ตอนที่แล้วSTBI : ตอนที่ 48 โลกแห่งหลักจารึก
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปSTBI : ตอนที่ 50 งานเลี้ยงริมทะเลสาบ

STBI : ตอนที่ 49 ทะเลโลหิตไร้สิ้นสุด


3 ชั่วยามต่อมา ไป๋ตงหลิน ก็ยังสืบทอดมรดกทักษะไม่เสร็จ

มรดกทักษะนี้ลึกลับมาก และ เนื้อหาของมันก็ดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด

หลังจากนั้นไม่นาน อักขระสีทองก็ค่อย ๆ ลดลงจนหายไป

การสืบทอดมรดกทักษะสิ้นสุดลงแล้ว เพียงแต่ มรดกทักษะนี้จะถูกจารึกไว้ในส่วนลึกของจิตวิญญาณของเขาอย่างสมบูรณ์ และ เขาจะไม่สามารถลืมมันได้ แม้ว่าเขาจะต้องการลืมมากแค่ไหนก็ตาม

อย่างไรก็ตาม ไป๋ตงหลิน ก็ไม่ได้รีบจากไป เขาได้ใช้เวลาที่เหลือในการทำความเข้าใจทักษะนี้

แม้ว่าข้อมูลของทักษะทั้งหมดจะถูกแกะสลักไว้ในจิตวิญญาณของเขา แตต่การจดจำและเรียนรู้ ก็เป็นสองสิ่งที่แตกต่างกัน

คุณจะสามารถพึ่งพาตัวเองได้ก็ตื่อเมื่อคุณพยายามที่จะฝึกฝน ไม่ว่ามรดกทักษะจะทรงพลังเพียงใด หากไม่สามารถเติบโตพอที่จะฝึกฝนด้วยตัวเอง มันก็ไร้ค่า

และนอกเหนือจากนี้ โลกแห่งหลักจารึก นอกจากจะมีมรดกทักษะสืบทอดแล้ว มันยังมีหน้าที่อื่นอีก ซึ่งก็คือ การช่วยเหลือ ให้ ผู้ฝึกฝนทำความเข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้น

นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมจะต้องใช้ 1,000 แต้มผลงาน จึงจะสามารถ ยืมสถานที่ฝึกฝนในโลกแห่งหลักจารึก ได้เป็นเวลา ครึ่งชั่วยาม

ยังมีเวลาอีก ครึ่งชั่วยามถึงหนึ่งชั่วยามจากหกชั่วยาม ก่อนจะถึงกำหนด ดังนั้น เขาไม่อาจปล่อยให้เวลาเสียเปล่าไปได้

ด้วยจิตใจที่ลึกซึ้ง เขาเริ่มฝึก ‘คัมภีร์เทพอสูร’ นี้ในทันที เพราะชื่อของทักษะนี้ยาวเกินไป ดังนั้นเขาจึงได้ใช้ตัวย่อเพื่อความสะดวก

อันดับแรกของการฝึกฝนนั้นเรียบง่ายมาก ซึ่งเขาได้ทำความเข้าใจอย่างรวดเร็วโดยการใช้การรับรู้ที่เพิ่มขึ้นของอนุสรณ์ศิลา

สภาวะแรกของการฝึกฝน ก็คือการฝึกพลังปราณเพื่อปรับแต่งร่างกาย สิ่งนี้คล้ายกับการบ่มเพาะพลังปราณ เพราะมันจะทำให้ทั้งร่างกายกระตุ้นพลังปราณออกมาเพื่อเสริมความแข็งแกร่งได้

เพียงแต่ความแตกต่างอยู่ที่วิธีการกระตุ้นพลังปราณ สำหรับทักษะบ่มเพาะพลังปราณที่ใช้จิตวิญญาณในการเหนี่ยวนำ พวกเขาจะดึงพลังฟ้าดินและชักนำเข้าสู่ร่างกาย นี่เป็นวิธีการที่เหล่านักพรตเต๋าส่วนใหญ่ในโลกเฉียนหยวนแห่งนี้ใช้

