STBI : ตอนที่ 39 เจตจำนงค์อันแรงกล้า
พลังเหนือธรรมชาติ—
ว่ากันว่านี่เป็นเทคนิคลับเฉพาะของการบ่มเพาะพลังกาย โดยเฉพาะพลังเหนือธรรมชาติประเภทจิตวิญญาณ สิ่งนี้มีค่าเป็นอย่างยิ่ง
ไป๋ตงหลิน ไม่มีเวลาคิดเรื่องนี้ เพราะกลัวคนอื่นจะขึ้นไปก่อน ดังนั้นเขาจึงใช้วรยุทธ์ของเขาพุ่งออกไปโดยทิ้งภาพค้างติดตาไว้เบื้องหลัง
เมื่อระลอกคลื่นปรากฏขึ้น ร่างของเขาก็หายไป
ไป๋ตงหลิน รู้สึกเหมือนกับว่าเขาได้ผ่านชั้นฟองสบู่และมาปรากฏตัวขึ้นในพื้นที่สลัว
ตรงกลางของพื้นที่มีโต๊ะหินขนาดใหญ่ โดย บนโต๊ะหิน มีลูกบอลไฟสองลูกแขวนเอาไว้ แต่ละลูกเองก็มีลักษณะเฉพาะของมัน
หนึ่งคือ ‘โชค’ และ อีกอันคือ ‘พลัง’
ไป๋ตงหลิน จ้องมองไปที่ บูกบอลแสงทั้งสอง โดยมีข้อมูลไหลเข้ามาในหัวของเขา ปรากฏว่า มีสองวิธีที่จะท้าทาย ด่านนี้ หนึ่งคือการทดสอบโชค และ อีกนึงคือการทดสอบพลังการต่อสู้ ซึ่งเขาสามารถเลือกวิธีใดก็ได้ตามใจชอบ เพื่อรับรางวัลจากการผ่านด่าน
หากเลือก ‘โชค’ จะมีแก้วไวน์ 10 แก้วที่มีลักษณะเหมือนกันทุกประการ ซึ่งแก้วไวน์เหล่านี้จะเป็นไวน์พิษที่สามารถฆ่าตนเองได้ ตราบใดที่เลือกแก้วไวน์ที่ถูกต้องและไม่มีพิษ การท้าทายก็จะประสบความสำเร็จ แน่นอนว่าหากเลือกผิดจะต้องถูกพิษฆ่าตายและล้มเหลว
หากเลือก ‘พลัง’ ก็จะมี เหล่านักพรตเต๋าในระดับพลังขั้นเดียวกันนับร้อยปรากฏตัวออกมา
ไป๋ตงหลิน ยิ้มออกมาเล็กน้อย เขาไม่ได้คาดหวังเลยว่าพระราชวังที่สมบูรณ์เช่นนี้แท้จริงแล้วจะกลายเป็นสถานที่ทดสอบแบบนี้
ดังนั้นเขาจึงรู้สึกสงสัยว่า ผู้เฒ่าหลิว ผ่านการท้าทายความยากลำบากเช่นนี้ได้อย่างไร? หรือว่าความยากในการท้าทายจะขึ้นอยู่กับของรางวัลในด่านนั้น?
อีกอย่าง ดูเหมือนว่า พลังเหนือธรรมชาตินี้จะล้ำค่ากว่าโลหิตมังกรมาก! ไม่ใช่ว่าเขาดูถูกผู้เฒ่าหลิว แต่ความท้าทายที่ยากลำบากเช่นนี้ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่คนธรรมดาจะผ่านพ้นไปได้อย่างง่ายดาย
ทางเลือกแรกคือการเผชิญหน้ากับโชค โดยมีทางรอดแค่ 1 ใน 10 ส่วนอีกทางเลือกนึงคือการเผชิญหน้ากับศัตรูนับร้อยคน!
