคนละทิศคนละทาง ราวกับว่าเขาเป็นตัวแพร่เชื้อของโรคระบาดร้ายแรง
ในช่วงเย็นของวันนั้นจักรพรรดิดำก็กลับมาด้วยความท้อแท้สิ้นหวัง ใบหน้าของมันเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองและสาปแช่งอยู่ตลอดเวลา
"บัดซบ ภูเขาสีม่วงถูกปิดสนิทไม่สามารถเข้าไปได้อีกแล้ว!
เย่ฟ่านไม่ได้พูดอะไรมากเขาเพียงยิ้มให้กำลังใจเหล่าสหายและเดินทางไปร่ำลาราชันย์ศักดิ์สิทธิ์ผู้เฒ่า
ในตอนนั้นเองที่เขาพบกับราชันย์ศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลเฟิ่งรวมทั้งราชันย์ศักดิ์สิทธิ์ผู้เฒ่าเจียงไท่ซูซึ่งกำลังพูดคุยเรื่องงานแต่งของเขาอยู่
เย่ฟ่านมีคำสาปอันเลวร้ายไม่สามารถลบล้างออกไป เขามีชีวิตอยู่อีกเพียงครึ่งปีซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่คนที่เหมาะสมสำหรับการเป็นเขยของตระกูลเฟิ่ง
ราชันย์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลเฟิ่งแม้จะมีสีหน้าลำบากใจเมื่ออยู่ต่อหน้าเจียงไท่ซู แต่สุดท้ายเขาก็ยังกัดฟันและกล่าวออกไปว่า
“เฟิ่งหวงเป็นเด็กหญิงที่มีจิตใจเด็ดเดี่ยวมาก ไม่ว่าพวกเราจะบังคับแค่ไหนนางก็ไม่มีทางยอมรับการแต่งงานครั้งนี้”
“ข้าเข้าใจ” ราชันย์ศักดิ์สิทธิ์เจียงพยักหน้าและส่งเสียงไอเล็กน้อย
“เฮ้อ ไม่มีใครคิดว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้น” ราชันย์ศักดิ์สิทธิ์ของ ตระกูลเฟิ่ง เฟิ่งจิงอวิ๋นถอนหายใจด้วยความเศร้าโศก
“ผู้อาวุโสอย่ากังวลใจเลย ผู้เยาว์รู้ดีว่าตัวเองมีชีวิตอยู่ได้นานแค่ไหน มันไม่เหมาะสมจริงๆที่จะดึงคุณหนูเฟิ่งให้มาตกต่ำกับคนที่ใกล้ตายเช่นข้า” เย่ฟ่านกล่าวด้วยความสงบ
เจียงไท่ซูก็ไม่สามารถพูดอะไรได้เช่นกัน
เขามีชีวิตอยู่มาเกือบ 5000 ปี ความแข็งแกร่งของเขาไม่ต้องพูดถึงดินแดนรกร้างตะวันออก ต่อให้เป็นทะเลทรายตะวันตกและแคว้นภาคกลางก็ยังต้องสยบอยู่แทบเท้า
แต่เหตุการณ์ในวันนี้กลับทำให้เขารู้สึกอัปยศอดสูอย่างยิ่ง ซึ่งการจะบังคับให้องค์หญิงของตระกูลเฟิ่งแต่งงานกับเย่ฟ่านที่ไม่มีอนาคตก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องไร้ศักดิ์ศรีมากเกินไป
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่ดูแลข้ามาโดยตลอด!”
