เกิดใหม่เป็นลิโป้ ตอนที่ 16
เกิดใหม่เป็นลิโป้ ตอนที่ 16
"เหวินโยว กองทัพของพวกเจ้าเมืองมีมาก ผู้คนในเมืองลั่วหยางเกิดความระส่ำระส่าย พอได้ยินว่าทัพพันธมิตรยกกำลังมา พวกขุนนางก็เริ่มเอาใจออกห่าง วางแผนลับหลัง ยิ่งกว่านั้นในกองทัพพันธมิตรยังมีแม่ทัพเหี้ยมหาญอย่างลิโป้ ด่านกิสุยก๋วนจะถูกตีแตกเมื่อใดเพียงขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น ข้าหวังว่าลิซกจะเกลี้ยมกล่อมลิโป้สวามิภักดิ์ได้สำเร็จ" ตั๋งโต๊ะทอดถอนใจ
แม้ว่าฮัวหยงจะชนะศึกใหญ่ แต่ตั๋งโต๊ะก็ยังคงกังวลกับสถานการณ์ในปัจจุบัน
..........
เมื่อพบคนคุ้นหน้าคุ้นตาอย่างลิซกอีกครั้ง ลิโป้ก็ยิ้มออกมา "เป็นไปได้หรือไม่ว่า ที่เว่ยกงเดินทางมา ก็เพื่อเกลี้ยกล่อมให้ข้าสวามิภักดิ์? หรือว่าตั๋งโต๊ะสัญญาว่าจะมอบตำแหน่งระดับสูงให้ข้ากันล่ะ?"
ลิซกกลายเป็นโง่งม เขารีบโบกไม้โบกมือ "เรื่องเหล่านั้นวันนี้อย่าได้เอ่ยถึงเถอะ คุยเรื่องวันวานดีกว่าๆ"
"ก็ดี ข้าช่างโชคดีจริงๆที่ได้พบเจอสหายเก่าในต่างถิ่น แต่น่าเสียดาย ในกองทัพไม่มีสุราดีๆ"
"ท่านแม่ทัพมีน้ำใจ แค่นี้ข้าก็รู้สึกเป็นเกียรติแล้ว" ลิซกเองก็รู้สึกอุ่นใจเช่นกันที่ได้พบเจอสหายเก่าในต่างถิ่นแบบนี้ ในแถบลั่วหยางสหายเก่าของเขาก็เห็นจะมีเพียงลิโป้คนเดียวเท่านั้น
หลังจากดื่มสุราโอภาปราศัยไปสามรอบ
"เว่ยกง ข้าคิดว่าการติดตามรับใช้ตั๋งโต๊ะคงไม่ดีสักเท่าใดกระมัง ทำไมไม่มาเข้าร่วมกับข้าล่ะ? โจรเฒ่าตั๋งโต๊ะคงอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว ทำไมพวกเราไม่มาร่วมมือ กลบฝังตั๋งโต๊ะร่วมกันเล่า?" เมื่อมีโอกาส ลิโป้ก็กล่าวชักชวน
สีหน้าของลิซกกลายเป็นแข็งค้าง ชีวิตใต้ร่มธงตั๋งโต๊ะของเขาไม่ค่อยดีจริงๆ อย่าว่าแต่ตัวเขายังไม่มีความสำเร็จใด ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงการเลื่อนขั้นเพิ่มเงินเดือน ประกอบกับลิยูมีตำแหน่งอันมั่นคงในใจตั๋งโต๊ะ อย่างเช่นคืนนั้น เขาออกอุบายให้ลอบโจมตีกลางดึก สุดท้ายความดีความชอบทั้งหมดกลับหล่นใส่หัวของฮัวหยงเพียงผู้เดียว เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกผิดหวังอย่างมาก
"เว่ยกง ตั๋งโต๊ะทำตัวโอหังบังอาจ กระตุ้นความโกรธแค้นของผู้คนทั้งแผ่นดิน ยามใดที่กองทัพพันธมิตรตีเมืองลั่วหยางแตก เจ้าคิดว่าเจ้าจะยังมีอนาคตงั้นรึ?"
ลิซกครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจ "เฟิ่งเสียน แม้ว่าลิซกผู้นี้จะไม่ใช่ปราชญ์บัณฑิต แต่ข้าก็จะไม่ขอเป็นคนทรยศ"
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มคิดมาก ลิโป้ก็ยิ้มกล่าว "เว่ยกง นกดีต้องรู้จักเลือกกิ่งไม้เกาะ คนฉลาดต้องรู้จักเลือกนาย นี่จะเป็นการทรยศได้อย่างไร? ตั๋งโต๊ะใช้คนไม่เป็น กลับมองข้ามเว่ยกงไป ว่ากันว่าการบุกตีค่ายพันธมิตรในคืนนั้นเป็นอุบายของเว่ยกงใช่หรือไม่ แล้วตั๋งโต๊ะมอบรางวัลใดแก่เจ้ากันล่ะ?"
"เฟิ่งเสียน อย่าได้เอ่ยถึงแล้ว" ใบหน้าของลิซกเปลี่ยนเป็นน่าเกลียด
"ประตูปิงโจวเปิดอ้าออกรอต้อนรับเว่ยกงเสมอ" ลิโป้กล่าวก่อนจะยกเหล้าขึ้นจิบ
"ขอบคุณเฟิ่งเสียน" ในใจลิซกเกิดความลังเล ติดตามลิโป้อาจจะไม่ใช่ตัวเลือกที่ดี แม้ว่าลิโป้จะมีแม่ทัพขุนศึกใต้สังกัดอยู่หลายคน แต่เขาก็ขาดแคลนกุนซือที่ปรึกษา นี่อาจจะเป็นโอกาสให้เขาได้แสดงความสามารถก็จริง แต่เมื่อเป็นเช่นนั้น ตัวเขาก็จะออกห่างจากศูนย์กลางอำนาจอย่างราชสำนักและสูญเสียโอกาสหลายๆอย่างไปโดยเปล่า
"เว่ยกง ข้าอยากจะเรื่องคนๆนึงจากเจ้า" ลิโป้เอ่ยขึ้นอย่างผ่อนคลาย
"เชิญพูด" หลังจากสนทนาพูดคุยมาได้สักพัก อารมณ์ที่หดหู่ของเขาก็ค่อยๆเบาบางลง อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็เห็นคุณค่าในตัวเขา ถือเป็นทางถอยสายหนึ่ง ต่อให้ตั๋งโต๊ะพ่ายแพ้ ตัวเขาก็ยังมีหนทางไปต่อ
"ได้ยินมาว่าในสังกัดของตั๋งโต๊ะมีคนๆหนึ่งเรียกว่า กาเซี่ยง ใช่มีคนผู้นี้อยู่หรือไม่?" ลิโป้เอ่ยถามพลางจ้องลิซก
"กาเซี่ยง?" ลิซกยกมือลูบเครา "เฟิ่งเสียนหมายถึง กาเซี่ยง กาเหวินเหอ?"
"ใช่ เป็นเขา" ลิโป้ตอบด้วยความประหลาดใจ เขาเพียงเอ่ยออกไปโดยไม่คาดหวัง นึกไม่ถึงว่าจะพบตัวกุนซือผู้มีชื่อเสียงอย่างกาเซี่ยงจริงๆ
"เจ้ารู้จักเขางั้นหรือ?" ลิซกถามต่อ หากว่าไม่ใช่เพราะตัวเขาเคยบังเอิญพูดคุยกับกาเซี่ยงมาก่อน ตัวเขาเองก็คงจะไม่ทราบว่าในสังกัดของตั๋งโต๊ะมีคนผู้นี้อยู่
"เพียงเคยได้ยินมา เว่ยกงคิดว่าคนผู้นี้เป็นอย่างไร?" ลิโป้ดูจะร้อนใจขึ้นเล็กน้อยขณะที่ถามออกไป
"คนผู้นี้มีความสามารถวิเคราะห์ดินฟ้าอากาศ ยังยอดเยี่ยมกว่าข้า ครั้งหนึ่งบุคคลผู้มีชื่อเสียงอย่างเตียนเอี๋ยงเคยให้คำวิจารณ์เอาไว้ว่า เสมือนเอาเตียวเหลียงและตันเผงมารวมกันอยู่ในบุคคลเดียว คนผู้นี้ทำตัวสมถะถ่อมตน เวลานี้ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาภายใต้แม่ทัพเตียวเจ ไม่มีชื่อเสียงสักเท่าใด" ลิซกตอบ
"เว่ยกงอย่าได้ดูถูกตัวเองไป" ลิโป้ยิ้ม "ไม่รู้ว่าเว่ยกงพอจะแนะนำคนผู้นี้ให้ข้าได้หรือไม่?"