แต่ทักษะบ่มเพาะร่างกายก็คือ พวกเขาไม่ต้องใช้พรสวรรค์ทางจิตวิญญาณที่แท้จริง แต่ใช้แสงสว่างของเปลวไฟต้นกำเนิดแห่งชีวิต เพื่อดูดซับพลังปราณแทน

แสงสว่างของจิตวิญญาณนั้นมาจากส่วนลึกของจิตวิญญาณและการถือกำเนิดใหม่ในแม่น้ำแห่งจิตวิญญาณ

ส่วนแสงสว่างของต้นกำเนิดแห่งชีวิตนั้นมาจากส่วนลึกของเนื้อหนัง ที่ถือกำเนิดขึ้นท่ามกลางสวรรค์และปฐพี

หนึ่งความเป็นจริงและหนึ่งอนิจจัง หนึ่งหยินและหนึ่งหยาง ทั้งสองล้วนเป็นทั้งสองด้านของทุกสิ่งในโลก ซึ่งถือเป็นเงื่อนไขพื้นฐานของชีวิตเช่นเดียวกัน

แน่นอนว่าทั้งคู่มีอำนาจในการควบคุมและใช้พลังปราณฟ้าดินได้

ก่อนยุคโบราณ เส้นทางทั้งสองค่อนข้างเท่าเทียมกัน และ ทั้งสองก็เจริญรุ่งเรืองในเวลาเดียวกัน

เพียงแต่น่าเสียดายที่เส้นทางการบ่มเพาะพลังกายได้ลดลงเนื่องจากสาเหตุบางประการ และ ยังไม่ฟื้นตัวจนถึงทุกวันนี้ ดังนั้น คนในพื้นที่ห่างไกลจะรู้จักแต่วิธีการฝึกฝนพลังปราณ แต่ ไม่รู้จักวิธีการฝึกฝนพลังกาย

เพราะจุดเริ่มต้นของการฝึกฝนพลังกายก็คือการสัมผัสถึงแสงต้นกำเนิดแห่งชีวิตที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของร่างกายให้ได้ การปลุกแสงต้นกำเนิดนั้น จะทำให้เจ้าตัวสามารถสื่อสารกับสวรรค์และปฐพี และ ดูดซับพลังปราณฟ้าดินสำหรับใช้งานสำหรับตัวเองได้

ไป๋ตงหลิน ได้ทำความเข้าใจ และ จุ่มจิตวิญญาณของเขาเข้าไปยังสถานที่ลึกลับภายในร่างกาย เขาไม่รู้ว่าสถานที่มืดมิดภายในร่างกายเช่นนี้ เป็นเพราะนี่เป็นครั้งแรกของเขา  หรือว่า ภูมิหลังร่างกายของเขานั้นลึกล้ำมากเกินไป

ทว่า ทุกอย่างก็ดูราบรื่นมาก เขาสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่ร้อนระลุในทันที

เปลวไฟสีขาวที่ส่องระยิบระยับ ได้ประทับอยู่ในร่างของ ไป๋ตงหลิน

นี่คือต้นกำเนิดแห่งชีวิตของฉันงั้นหรือไม่?

เขารู้สึกว่าตนเองไม่ได้ถูกขวางกั้นจากสวรรค์และปฐพีอีกแล้ว หัวใจของเขาได้สอดคล้องกับโลกใบนี้ และ ไป๋ตงหลิน ก็มีความปราถนาที่อยากจะหลั่งน้ำตา ความรู้สึกที่อบอุ่นเช่นนี้ คล้ายกับว่าเขากำลังอยู่ในอ้อมกอดของมารดก

เขาค่อย ๆ ปรับอารมณ์ให้สงบและเริ่มฝึกฝนเพื่อดูดซับพลังงานฟ้าดิน แน่นอนว่า พลังงานฟ้าดินเหล่านี้ค่อนข้างเชื่องเป็นอย่างยิ่ง มันได้ถูกดูดซับเข้าสู่ร่างกายของเขาโดยตรง