ไป๋ตงหลิน มีความมั่นใจที่จะเผชิญหน้ากับนักพรตเต๋านับร้อยคนที่มีระดับขั้นพลังเดียวกันและชนะการต่อสู้ เพราะเขาเป็นอมตะและมีร่างกายที่ไม่เกรงกลัวอาการบาดเจ็บ แต่สิ่งที่เขาเบื่อมากที่สุดก็คือการเบื่อหน่ายจากการต่อสู้กับคนจำนวนมาก
เขามีความมั่นใจที่จะชนะได้แต่เขาไม่จำเป็นจะต้องเลือก
ดังนั้นเขาจึงได้เลือกโอกาส 1 ใน 10 ซึ่งมันประหยัดแรงมากกว่า เขาได้เอื้อมมือออกไปคว้าบอลแสงคำว่า ‘โชค’ ทันที
บอลแสง ได้แตกสลายทันทีที่สัมผัส ทันใดนั้น คำว่า ‘โชค’ ก็กลายเป็นคบไฟ และหายไป แม้แต่ ลูกบอลไฟอีกดวงก็หายไปด้วย
จากนั้นก็มีแสงสว่างปรากฏขึ้นบนโต๊ะหิน พร้อมกับการปรากฏขึ้นของ ถ้วยหยกสีขาวนับ 10 แก้ว ซึ่งทั้งหมดเต็มไปด้วยเครื่องดื่มที่ใสแจ่ว
ไป๋ตงหลิน ได้สังเกตุอย่างระวัง ทุกสิ่งอย่างล้วนเหมือนกันทุกประการ ไม่ว่าจะเป็น สีหรือกลิ่น เขาทำได้เพียงอาศัยแค่โชคเพียงเท่านั้น
“ตราบใดที่สามารถดื่มไวน์ปลอดพิษได้ ฉันก็จะผ่านการท้าทายใช่หรือไม่?”
ไป๋ตงหลิน หัวเราะเบา ๆ จากนั้นเขาก็หยิบชามเหล็กออกมาจากแหวนมิติ
เขาได้วางชามลงบนโต๊ะ พร้อมกับเทไวน์ทั้ง 10 แก้วลงไปในชาม การถูกพิษทีละแก้วนั้นจะทำให้รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าว ดังนั้นเขาจึงตั้งใจจะทำมันในคราวเดียว
ไป๋ตงหลิน ได้หยิบชามเหล็กขึ้นและดื่มมันโดยไม่ลังเล
“รสชาติดี!”
ก่อนที่คำพูดของเขาจะหมดลง ทั่วทั้งร่างของเขาก็กลายเป็นความว่างเปล่า กระทั่งลมหายใจของเขา ก็ปรากฏความแผ่วเบา
“มารดามันเถอะ! พิษนี่จะรุนแรงเกินไปไหม เจ้าสิ่งนี้สามารถทำให้คนผู้นึงสามารถกลายเป็นความว่างเปล่าได้โดยตรง ร่างกายของฉันร้อนรุ่มราวกับว่าเสื้อผ้าจะสามารถละลายได้เลย”
ไป๋ตงหลิน ได้มองไปที่ แหวนมิติ อย่างรวดเร็ว โชคดีที่วัสดุของแหวนมิตินี้ขึ้นชื่อเรื่องความแข็งแรงทนทาน อีกอย่าง ไวน์พิษนี้ก็พุ่งเป้าไปที่ร่างกายของมนุษย์เป็นหลัก ดังนั้นมันจึงไม่ทำอันตรายต่อสิ่งของภายนอก
ทันใดนั้นคลื่นความผันผวนก็ปรากฏขึ้นในพื้นที่สลัวราวกับว่ามันกำลังยืนยันอะไรบางอย่าง
จากนั้นคลื่นก็กวาดผ่านร่างของ ไป๋ตงหลิน จนอีกฝ่ายหายตัวไป
ในพื้นที่ลานขนาดใหญ่ ร่างของ ไป๋ตงหลิน ที่ไม่ได้รับบาดเจ็บได้ปรากฏตัวขึ้นอย่างกระทันหันพร้อมกับมี หลอดหยกสีดำ ลอยเข้ามาหาโดยอัตโนมัติ
ไป๋ตงหลิน รับมันมาอย่างตื่นเต้น สิ่งนี้คือวิธีการฝึกฝนพลังเหนือธรรมชาติ เนตรจิตวิญญาณ ครั้งนี้ถือว่าเขาได้กำไรมากมาย