"เกรงว่าจะไม่ง่าย" ลิซกหยุดก่อนจะกล่าวต่อ "บอกกล่าวตามตรง ท่านอุปราชมีใจอยากจะกลับลั่วหยาง กาเซี่ยงย่อมต้องติดตามกองทัพกลับไป อีกทั้งเวลานี้เฟิ่งเสียนอยู่ในกองทัพพันธมิตร จึงไม่สะดวกที่จะติดต่อกัน"
"เว่ยกง ข้าน่ะเลื่อมใสคนผู้นี้มานานแล้ว โปรดทำให้ข้าสมหวังด้วย" ลิโป้วางจอกเหล้านั่งตัวตรงอย่างเป็นการเป็นงาน หลังจากได้เห็นการศึกมาหลายครั้ง ตัวเขาก็รับทราบถึงความสำคัญของกุนซือผู้มีความสามารถ เมื่อมีกุนซือคอยให้คำแนะนำ โอกาสที่จะชนะสงครามก็จะเพิ่มขึ้นอีกมาก กาเซี่ยงนับเป็นกุนซือที่โดดเด่น หากสามารถรับตัวเข้ามา การพัฒนากองทัพปิงโจวจะต้องมีประสิทธิภาพมากขึ้นหลายเท่า
ในยุคสมัยเช่นนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่พึ่งพากลยุทธ์หรือแผนอุบาย ต่อให้ลิโป้จะเก่งกาจด้านการต่อสู้และฝึกฝนไพร่พล แต่เมื่อกล่าวถึงด้านการพัฒนาและดูแลบริหารบ้านเมืองแล้ว ตัวเขาก็ไม่ต่างอะไรจากเด็กอมมือ
"อืม หากว่ากาเซี่ยงตกลง ข้าจะส่งคนมาบอกเฟิ่งเสียน" ลิซกกล่าวจบก็ขอตัวลา
แม้ว่าดูจากผิวเผินแล้วลิซกจะดูไม่รับปากอะไร แต่ลิโป้ก็สามารถมองเห็นถึงจิตใจที่หวั่นไหวของเขา ผู้ที่สามารถมีชื่ออยู่ในประวัติศาสตร์ได้ย่อมต้องเป็นผู้ที่โดดเด่น ตัวเขาขาดแคลนผู้มีพรสวรรค์คอยให้คำปรึกษา หากสามารถรับตัวลิซกมาได้ก็จะช่วยได้มาก
...........
หลังจากบุกตีต่อเนื่องตลอดสามวัน แม้ว่ากองทัพพันธมิตรจะสูญเสียคนไปค่อนข้างมาก ทว่าทางฝั่งตั๋งโต๊ะเองก็ใช่ว่าจะดีสักเท่าไร กำลังพลส่วนใหญ่ของตั๋งโต๊ะเป็นทหารม้าจากเหลียงโจว ซึ่งถนัดในการทำศึกรบพุ่งในพื้นที่เปิดโล่งมากกว่าตั้งรับป้องกันเมือง ก่อนหน้านี้ตอนที่ประจำการอยู่เมืองลั่วหยางอ่อนการฝึกซ้อม ดังนั้นเมื่อต้องมาป้องกันจริงจึงไม่ค่อยมีประสิทธิภาพสักเท่าใด
"เหวินโยว ตอนนี้ขวัญกำลังใจทัพเราตกต่ำ ข้าเกรงว่าด่านกิสุยก๋วนคงรักษาไว้ได้อีกไม่นาน" ตั๋งโต๊ะถอนหายใจ ตัวเขามีอำนาจเพิ่มพูนจนถึงระดับนี้ คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีวันนี้
"ขอท่านอุปราชอย่าเพิ่งท้อถอย ลั่วหยางอยู่ห่างไกลจากเหลียงโจว การขนส่งหญ้าเสบียง กำลังคน และม้าจึงไม่สะดวก หากว่าพวกเรานำทัพกลับลั่วหยาง จากนั้นอันเชิญองค์ฮ่องเต้ย้ายไปประทับที่เมืองฉางอัน คอยเฝ้าดูสถานการณ์ก่อนจะดีกว่านะขอรับ" ลิยูกล่าวแนะนำ