ทุกเซลล์ภายในร่างกายของ ไป๋ตงหลิน ดูเหมือนจะกระหายน้ำเป็นอย่างมาก มันได้ดูดซับพลังงานฟ้าดินเหล่านี้อย่างบ้าคลั่ง

ไป๋ตงหลิน ได้อาศัยการพัฒนาร่างกายโดยการสร้างพื้นฐานให้กับร่างกายของเขามาตั้งแต่ต้นจนจบ ก่อนเขาจะปลุกต้นกำเนิดแสงแห่งชีวิตได้ เขาก็ใช้หมัดเจ็ดหนองน้ำในการดูดซับกลิ่นอายพลังฟ้าดินมาโดยตลอด เพียงแต่ เซลล์ของเขาไม่สามารถดูดซับร่องรอยของพลังเหล่านั้นได้

และด้วยร่างกายที่แข็งแกร่งของเขาที่มาจากการเสริมพลังนับครั้งไม่ถ้วน ทำให้ทุกเซลล์ของเขาล้วนทรงพลัง และ ดูหิวกระหายมากในเวลานี้

ด้วยการเคลื่อนไหวของเขา ทุกเซลล์ของเขาได้ดูดซับพลังงานฟ้าดินอย่างต่อเนื่อง ไป๋ตงหลิน ได้นั่งขไว่ห้าง และ สังเกตุมองดู เขาได้ปล่อยให้ พลังทางจิตวิญญาณของเขาดูดซับมันด้วย ทันใดนั้น กระแสน้ำวนปราณ ก็ค่อย ๆ ปรากฏตัวขึ้นเหนือศีรษะของเขา

เนื่องจากแต่ละเซลล์ของเขาเต็มไปด้วยพลังปราณ ความแข็งแกร่งของ ไป๋ตงหลิน จึงได้พุ่งทะยานในทันที

พละกำลังของเขาได้ทะลวงจาก 110,000 - 120,000 จนกระทั่ง 130,000 หลังจากนั้น เซลล์ของเขาก็เริ่มหยุดดูดซับ ดูเหมือนว่าขั้นตอนเริ่มต้นจะสิ้นสุดลงแล้ว

อีกอย่างคุณจะต้องรู้ว่าร่างกายทั่วไปนั้นแม้จะฝึกฝนจนสมบูรณ์ก็มีพละกำลังความแข็งแกร่งเพียงแค่ 2-3 พันจินเท่านั้น แต่ด้วยการเสริมแกร่งร่างกายของเขา และ การดูดซับพลังปราณทำให้เขามีพละกำลังมากกว่า 100,000 จิน

การฝึกฝนขั้นแรกถือว่าประสบความสำเร็จ ไป๋ตงหลิน ไม่ได้หยุดลง เขาได้ฝืนตีเหล็กในขณะที่มันกำลังร้อน และ ตระหนักถึงขั้นที่สองสำหรับการฝึกฝน สองขั้นแรกถือเป็นการฝึกฝนที่เป็นขั้นพื้นฐาน ด้วยภูมิหลังของร่างกายที่ลึกล้ำของเขา เขาย่อมประสบความสำเร็จได้โดยง่าย

ขั้นที่สองของการฝึกฝนก็คือ อาณาจักรโลหิต เขาจะต้องสร้างตันเถียนที่เป็นสถานที่ฝึกฝนลักษณะทางกายภาพขึ้นมา

โดยปกติแล้ว ตันเถียนพลังปราณ จะตั้งอยู่บนช่วงท้องล่างใต้สะดือ หรือที่เรียกว่าจุด ‘ชี่ไห่ ที่นี่คือ แหล่งกักเก็บพลังที่แท้จริง หลังจากที่ร่างกายดูดซับกลิ่นอายพลังงานฟ้าดินเข้ามา มันจะทำหน้าที่เป็นแหล่งกักเก็บไว้คอยเติมพลังให้กับร่างกาย