เขาได้ใส่หลอดหยกเข้าไปในแหวนมิติ โดยไม่สนใจสายตาที่ดูตกใจของทุกคนที่อยู่บนอัฒจันทร์ จากนั้นเขาก็กระโดดขึ้นไปข้างบน
การท้าทายนี้สามารถทำได้เพียง 1 ครั้งต่อคน และ มันไม่มีประโยชน์ที่เขาจะรั้งอยู่ที่นี่ ดังนั้นเขาจึงได้เดินไปยังสถานที่ต่อไป เพื่อมองหาการท้าทายต่อ หรือ หาทางออกไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุด
…
ทันทีที่ ไป๋ตงหลิน ข้ามผ่านพื้นที่แสงสว่างด้านหน้ามา การมองเห็นของเขาก็เริ่มปรากฏขึ้นอีกครั้ง เขาได้มาปรากฏตัวขึ้นในห้องที่เต็มไปด้วยความหนาวเย็น
ในเวลานี้ เขาได้กางฝ่ามือออกและคว้าจับหิมะที่โปรยลงมา พร้อมกับ สัมผัสความหนาวเย็นรอบตัวเขา ที่นี่ช่างเหมือนจริง คล้ายกับว่ามันคือโลกแห่งความเป็นจริง
บางทีพระราชวังชาไห่ แห่งนี้ อาจจะเกี่ยวข้องกับ สวรรค์ทั้งเก้า ที่เป็นข่าวลือในตำนาน ดังนั้นที่นี่จึงมีโลกใบเล็กหลายใบซ่อนเอาไว้
ไป๋ตงหลิน ได้ถอนความคิด และ ทำตามคำแนะนำ โดยการเดินขึ้นไปที่ภูเขาสูงตระหง่านที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ ความท้าทายของโลกใบเล็กนี้คือการปีนขึ้นไปบนยอดเขา
สิ่งนี้ไม่ได้ดูยากเย็นอะไรเลย
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
หลังจากเดินไปถึงครึ่งทางบนภูเขา ไป๋ตงหลิน ก็หอบหายใจอย่างรุนแรง ผมและคิ้วของเขาปกคลุมไปด้วยชั้นนำแข็ง
“นี่มันบ้าอะไรเนี่ย! หนาวชะมัด!”
ไป๋ตงหลิน สั่นด้วยความหนาวเย็น โลหิตในร่างกายของเขาได้ไหลเวียนอย่างดุเดือด และ พยายามจะรักษาฐานต่ำสุดของร่างกายเอาไว้
เพราะหาก อุณหภูมิภายในร่างกายลดลงจนต่ำเกินไป มันจะทำให้ อวัยวะภายในเริ่มล้มเหลว และ เสียชีวิต
สถานที่แห่งนี้แปลกเกินไป ไม่รู้ว่าที่นี่หนาวแค่ไหน แต่มันไม่ง่ายเลยที่จะข้ามผ่านโลกที่หนาวเย็นแห่งนี้ ที่นี่ไม่ใช่อุณหภูมิที่ต่ำตามธรรมชาติ มันจะต้องเป็นอุณหภูมิที่สร้างขึ้นจากข่ายอาคมอย่างแน่นอน
สิ่งเดียวที่ทำให้ ไป๋ตงหลิน ไม่ได้ตื่นตระหนก ก็เพราะ การพลิกฟื้นที่แข็งแกร่งของเขา
ความเสียหายจากอุณหภูมิของที่นี่ ได้สร้างบาดแผลภายในที่ทำให้ไม่ถึงตาย สิ่งเดียวที่ทำให้เขารู้สึกไม่ดีก็คือผลข้างเคียงด้านลบเหล่านั้น
หรือจะพูดให้ถูกก็คือ การกระทำทั้งหมดของเขาเริ่มเฉื่อยชา เขารู้สึกว่าสมองของเขากำลังหยุดนิ่งและความคิดของเขาได้ช้าลง
หลังจากพักสักครู่ ไป๋ตงหลิน ก็ยังคงปีนภูเขาต่อไป ภูเขานี้สูงชันมาก เขาต้องสอดมือเข้าไปในชั้นน้ำแข็งและปีนขึ้นไปทีละขั้น เหมือนกับการปีนหน้าผา