อันที่จริงเขาพอจะมองความต้องการของตั๋งโต๊ะออก แม้ว่าลั่วหยางจะเป็นเมืองอันอุดมสมบูรณ์ หากแต่สำหรับตั๋งโต๊ะแล้วยังไม่สู้เหลียงโจว หากปล่อยจนกระทั่งเหล่าเจ้าเมืองเข้าล้อมเมืองลั่วหยางได้ ถึงตอนนั้นการจะออกจากลั่วหยางก็จะยากแล้ว
"ย้ายเมืองหลวงงั้นรึ? แล้วเหล่าขุนนางราชสำนักจะเห็นด้วยรึ? องค์ฮ่องเต้จะทรงเห็นด้วยงั้นรึ?" ตั๋งโต๊ะรีบหันมาถาม
ลิยูเผยยิ้มบาง คิดไม่ถึงว่าผู้ตั้งตนเป็นราชครูของฮ่องเต้จะใส่ใจความคิดเห็นของเหล่าขุนนางและฮ่องเต้ด้วย "ระยะนี้มีเพลงกล่อมเด็กเพลงหนึ่งปรากฏขึ้นในลั่วหยาง บอกว่า 'ตะวันออกมีเมืองฮั่น ตะวันตกก็มีเมืองฮั่น เมื่อกวางเข้าสู่ฉางอัน เภทภัยจะหมดสิ้น' ผู้น้อยคิดว่า พวกเราควรย้ายไปฮั่นตะวันตก เพื่อสนองพระราชปรารถนาของอดีตฮ่องเต้ฮั่นเกาจู่ ฉางอันอุดมสมบูรณ์เป็นเมืองหลวงให้อดีตฮ่องเต้มาสิบสองราชกาล เมื่อฮ่องเต้ทรงย้ายไปประทับ ชะตาฟ้าจะรุ่งโรจน์ ฟ้าดินส่งเสริม ดังนั้นผู้น้อยจึงเห็นว่าควรย้ายเมืองหลวงไปฉางอันขอรับ"
"อืม หวังว่าเหล่าขุนนางข้าราชบริพารจะมองเห็นความตั้งใจดีของข้า"
ได้ยินวาจาของลิยู ตั๋งโต๊ะก็เบิกบานใจ "คำพูดของเหวินโยวถูกใจข้านัก หลังจากกลับลั่วหยางแล้ว ข้าจะประชุมหารือเรื่องย้ายไปฉางอันทันที"
คืนนั้น ตั๋งโต๊ะก็นำฮัวหยงและแม่ทัพคนอื่นๆกลับลั่วหยางเพื่อหารือเรื่องการย้ายไปยังฉางอัน เขาทิ้งไพร่พลไว้ในด่านกิสุยก๋วนเพียงหนึ่งหมื่น อีกทั้งส่วนใหญ่ยังเป็นไพร่พลที่เพิ่งกะเกณฑ์เข้ามาจากกองทัพเหนือใต้
หลังผ่านการทำศึกอย่างดุเดือดตลอดสามวัน ลิโป้ก็สูญเสียไพร่พลไปเกือบหนึ่งพัน เจ้าเมืองคนอื่นๆเองก็เสียหายอย่างหนักเช่นกัน ในการพบปะกันเป็นการส่วนตัว พวกเขาต่างก็บ่นเกี่ยวกับอ้วนเสี้ยว นอกจากการโจมตีในวันแรกแล้ว สองพี่น้องสกุลอ้วนก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ใช้อุบาย นอกจากการทุ่มเทแล้ว ไพร่พลที่ส่งออกมาก็เป็นเพียงส่วนเล็กๆ อีกทั้งยังไม่ยอมบุกอย่างจริงจัง ตอนแรกอ้วนเสี้ยวยังทำท่าโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงเพราะอ้วนงุยถูกฆ่า มาตอนนี้กลับทำตัวเกียจคร้านไปซะแล้ว