สำหรับตันเถียนการฝึกฝนร่างกายก็คือ จงตันเถียน มันตั้งอยู่ที่จุดฝังเข็ม ‘ถานจง’ บนหน้าอก หรือที่เรียกกันว่า ตันเถียนทะเลโลหิต การฝึกฝนร่างกาย ก็คือการปลุกแสงสว่างของต้นกำเนิดพลังแห่งชีวิตเพื่อมาดูดซับพลังงานฟ้าดิน จากนั้น ก็ปรับแต่งพลังงานเหล่านั้นให้กลายเป็น โลหิต ซึ่งโลหิตเหล่านี้จะถูกเรียกว่า ‘โลหิตพลังหยวน’ สิ่งนี้ จะคอยถูกกักเก็บไว้ในตันเถียนทะเลโลหิต ไว้เป็นแหล่งพลังสำหรับการฝึกฝน

สิ่งนี้คล้ายกับทะเลจิตวิญญาณ ตรงกลางศีรษะ หรือก็คือ ‘หลิงไท่’ ที่เป็นที่อยู่อาศัยของจิตวิญญาณ

ไป๋ตงหลิน ได้ระดัมพลังปราณและโลหิตทั้งหมด ให้ไปถึงจุดฝังเข็ม ถานจง เขาไม่ได้เริ่มทะลุทะลวงในทันที เพียงแต่คอยสะสมพลังปราณและโลหิตอย่างช้า ๆ เพราะเขาต้องการเปิดจุดตันเถียนทะเลโลหิตออกในคราวเดียว

ในเวลานี้ โลหิตทั้งร่างของเขาได้บีบตัว จนมีขนาดเท่ากับเข็ม จากนั้นเขาก็ค่อย ๆ จิ้มเข้าไปที่ จุดถานจง อย่างช้า ๆ และปราณีต

กึก—

ไป๋ตงหลิน รู้สึกได้ถึงเสียงฟ้าร้องในใจของเขา!

ในที่สุด เขาก็เจาะทะลุผ่านจุดฝังเข็ม ‘ถานจง’ และ สร้างตันเถียนทะเลโลหิตขึ้นมาได้สำเร็จ

นี่คือความมหัศจรรย์ของการฝังเข็ม ตันเถียน

ในขณะที่ ทะเลโลหิต ถูกเปิดออก ดวงตาของทะเลโลหิตก็พ่นโลหิตออกมาอย่างไม่รู้จบ มันคล้ายกับกระแสพลังปราณขนาดใหญ่ที่ก่อตัวขึ้นในทะเลโลหิต และ คอยดูดซับรัศมีกลิ่นอายพลังฟ้าดิน

นอกป่าทึบ.

ในขณะที่ ไป๋ตงหลิน ประสบความสำเร็จในการเปิดทะเลโลหิต เปลวไฟสีแดงก็ปกคลุมพื้นที่โลกแห่งนี้ในทันที มีนิมิตนับไม่ถ้วนได้โหมกระหน่ำและร่วงหล่นใส่เปลวไฟสีแดงแห่งนี้

กระแสน้ำวนปราณ ที่ก่อตัวขึ้นเหนือศีรษะของ ไป๋ตงหลิน ได้กลายเป็นใหญ่มากขึ้นเรื่อย ๆ และ ทันใดนั้น กระแสน้ำวนปราณที่ก่อตัวขึ้นในร่างกายของเขา ก็แผ่ขยายไปไกลหลายพันลี้ในทันที

การเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ภายในป่าโลกแห่งหลักจารึก ทำให้ เหล่าผู้พิทักษ์ หลายคนรู้สึกตกใจ หลายคนได้หันไปมองยังตำแหน่งที่ ไป๋ตงหลิน นั่งไขว่ห้างอยู่

ในเวลานี้ ความคิดหลายอย่างได้ปะทะกันอยู่ในอากาศอย่างรุนแรง

“ทะเลโลหิตพันลี้ นี่คือทะเลโลหิตไร้ขอบเขต!”

“วิเศษมาก!”

“เขาเป็นอัจฉริยะไร้ทัดเทียมมิผิดแน่!”

“ดูเหมือนว่านิกายของเราจะมีสัตว์ประหลาดอัจฉริยะปรากฏตัวขึ้นแล้ว!”