ในขณะที่เขาคืบคลานไปอย่างช้า ๆ ลมหนาวก็ได้พัดกรรโชกผ่านมาอีกครั้ง ไป๋ตงหลิน ได้นิ่งอยู่กับที่ ลมหนาวนี้แสดงให้เห็นถึงการเสียดแทงที่ทะลุไปถึงกระดูกและจิตวิญญาณของผู้คน
เขารู้สึกราวกับว่าจิตวิญญาณของเขากำลังถูกพัดพาไป
เผชิญหน้ากับลมหนาวนี้ ไป๋ตงหลิน รู้สึกว่าเขาไม่สามารถปีนขึ้นไปต่อได้
คล้ายกับว่า จิตสำนึกของเขากำลังได้ยินเสียงบางอย่าง เป็นเสียงที่ว่า ‘อย่าต่อต้าน’ พลังแห่งฟ้าดิน มิอาจต่อต้านได้
กึก!
รอยแตกได้ปรากฏขึ้นที่หูของเขา
เสียงรอยแตกนี้ได้ปลุก ไป๋ตงหลิน ให้ตื่นขึ้น โชคดีที่ เขามีจิตใจแน่วแน่ มิฉะนั้นก็คงคล้อยตามไป จนทำให้เขาจิตใจไม่มั่นคง และ ตัดสินใจยอมแพ้ในที่สุด
ไม่ว่าจะอย่างไร เขาก็ไม่สามารถตายได้ หากพ่ายแพ้ ก็แค่ต้องเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง หากไม่สามารถปีนขึ้นไปได้ในตอนนี้ ก็แค่ลองใหม่อีกครั้ง
ไป๋ตงหลิน ได้บังคับจิตวิญญาณของเขาและหยิบศิลาแดงเพลิงออกมาจากแหวนมิติ แสงของเปลวไฟบาง ๆ กำลังลุกไหม้อยู่บนพื้นผิวของมัน
เขาไม่รู้ว่าสิ่งนี้เป็น หินชนิดใด เพราะเขาได้มันมาจากกล่องสุ่มที่อยู่ด้านหน้าของพระราชวัง เขารู้เพียงแค่ว่าหินนี้สามารถปล่อยอุรหภูมิที่สูงออกมาได้
ไป๋ตงหลิน พยายามจะอ้าปากและกลืนหินนี้เข้าไปในท้องของเขา เพียงแต่เขาพบว่า ปากและคอของเขาเริ่มแข็ง ทำให้เขาไม่สามารถขยับกล้ามเนื้อทั่วร่างได้เลย
ในกระบวนการนี้ความคิดของเขาเริ่มช้าลง เขาพยายามครุ่นคิดอย่างหนักและหาทางหลุดออกจากสถานการณ์เลวร้ายนี้
ดังนั้น เขาจึงได้หยิบมีดสั้นออกมาจากแหวนมิติ
เขาถือมีดสั้นด้วยมือข้างเดียวและกรีดหน้าอกของตนเอง เพราะอุณหภูมิที่ต่ำ ทำให้การป้องกันของเขาจึงอ่อนแอลงมาก ดังนั้นเขาจึงสามารถกรีดหน้าอกของตนเองได้อย่างง่ายดาย
จากนั้นเขาก็กดศิลาสีแดงนี้เข้าไปที่หน้าอกและวางมันไว้ใกล้กับหัวใจของเขา ไม่นาน คลื่นความร้อนก็พุ่งเข้าสู่หัวใจ จนไหลผ่านโลหิตไปทั่วร่างกาย
อุณหภูมิของโลหิตของเขาค่อย ๆ เพิ่มสูงขึ้น จนทำให้ร่างกายของเขากลายเป็นอบอุ่นขึ้น
ฟู่วว—
ไป๋ตงหลิน ได้เปิดปากและถอนหายใจออกมา ในที่สุดเขาก็กลับมาเคลื่อนไหวได้อีกครั้ง หลังจากจะเกือบถูกแช่แข็งจนตาย
เขารู้สึกว่ามือของเขาได้ฟื้นคืนพละกำลังบางส่วน ทำให้เขาสามารถปีนขึ้นไปบนยอดเขาต่อได้
ในรอยฉีกขาดตรงหน้าอกของเขา แสงสีแดงได้ลุกวูบวาบในเวลานี้
เขาจะกลายเป็นมนุษย์เพลิงหรือไม่? หรือว่าจะกลายเป็นอุลตร้าแมนยักษ์ที่เปล่งแสง?
ไป๋ตงหลิน รู้สึกว่าตัวเขาเหมือนกับ อุลตร้าแมนยักษ์มากในตอนนี้ และ เขาจะไม่มีวันพ่ายแพ้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อตอนที่ไฟสีแดงตรงหน้าอกกระพริบวาบอยู่ เขาจะสามารถระเบิดพลังในตอนท้ายและเอาชนะศัตรูได้เสมอ
นี่คือเจตจำนงค์ที่ไม่ย่อท้อหรือยอมจำนน
เขาเกือบจะถูกหยุดยั้งโดยสถานการณ์ทั่วไปของโลก และ เกือบจะแข็งตายเพราะเผชิญหน้ากับอุณหภูมิที่ต่ำ ไม่เพียงแต่เขาจะไม่ยอมแพ้ เขากระทั่งคิดหาทางออกที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้จนหลุดพ้นสถานการณ์อันตรายออกมาได้
ด้วยความสามารถในการฟื้นตัวที่ยอดเยี่ยม และ เจตจำนงค์ที่ไม่ยอมแพ้ ควบคู่ไปกับความร้อนจากศิลาแดงเพลิง ไป๋ตงหลิน ได้พยายามปีนขึ้นไป จนในที่สุด เขาก็ขึ้นไปถึงยอดเขา
ไม่คิดเลยว่า อุณหภูมิบนยอดเขานั้นปกติมาก มันอบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิ
ไป๋ตงหลิน ได้ล้มตัวลงนอนอยู่บนพื้นและหอบหายใจออกมา อุณหภูมิในร่างกายของเขาค่อย ๆ กลับมาเป็นปกติ และ ความสามารถในการฟื้นตัวของเขาก็ค่อย ๆ ดีขึ้น
ประสาทสัมผัสทั้งหมดได้ฟื้นคืนกลับมา กระทั่งอวัยวะภายในของเขาที่ฟื้นฟูก็ได้บีบศิลาเพลิงแดง ออกมาจากร่างกาย
ภายในระยะเวลา 10 ลมหายใจ เขาได้ฟื้นคืนสถานะสูงสุดอีกครั้ง
ไป๋ตงหลิน ที่หายเป็นปกติ เขาได้ลุกขึ้นและมองไปยังพื้นที่โดยรอบ เขาพบว่ามีแท่นหินทรงกลมตั้งอยู่ตรงกลางของยอดเขาเล็ก ๆ แห่งนี้
บนแท่นหินสลักไปด้วยลวดลายบางอย่าง กระทั่งมีแสงไหลผ่านจำนวนนับไม่ถ้วน
แสงเหล่านั้นได้หมุนวนและร่ายรำอยู่บนแท่นหิน จนก่อตัวเป็นกระแสน้ำวนขนาดใหญ่ระหว่างแท่นหินกับผืนนภา
จากนั้นแสงสีขาวแพรวพราวก็ได้ฉายภาพบางอย่างขึ้นในเวลานี้