STBI : ตอนที่ 41 แดนศักดิ์สิทธิ์
ที่แท้ก็ดินแดนรกร้างจริงๆ
ฟู่ว—
ไป๋ตงหลิน ถอนหายใจออกมา เขาตัดสินใจที่จะละเว้นแท่นหินนั่นสักครั้ง แม้ว่าวิธีการจะค่อนข้างงุ่มง่ามไปหน่อย แต่เขาก็โชคดีถูกส่งตัวมาที่ดินแดนรกร้างจนได้
อันตรายตามเส้นทางสายนี้ทำให้เขารู้สึกสับสน หากปล่อยให้เขาข้ามผ่านอาณาเขตเล่ยเจ๋อ ที่กว้างใหญ่มาด้วยตัวเอง ไม่รู้ว่าเขาจะต้องพบเจอกับสิ่งใดบ้าง
แต่ทว่า เขากลับมาที่นี่ ด้วยการเผชิญหน้ากับอันตรายเพียงครั้งเดียว ตราบใดที่เขาค้นพบนิกายบ่มเพาะพลังกายที่แข็งแกร่งและเข้าร่วมเท่านี้ก็ถือเป็นอันสิ้นสุดเป้าหมายแรกของเขาแล้ว
ดังนั้น ไป๋ตงหลิน จึงยิ้มและแสดงความอ่อนโยนออกมา :
“ข้าใคร่สงสัยว่านิกายที่ทรงอำนาจมากที่สุดในดินแดนรกร้างคือนิกายใด?”
“หือ…หรือว่าผู้อาวุโสไป๋ไม่ใช่คนจากดินแดนรกร้างงั้นหรือ?”
หากเป็นคนที่อยู่ในดินแดนรกร้างไม่มีทางที่จะไม่รู้จักชื่อเสียงของนิกายที่มีอำนาจ ดังนั้น พวกเขาจึงรู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก
“อันที่จริงข้ามาจากดินแดนอันห่างไกลในพื้นที่เบื้องล่าง ข้าได้ตัดสินใจเดินทางมาที่ดินแดนรกร้างแห่งนี้เพื่อมองหานิกายที่ทรงพลังเพื่อฝึกฝนทักษะบ่มเพาะพลังกาย”
ทุกคนได้แสดงสีหน้าที่ตกตะลึงออกมา เป็นไปตามที่พวกเขาคาดไว้ ด้วยความแข็งแกร่งของอาวุโสไป๋ ไม่มีทางที่จะไม่รู้สามัญสำนึกเช่นนี้ ดังนั้นทุกคนจึงเริ่มอธิบายให้ ไป๋ตงหลิน ฟัง
ดินแดนรกร้างรวมถึงอาณาจักรหลายสิบแห่งโดยรอบนั้นเป็นโลกแห่งการบ่มเพาะพลัง โดย อาณาจักรมากมายเหล่านี้ถูกแบ่งและปกครองโดยดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการบ่มเพาะพลังกาย 2 แห่ง
แดนศักดิ์สิทธิ์จี้เต๋า และ นิกายฝึกฝนการบ่มเพาะพลังกายแห่งใหม่อย่าง ‘นิกายโลหิตคุณธรรม’ ว่ากันว่าเมื่อนานมาแล้ว ทั้งสองนิกายเดิมเคยเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่ต่อมา ได้แยกตัวออกห่างเพราะความคิดขัดแย้งภายในนิกาย ดังนั้นพวกเขาจึงได้แบ่งออกเป็นสองฝ่าย
ทั้งสองนิกายล้วนไม่ชอบพอกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ และ พวกเขาทั้งสองต่างเชื่อมั่นว่าตนเองเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุดสำหรับการฝึกฝนทักษะบ่มเพาะพลังกาย
จนถึงตอนนี้ ทั้งสองนิกายได้ครอบครองดินแดนหลายสิบแห่ง พวกเขาทั้งคู่ยังคงทัดเทียมกันมาจนถึงปัจจุบันนี้
นอกเหนือจากแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองแล้ว ก็ยังมีนิกายเต๋าอีกจำนวนมากในดินแดนรกร้างแห่งนี้ ทั้งใหญ่และเล็ก จำนวนมาก ซึ่งพวกเขาเองก็มีอิทธิพลที่ไม่อาจมองข้ามได้
ส่วนนิกายกระดูกเหล็กนี้เป็นเพียงหนึ่งในนิกายเล็กๆ เท่านั้น
ดวงตาของ ไป๋ตงหลิน ได้เป็นประกายในทันที นี่เป็นดินแดนสำหรับผู้บ่มเพาะพลังกายอย่างแท้จริง ในที่แห่งนี้ แน่นอนว่าเขาย่อมตัดสินใจที่จะเข้าร่วมกับนิกายที่แข็งแกร่งที่สุด