หลังจากแลกเปลี่ยนกันสั้น ๆ เหล่าผู้พิทักษ์หลายคนก็เงียบลงและมองไปที่ ไป๋ตงหลิน อย่างเงียบ ๆ

ในทะเลโลหิตไร้ขอบเขต พลังปราณและโลหิตจำนวนมากได้พุ่งออกมาอย่างต่อเนื่อง เพราะภูมิหลังทางร่างกายของ ไป๋ตงหลิน นั้นลึกกเกินไป ทำให้ ทะเลโลหิตนี้ดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด

กลิ่นอายพลังฟ้าดินขนาดใหญ่ ได้ถูกดูดซับเข้าไปในทะเลโลหิตอย่างดุเดือด และ แปรเปลี่ยนเป็น ‘โลหิตหยาง’ กระจายไปทั่วร่าง

ทั้งร่างกายและทะเลโลหิตได้ผสานกันเป็นหนึ่งเดียว สิ่งนี้ทำให้ โลหิตหยาง ได้ปรับปต่งร่างกายของเขา กระทั่ง หลอมรวมเข้ากับ โลหิตธรรมดาภายในร่างกายของเขา สิ่งนี้ทำให้ ไป๋ตงหลิน รู้สึกว่าการทำงานของร่างกายของเขาดีขึ้นมาก

เมื่อการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้สิ้นสุดลง กระแสน้ำวนปราณเหนือศีรษะของเขาก็ค่อย ๆ สลายหายไป แม้แต่ ทะเลโลหิตพันลี้ ก็หายไปเช่นเดียวกัน

ไป๋ตงหลิน ได้ฟื้นคืนสติกลับมา ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกว่าตนเองได้พัฒนาความแข็งแกร่งขึ้นอีกครั้ง

คราวนี้ ร่างกายของเขาได้สะสมพลังอย่างเต็มที่ ทำให้ในการบุกทะลวงครั้งต่อไป เขาสามารถทำได้ง่ายมากยิ่งขึ้น

หลังจากมองไปยังพื้นที่โดยรอบและตรวจสอบเวลา ไป๋ตงหลิน ก็พบว่า เวลาในการสืบทอดมรดกทักษะใกล้จะหมดลงแล้ว

ในความว่างเปล่า เหล่าจิตของผู้พิทักษ์หลายคนยังคงปะทะกันอย่างรุนแรง

“เราควรแจ้งนิกายเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่?”

“ไม่จำเป็น ผู้พิทักษ์เช่นพวกเรามีหน้าที่ปกป้องโลกแห่งหลักจารึกไปตลอดชีวิต และ เราไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องภายนอกได้!”

“ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามกฏของนิกายศักดิ์สิทธิ์!”

“แต่…”

“ไม่มีแต่ ใช่ว่าพวกเราจะไม่เคยเห็นอัจฉริยะเช่นนี้มาก่อน ทว่ากฏไม่อาจถูกทำลายได้ ดังนั้นครั้งนี้ พวกเราก็ไม่สามารถแหกกฏได้”

“ยิ่งไปกว่านั้น อัจฉริยะที่แท้จริงจะสามารถเติบโตและแข็งแกร่งขึ้นได้โดยปราศจากการแทรกแซงจากผู้อื่น”

“ถ้าเกิดเขาตายบนเส้นทางแห่งการเติบโต แสดงว่าเขาก็ไม่นับว่ามีอะไร”

“เข้าใจแล้ว”

ส่วนหนึ่งของเหล่าผู้พิทักษ์ได้กล่าวประนีประนอม จนทำให้ พวกเขาหยุดโต้เถียงกัน

ในเวลานี้ ก็ครบกำหนด 6 ชั่วยามแล้ว และ สร้อยข้อมือจี้เต๋า ก็ได้เรืองแสงสีแดงออกมา

ไป๋ตงหลิน ได้ยกมือขึ้น และ เปิดประตูแสง เขาได้จากไปอย่างรวดเร็ว เพราะหากเขาล่าช้า เขาจะถูกหักแต้มคะแนนไป 1,000

ดังนั้น เขาจึงก้าวข้ามประตูแสงและกลับไปยังที่พำนักทันที

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด