STBI : ตอนที่ 51 ทักษะลับเผาไหม้โลหิต
ซวนเย่ ได้มองดู ซูฉี และ ไป๋ตงหลิน พูดคุยกันอย่างสนุกเริงร่า หัวใจของเขาพลันร้อนรุ่มไปด้วยความอิจฉาริษยาในทันที
นางเพิกเฉยต่อเขาและไปทำดีต่อเจ้าคนสกุลไป๋นั่น เขาเชื่อว่า เจ้าคนสกุลไป๋นั่นไม่มีอะไรดีกระทั่งด้อยกว่าเขาด้วยซ้ำ
แต่เพราะอะไร?
นาง เป็นคนรักของข้า!
ถ้า ไป๋ตงหลิน รู้ความคิดของ บุรุษผมแดง เขาก็คงพูดไม่ออก เพราะ ซูฉี ค่อนข้างเย็นชา ใครจะสามารถบอกได้ว่าทั้งสองแท้จริงแล้วรักกันมาก?
แน่นอนว่าความรักเป็นสิ่งที่จะทำให้จิตใจของคุณอ่อนแอลง ถึงแม้ว่ามันจะเป็นความรักที่ไม่สมหวังก็ตาม
ซวนเย่ ได้เดินไปหาทั้งสองคน หลังจากพบเก้าอี้ เขาก็นั่งลงพร้อมกับยิ้มอย่างไม่เต็มใจ และ ยื่นมือไปหา ไป๋ตงหลิน
“พี่ไป๋ นี่คงเป็นการพบกันครั้งแรกระหว่างเรา ข้ามีนามว่า ซวนเย่”
แม้ว่า ไป๋ตงหลิน จะรู้สึกได้ถึงความเป็นศัตรูอย่างคลุมเครือ แต่เขา ก็ยิ้มแย้ม และ ยื่นมือออกไปทักทายพร้อมกับกล่าวออกมาอย่างสุภาพ :
“ยินดีที่ได้รู้จักพี่ซวน ท่านมีธุระอะไรกับข้างั้นหรือ?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า เปล่าเลย เพียงแต่ข้าได้ยินชื่อเสียงของพี่ไป๋มานานแล้ว และ มันยากที่จะทนเฉยได้ ดังนั้น ข้าอยากจะขอเวลาทำความรู้จักกับท่านเป็นการส่วนตัวหน่อยจะได้รึไม่?”
ซูฉี ขมวดคิ้ว เมื่อได้ยินคำพูดนั้น น้ำเสียงของนางได้กลายเป็นเย็นชา :
“ซวนเย่ อย่าได้สร้างปัญหา ข้าว่าข้าทำมันชัดเจนแล้ว ในปัจจุบัน ข้าสนใจแต่เส้นทางการบ่มเพาะพลังเท่านั้น และ ไม่สนใจเรื่องส่วนตัวเฉกเช่นเด็ก ๆ!”