เฉพาะนิกายที่มีอำนาจเท่านั้นที่จะทุ่มทรัพยากรบ่มเพาะพลัง รวมถึง พลังเหนือธรรมชาติ และ ทักษะวรยุทธ์มากมาย ให้เขาได้ หากได้รับการสนับสนุนจากต้นไม้ใหญ่เหล่านี้ เขาก็จะเพลิดเพลินไปกับความสุขบนเส้นทางแห่งการบ่มเพาะพลัง
สำหรับนิกายที่ ไป๋ตงหลิน ตัดสินใจก็คือ นิกายศักดิ์สิทธิ์จี้เต๋า ที่แห่งนี้กำลังจะจัดพิธีรวมตัวทุก ๆ 20 ปี
คนเหล่านี้ กำลังมุ่งหน้าไปที่เมืองหลักเพื่อเข้าร่วมการทดสอบของนิกายจี้เต๋า
นอกเหนือจากข้อมูลเหล่านี้แล้ว เขายังได้รู้ข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับนิกายของพี่รองของเขา นั่นก็คือ นิกายกระบี่ซวนเยว่
ปรากฏว่านิกายเหล่านี้ถูกเรียกว่า ‘ดวงตา’ ในโลกแห่งการบ่มเพาะพลัง เป็นดวงตาของนิกายหลัก และ แดนศักดิ์สิทธิ์ ความหมายเดียวในการดำรงอยู่ของพวกเขาก็คือ การมองหาเหล่าคนที่มีพรสวรรค์สำหรับผู้อยู่เบื้องหลังของพวกเขา
ดวงตาประเภทนี้ได้ถูกวางกระจัดกระจายไปทั่วอาณาจักรหลักทั้งหมด
เช่นเดียวกับ ดินแดนรกร้างแห่งนี้ ที่นี่ก็มีเหล่าดวงตามากมายคอยจับจ้อง เพื่อมองหาอัจฉริยะสำหรับนิกายที่ทรงพลัง
ดังนั้นเหล่านิกายระดับสูงอย่าง นิกายบ่มเพาะพลังปราณ และ นิกายบ่มเพาะพลังกาย ล้วนมีข้อตกลงระหว่างกันและกัน โดยพวกเขาจะไม่มีทางขัดแย้งกันในเรื่องพื้นฐาน
เหล่านิกายบ่มเพาะพลังปราณพวกเขาจะให้ความสำคัญกับพรสวรรค์ทางจิตวิญญาณ ในขณะที่นิกายบ่มเพาะพลังกายจะให้ความสนใจเกี่ยวกับความสามารถทางกายภาพ ซึ่งแน่นอนว่าหากมีความขัดแย้งระหว่างกันเกิดขึ้นจริง พวกเขาจะพึ่งพาวิธีการของตนเอง
เพียงแต่น่าเสียดายหลังจากเวลาผ่านไป ก็เริ่มมีผู้คนที่ฝึกฝนการบ่มเพาะพลังกายน้อยกว่าการฝึกฝนพลังปราณ แต่ละฝ่ายต่างพยายามอย่างหนักในการมองหาคนของตัวเอง
และนี่เป็นเหตุผลที่ว่านิกายเหล่านั้นไม่ได้ขัดขวางการพัฒนาของโลกธรรมดา เพราะจุดประสงค์หลักของพวกเขาก็คือการปลูกฝังอัจฉริยะ และ การถือกำเนิดขึ้นของผู้มีพรสวรรค์
ตราบใดที่ไม่มีความโกลาหลขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นในโลกธรรมดา พวกเขาก็จะไม่เข้าไปแทรกแซง ความโกลาหลขนาดใหญ่นี้หมายถึงการเสียชีวิตของคนจำนวนมาก แม้ว่าสัก 100 ล้านคนจะให้กำเนิดอัจฉริยะไร้เทียมทานขึ้นมา พวกเขาก็ไม่มีทางที่จะยอมรับความสูญเสียนี้ ดังนั้นหากมีความโกลาหลเกิดขึ้นจริงพวกเขาก็จะไม่อยู่เฉย
ดังนั้นทั่วโลกในปัจจุบันจึงให้ความสำคัญกับพรสวรรค์เป็นอันดับแรก
บางคนก็รู้สึกหมดหวังกับความไร้พรสวรรค์ด้านจิตวิญญาณและเดินทางมาที่ดินแดนรกร้างแห่งนี้ก็มี
จากมุมมองของ ไป๋ตงหลิน แนวคิดเหล่านี้ เป็นแนวคิดที่วิเศษมาก เพราะทุกคนต่างให้ความสำคัญกับด้านที่ตัวเองถนัด
จิตใจของ ไป๋ตงหลิน ได้เปลี่ยนไป เขาเริ่มมีความเข้าใจเกี่ยวกับโลกเฉียนหยวนแห่งนี้มากยิ่งขึ้น
กึก—
ขณะที่กองไฟกำลังลุกโชติช่วง เหล่านักพรตเต๋าที่ฟื้นฟูอาการบาดเจ็บเสร็จ พวกเขาก็ได้นอนหลับพักผ่อน สำหรับ ไป๋ตงหลิน เขานั่งมองดูกองไฟที่กำลังลุกไหม้อย่างต่อเนื่อง