เย่ฟ่านแสดงความเคารพต่อชายชราทั้งสองอย่างจริงใจอีกครั้ง แม้ว่าสุดท้ายแล้วเขาจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงความตายแต่เขาก็ไม่เคยเสียใจที่บุกฝ่ามาถึงระดับนี้
เฟิ่งจิงอวิ๋นมีสีหน้าละอายใจเล็กน้อย เขาถอนหายใจเบาๆและกล่าวว่า
"สวรรค์ไม่ได้โหดร้ายอย่างที่เจ้าคิด ข้าไม่เชื่อว่าการกระทำของพวกเขาจะเป็นการตัดเส้นทางของเจ้าจริงๆ ข้าหวังว่าเจ้าจะเอาชนะภัยพิบัติครั้งนี้ได้"
เย่ฟ่านยิ้มและประสานมือขอบคุณ ปมในหัวใจของเขาถูกคลายออกแล้วและเขาไม่ได้สิ้นหวังเหมือนที่แสดงออกมาภายนอก
"ต่อให้สวรรค์ต้องการเอาชีวิตของข้า แต่ในเมื่อข้าไม่ยินยอมพวกเขาก็เอาไปไม่ได้"
"ดี!"
ราชันย์ศักดิ์สิทธิ์ผู้เฒ่าที่นั่งเงียบอยู่ตลอดเวลาในที่สุดก็ส่งเสียงคำรามขึ้น
ราชันย์ศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลเฟิ่งยิ้มและกล่าวว่า
“แม้แต่คำสาปที่ดำรงอยู่มานับแสนปีเจ้าก็ยังทำลายได้ อาการบาดเจ็บเพียงเท่านี้เจ้าย่อมเอาชนะมันได้เช่นกัน”
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการให้กำลังใจเท่านั้น เขาต้องพูดอะไรบางอย่างเพียงเพราะว่าตระกูลเฟิ่งเป็นฝ่ายปฏิเสธการแต่งงานกับเย่ฟ่านอย่างเด็ดขาดแล้ว
เย่ฟ่านยิ้มและประสานมือขอบคุณราชันย์ศักดิ์สิทธิ์เฟิ่งอีกครั้ง
“พรุ่งนี้เด็กน้อยร่างจันทราจะมาหาเจ้า” ราชันย์ศักดิ์สิทธิ์ผู้เฒ่ากล่าวถึงถิงถิงน้อยก่อนจะพูดถึงเรื่องสำคัญ
“การรักษาอาการบาดเจ็บของเจ้าไม่ใช่ว่าจะไม่มีหนทาง มีเพียงการใช้เต๋าที่สมบูรณ์แบบร่วมกับยาศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นถึงจะสามารถเชื่อมต่อเส้นทางแห่งชีวิตของเจ้าได้” เจียงไท่ซูอธิบายด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
นี่เป็นผลมาจากการคิดอยู่หลายวัน บาดแผลที่ถูกทำขึ้นโดยเต๋าผู้ยิ่งใหญ่นั้นมีเพียงต้องใช้พลังจากเต๋าที่สมบูรณ์แบบในการช่วยเหลือ มันไม่มีวิธีการที่สองอีกแล้ว
“แม้ว่าโลกใบนี้จะกว้างใหญ่ไพศาล แต่มีสถานที่ลึกลับเพียงเจ็ดแห่งเท่านั้นที่ยังคงรักษากฎแห่งสวรรค์และปฐพีอันสมบูรณ์แบบไว้ได้ เจ้าคงเข้าใจแล้วสินะว่าข้าพูดถึงที่ไหน?”
เจียงไท่ซูกล่าวด้วยสีหน้าหนักอึ้ง การปล่อยให้เย่ฟ่านเดินเข้าไปในสถานที่เหล่านั้นก็ไม่แตกต่างจากการส่งเขาไปตายเท่าไหร่
"ผู้อาวุโสกำลังพูดถึงเจ็ดเขตหวงห้ามแห่งชีวิตใช่หรือไม่!"
ราชันย์ศักดิ์สิทธิ์ตระกูลเฟิ่งตกตะลึง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“น่าเสียดายที่นอกเหนือจากจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ก็ไม่เคยมีใครมีชีวิตรอดอยู่ในดินแดนแห่งความตายเหล่านั้นเกินสามเดือน” ราชันย์ศักดิ์สิทธิ์ผู้ไร้เทียมทานถอนหายใจ