ไป๋ตงหลิน รู้สึกตกตะลึง ไม่แปลกเลยที่เขาได้กลิ่นของความเป็นศัตรู ปรากฏว่าบุรุษผมแดงนี้เป็นศัตรูด้านความรัก
ความรักก็คือยาพิษ
แม้แต่ อัจฉริยะเช่น ซวนเย่ ที่โดดเด่นท่ามกลางผู้คนหลายร้อยล้านคน ก็ยังถูกทำให้เหมือนเด็กปัญญาอ่อน
เขาได้สั่นศีรษะและถอนหายใจออกมา น่าเสียดาย ที่คนมีความสามารถแบบนี้ ทำได้เพียง คอยติดตามและเลียแข้งเลียขาเพียงเท่านั้น
หลังจากฟังคำพูดของซูฉี ดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง
ซวนเย่ ได้สูดลมหายใจอย่างเย็นชา และ ลุกขึ้น ในนิกายศักดิ์สิทธิ์นี้ เขาไม่สามารถทำอะไรตามอำเภอใจได้ ดังนั้นเขาจึงได้จากไปอย่างไม่เต็มใจ
ไป๋ตงหลิน ได้มองดูอย่างอธิบายไม่ถูก เหตุใด อีกฝ่ายต้องจ้องมองมาที่เขา? ดูเหมือนว่าบุรุษผมแดงนี้จะมีปัญหาอย่างแท้จริง
ซูฉี เห็นว่าทั้งสองไม่ได้ต่อสู้กัน นางถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก และ กล่าวขอโทษต่อ ไป๋ตงหลิน :
“คุณชายไป๋ ดูเหมือนว่าข้ากำลังสร้างปัญหาให้ท่าน”
“ไม่เป็นไร แค่เรื่องเล็กน้อย”
ถ้าบุรุษผมแดงกล้าที่จะรบกวนเขา เขาก็ไม่รังเกียจที่จะสั่งสอนอีกฝ่าย ไม่ใช่เพราะความเย่อหยิ่งของเขา แต่ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขา คนกว่า 100 คนที่นี่ ไม่สามารถเอาชนะเขาได้แม้แต่คนเดียว
หลังจากพูดไป ไป๋ตงหลิน ก็หยิบหุ่นที่แตกหักออกมา หลังจากที่การสนทนาจบลง ในที่สุด เขาก็เผยจุดประสงค์ของเขา :
“คุณหนูซู ท่านเคยใช้หุ่นกระบอกตัวตายตัวแทนมาก่อน ไม่ทราบว่าของสิ่งนี้ยังมีอยู่อีกหรือไม่?”
ซูฉี ได้เหลือบมองไปที่ หุ่นเชิดอันนี้ ในที่สุดนางก็รับรู้ได้ว่านี่เป็นสิ่งของที่นางใช้ ดังนั้น นางจึงได้สั่นศีรษะออกมา :
“คุณชายไป๋ นี่ไม่ใช่หุ่นเชิดตัวตายตัวแทน หุ่นเชิดตัวตายตัวแทนนั้นเป็นสมบัติล้ำค่ามาก สิ่งที่ข้าใช้เป็นเพียงหุ่นเชิดตัวแทนเท่านั้น ซึ่งทั้งสองมีบางสิ่งที่แตกต่างกันมาก”
หลังจากฟังคำอธิบายของ ซูฉี ไป๋ตงหลิน ก็เข้าใจ หุ่นเชิดตัวตายตัวแทน นั้นเปรียบเสมือนเหรียญคืนชีพ ซึ่งทำให้ ผู้คนมีชีวิตเพิ่มขึ้นได้อีกหนึ่ง และ สิ่งนี้เป็นสมบัติที่สืบทอดมาตั้งแต่โบราณ
ว่ากันว่ามันถูกสร้างขึ้นโดยลัทธิ ‘ชินโต’ ที่หายสาบสูญไปแล้ว ตอนนี้พูดได้ว่าเพียงแค่ครอบครองมัน 1 ตัว ก็ถือว่าเป็นสมบัติที่มีมูลค่ามหาศาล
สำหรับ หุ่นเชิดที่ ซูฉี ใช้ เป็นอีกสิ่งหนึ่ง ที่ถูกเรียกว่า หุ่นเชิดตัวแทน สิ่งนี้สามารถจำลองลมหายใจให้เหมือนกับเจ้าของได้เพียงเท่านั้น พวกมันไม่มีความสามารถในการเคลื่อนที่อย่างอิสระ และ เป็นเพียงแค่อุปกรณ์ธรรมดา
จุดประสงค์ของ ไป๋ตงหลิน นั้นง่ายมาก เขาเพียงแค่ต้องการมองหาหุ่นกระบอกเหล่านี้ เพื่อปกปิดความสามารถพลิกฟื้นที่แข็งแกร่งของเขา หากความสามารถนี้ถูกเปิดเผย เขาก็จะโยนเรื่องนี้ไปให้หุ่นเชิดแทน
แม้ว่าจะไม่จำเป็นจะต้องใช้ หุ่นเชิดตัวตายตัวแทนตัวจริง แต่อย่างน้อย ก็ขอให้รู้ว่า หุ่นเชิดตัวตายตัวแทนที่แท้จริงนั้นหน้าตาเป็นอย่างไรก็พอ
“คุณหนูซู ท่านเคยเห็นหุ่นเชิดตัวตายตัวแทนมาก่อนรึไม่?”