หลังจากได้สนทนากับทุกคนแล้ว เขาก็ตัดสินใจที่จะไปที่เมืองหลักของพื้นที่แห่งนี้เพื่อเข้าร่วมการประเมิน ไป๋ตงหลิน มั่นใจว่าเขาสามารถผ่านการทดสอบได้อย่างไม่ยากเย็นอะไร
ด้วยการพลิกฟื้นที่แข็งแกร่งของเขา เขาเชื่อมั่นว่าตนเองมีร่างกายที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าร่างศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น
นิกายจี้เต๋า นี่คือก้าวแรกสู่เส้นทางอันยิ่งใหญ่ของเขา จะไม่มีอะไรมาหยุดยั้งความตั้งใจของเขาได้
หลังจากกดระลอกคลื่นในใจ ไป๋ตงหลิน ก็ล้มตัวลงนอนเพื่อพักผ่อน จากนั้นเขาก็นึกถึงสิ่งที่เขาได้รับจากพระราชวังชาไห่
เขาได้นำหลอดหยกสีดำออกมา นี่คือพลังเหนือธรรมชาติ เนตรจิตวิญญาณ เขาได้วางหลอดหยกบนหน้าผาก ด้วยความตั้งใจ หลังจากนั้นไม่นาน ไป๋ตงหลิน ก็ดึงหลอดหยกออกด้วยความเสียใจ
ในการฝึกฝนพลังเหนือธรรมชาตินี้ อย่างน้อยเขาจะต้องเรียนรู้เกี่ยวกับวิธีการควบคุมพลังเสียก่อน ซึ่ง เขายังไม่ได้เริ่มฝึกฝนอย่างเป็นระบบระเบียบ อีกทั้งยังไม่ชัดเจนเกี่ยวกับการแบ่งขั้นพลังของโลกแห่งการบ่มเพาะพลัง
หลังจากหยุดคิดเสร็จ เขาก็หยิบ เมล็ดพันธุ์ลึกลับออกมา ภายใต้การแนะนำพื้นฐาน นี่คือเมล็ดพันธุ์ที่ไม่เป็นที่รู้จัก
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเมล็ดพันธุ์นี้มีคุณสมบัติอะไร ในความเห็นของ ไป๋ตงหลิน สิ่งนี้ไม่ควรจะใช่บางสิ่งที่เรียบง่าย เพราะ แสงสีม่วงทองของมันค่อนข้างดูสวยงามมากทีเดียว เขาหวังว่ามันคงจะไม่ใช่เมล็ดมันฝรั่ง หรือ มะเขือเทศหรอกนะ?
หลังจากยิ้มเล็กน้อย เขาก็พยายาม กรีดนิ้วตัวเองในทันที
หลังจากนั้นก็หยดโลหิตของเขาลงไปบนเมล็ดพันธุ์ลึกลับอันนี้
ผ่านไปครู่นึง ไป๋ตงหลิน ประเมินว่าตัวเองได้สูญเสียโลหิตไปมากกว่า 500 มล. และ เมล็ดพันธุ์ก็หยุดดูดซับ ราวกับว่ามันอิ่มแล้ว ทันใดนั้น เมล็ดพันธุ์นี้ก็เรืองแสงสีม่วงเล็กน้อย จากนั้นมันก็หวนคืนสู่สภาพเดิม
ไป๋ตงหลิน ได้สั่นศีรษะ ดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่เรื่องง่ายในการบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์นี้ในชั่วข้ามคืน
นอกจากของสองสิ่งนี้แล้ว สิ่งที่ได้รับจากพระราชวังชาไห่ ก็ยังมี โอสถสวรรค์สี่ลักษณ์ และ ป้ายทองเหลือง ทั้งสองสิ่งนี้มีค่าเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าตอนนี้มันจะไม่มีประโยชน์สำหรับเขา แต่เขาก็จะเก็บมันไว้ใช้เป็นอย่างดีภายหลัง
อีกทั้ง เขายังมีสิ่งของมากกว่า 200 รายการที่ได้รับมาจาก กล่องสุ่มด้านหน้าพระราชวัง สมบัติเหล่านั้นเองก็ไม่ได้ย่ำแย่ นอกจาก ศิลาเพลิงแดง ที่เคยช่วยชีวิตเขาไว้ สิ่งของเหล่านี้ก็ยังมีประโยชน์อย่างมาก
หลังจากตรวจสอบทุกอย่างแล้ว ไป๋ตงหลิน ก็ง่วงนอน เขาได้นอนอยู่บนพื้นและเริ่มหลับตาลง
กึก—
เสียงของกองไฟได้ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง และ ประกายไฟเล็ก ๆ ก็ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า
สิ่งนี้คล้ายกับหิ่งห้อย และ มันก็ลอยไปไกลเรื่อย ๆ