ซูฉี ได้สั่นศีรษะและตอบกลับ“ที่ข้ามีก็เพียงแต่ หุ่นเชิดตัวแทน สำหรับ สิ่งนั้น ข้าไม่มีโอกาสได้เห็นมัน อย่างไรก็ตาม ข้าได้ยินมาจากผู้อาวุโสในตระกูลของข้า ว่ากันว่าหุ่นตัวนั้นเป็นสีแดงโลหิต สำหรับหน้าตาข้าไม่รู้ว่ามันมีรูปลักษณ์อย่างไร”
หลังจากนั้นนางก็ขมวดคิ้วเกี่ยวกับเรื่องนี้ และ กล่าวถาม ไป๋ตงหลิน :
“แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าเหตุใด คุณชายไป๋ ถึงดูสนใจในหุ่นเชิดมาก แต่ถ้ามีที่ใดที่พอจะหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้ ภูเขาหนังสือเซิงจง คงจะถูกพิจารณาให้เป็น หนึ่งในนั้น!”
ดวงตาของ ไป๋ตงหลิน ได้เป็นประกาย ใช่แล้ว ภูเขาหนังสือเซิงจง นั้นครอบคลุมทุกอย่าง สิ่งนี้นับตั้งแต่การก่อตั้งในสมัยโบราณ ถ้าเกิดเขาต้องการมองหาความรู้ ก็คงจะต้องไปที่นั่น
ตอนนี้ ต้องขอบคุณ ซูฉี ดูเหมือนว่าเขาจะลืมเรื่องนี้ไปเลย
หลังจากดื่มไวน์ สนทนากับนักพรตเต๋าจำนวนมาก และ พูดคุยเกี่ยวกับประสบการณ์การฝึกฝน คนเหล่านี้ แต่ละคน ก็ได้ผ่านการรับรู้ศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว ซึ่งมันได้สร้างแรงบันดาลใจแก่เขามากมาย
เวลาได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว และ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาดังกล่าว งานเลี้ยง ได้จบลงด้วยดี จากนั้น เหล่านักพรตเต๋า ก็แยกย้ายกันกลับบ้านหลังจากที่อิ่มแล้ว
ที่งานเลี้ยง ไป๋ตงหลิน ยังรู้ข่าวอีกว่า หลังจากนี้ 7 วันจะมีผู้อาวุโสจากนิกายมาเทศนาเต๋าให้ฟังในเวลานั้น
เขาได้กลับไปที่เรือนบ้านของเขา และ ใช้พลังธาตุโลหิตในการขับแอลกอฮอล์ในร่างกายของเขาออกไป
จากนั้นเขาก็หยิบ เมล็ดพันธุ์ลึกลับออกมา และ ให้อาหารมัน หลังจากการพัฒนา โลหิตภายในร่างกายของเขา ก็แข็งแกร่งขึ้นมาก คราวนี้ เมล็ดพันธุ์ลึกลับได้กินโลหิตมากกว่าเดิม
หลังจากกินเสร็จ มันก็ฉายแสงสีม่วงออกมาอย่างเข้มข้น กระทั่งเส้นบาง ๆ ก็เริ่มปรากฏบนเมล็ดเล็ก ๆ
เขาได้พยักหน้าอย่างพึงพอใจ ในที่สุด ก็มีการเปลี่ยนแปลง เขาเริ่มจะอยากรู้แล้วว่าเจ้าสิ่งนี้คืออะไรกันแน่
เขาได้เก็บเมล็ดพันธุ์เข้าไปและหยิบหนังสือที่พี่รองของเขามอบให้ก่อนหน้านี้ ตอนแรกเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการฝึกฝนร่างกายเลย และ เข้าใจเนื้อหาของมันไม่มากนัก แต่ตอนนี้ หลังจากรับสืบทอดมรดกทักษะ เขาก็เข้าใจเนื้อหาภายในนี้อย่างเป็นธรรมชาติ
เขาได้มองดูตั้งแต่ต้นอย่างระวัง พยายามเข้าใจคำต่อคำ ในหนังสือเหลือเนื้อหาไม่มากนัก และ เขาก็อ่านมันอย่างรวดเร็ว
ในเวลานี้มีความปิติยินดีปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา เขาไม่ได้คาดหวังเลยว่า หนังสือเล่มนี้จะบันทึกทักษะลับที่ไม่สมบูรณ์เอาไว้ด้วย
น่าเสียดายที่มันมีเพียงแค่ส่วนแรก แต่ทักษะนี้น่าสนใจมาก มันถูกเรียกว่า ‘การเผาไหม้โลหิต’ เสมือนสถานะบ้าคลั่ง
การเผาไหม้โลหิต จะช่วยเพิ่มพลังการต่อสู้ แต่ทักษะลับนี้มีความเสียหายรุนแรงมากเกินไป อีกทั้งยังเพิ่มพลังการต่อสู้ได้เพียง 1-2 ขั้นเท่านั้น
สิ่งนี้อาจจะไม่คุ้มสำหรับคนอื่น แต่มันเหมาะสมมากสำหรับเขา เพราะ โลหิตของเขาไม่มีที่สิ้นสุด แม้จะเผาไหม้ไป เขาก็สามารถฟื้นคืนได้
สิ่งที่น่าเสียดายสำหรับเขาก็คือ โลหิตในร่างกายของเขายังคงเป็นพลังงานแยกออกไปและไม่สามารถดึงมาเสริมศักยภาพได้
ทว่าหากได้ทักษะลับที่เกี่ยวข้องกับโลหิต ตราบใดที่เปิดใช้ทักษะลับ ก็จะสามารถดึงพลังส่วนนั้นมาใช้ได้
ไป๋ตงหลิน ได้นั่งไขว่ห้างและพยายามทำความเข้าใจทักษะลับนี้ ทักษะลับนี้ทำความเข้าใจง่ายมาก ตราบใดที่เชี่ยวชาญ การจุดไฟโลหิตและการดับโลหิต เขาก็จะประสบความสำเร็จในการเรียนรู้
เนื่องจากทักษะนี้ไม่สมบูรณ์ ประสิทธิภาพการเผาไหม้โลหิต ก็จะไม่สูง ดังนั้น พลังการต่อสู้ที่ปรับปรุงแล้วจึงมีค่อนข้างจำกัด แต่มันก็ดีกว่าไม่มีอะไรเลย ทั้งนี้ไม่ใช่เพื่ออะไร แต่เพื่อขอบคุณพี่รองของเขา
นี่คือความรักของพี่น้อง
ดังนั้นทักษะลับ ‘เผาไหม้โลหิต’ เขาจะต้องฝึกฝนให้ดี
ภายในระยะเวลา 2 เค่อ ไป๋ตงหลิน ได้เชี่ยวชาญการจุดไฟโลหิต ทันใดนั้น ก็มีควันสีแดงลอยออกมาและวนเวียนอยู่รอบตัวของเขา
เขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะโลหิตของเขาบริสุทธิ์เกินไปหรือไม่ แต่พลังการต่อสู้ของเขาได้เพิ่มขึ้นถึง 2 ขั้น
ถ้าจะพูดให้ถูก สิ่งนี้ถือว่าเป็นสมบัติอย่างแท้จริง
ความแข็งแกร่งทางกายภาพของเขาในปัจจุบันคือ 155,000 จิน หลังจากที่เผาไหม้โลหิต พละกำลังของเขาจะพุ่งสูงขึ้นถึง 200,000 จิน
2 ขั้นนี้ ได้เพิ่มพละกำลังของเขามากกว่า 40,000 จิน
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เขาแตกต่างจากคนอื่น ๆ ที่ใช้ทักษะลับนี้เป็นไม้ตายก้นหีบ เพราะเขาสามารถใช้สิ่งนี้ตอนไหนก็ได้
ดังนั้น ไป๋ตงหลิน จึงรู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก
มันแทบจะไม่เป็นอะไรที่เขาจะเปิดใช้มัน 6 ชั่วยามต่อวันด้วยซ้ำ
เขาได้หลอมรวมจิตใจและหยุดใช้ทักษะลับ ‘เผาไหม้โลหิต’ ทันใดนั้นโลหิตในร่างกายของเขาก็กลับมาเต็มอีกครั้ง
เขาได้พยักหน้าอย่างพึงพอใจ ดูเหมือนว่าในอนาคต เขาจะต้องฝึกฝนทักษะลับนี้ให้มากขึ้น โดยที่ไม่ต้องลงทุนอะไรและให้ผลตอบแทนสูง
ภูเขาหนังสือเซิงจง ที่นั่น มีทักษะลับและทักษะมากมายนับไม่ถ้วน เช่นเดียวกับทักษะนี้ ถ้าเขาต้องการฝึกฝนสิ่งนี้ให้สมบูรณ์ เขาจะต้องมองหา ความเข้ากันได้ของทักษะ เหมือนกับตอนสืบทอดมรดกทักษะในตอนแรก
ดังนั้น ในอนาคต เขาจะต้องมองหาโอกาสในการเข้าสู่ภูเขาหนังสือเซิงจง เพื่อสืบทอดมรดกทักษะ แต่การเข้าสู่สถานที่แห่งนี้ จะใช้ แต้มคะแนนการมีส่วนร่วมของเขา
เหตุผลที่ นิกายศักดิ์สิทธิ์ไม่เต็มใจที่จะส่งมอบทักษะจำนวนมาก อาจมีสองเหตุผล 1 คือทักษะลับเหล่านี้มีลักษณะที่เฉพาเกินไป และ มันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องฝึกร่วมกับทักษะอื่น
ประการที่ 2 เหตุผลก็เพื่อกระตุ้นให้เหล่าศิษย์พยายามมองหาคะแนนการมีส่วนร่วม เช่นเดียวกับ เงิน ที่เป็นของกลางสำหรับการแลกเปลี่ยน สิ่งนี้ก็เพื่อทำให้ ความสัมพันธ์ระหว่าง อุปสงค์และอุปทานลงตัว อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างนิกายให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
เมื่อมีการแข่งขันเท่านั้น ก็จะมีแรงจูงใจ สิ่งนี้ดีกว่าการยกให้แบบยัดเยียดเป็น ไหน ๆ
ไป๋ตงหลิน ได้หยุดคิด และ เริ่มสูบฉีดโลหิต เพื่อชำระล้างร่างกายอย่างช้า ๆ และต่อมา เขาสามารถใช้การฝึกฝนเพื่อทดแทนการนอนหลับได้ และ ผลที่ได้ก็ดีกว่าการนอนหลับโดยตรง
ในเวลานี้ จิตใจของเขาได้หมกมุ่นอยู่กับการทำความเข้าใจ ‘คัมภีร์เทพอสูร’ เซลล์เม็ดเลือด ในร่างกายของเขา ได้หมุนวนโดยอัตโนมัติ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
มันทำให้เขาไม่ต้องนอนหลับทั้งคืน