เกิดใหม่เป็นทารกขั้นเทพ ตอนที่ 93
ตอนที่ 93
อย่างไรเสีย อาวุโสทั้งหลายที่อยู่รอบหลินซวนต่างก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม แม้ว่าเมื่อครู่หลินซวนจะดูจริงจังและแสดงออกถึงความอหังการเพียงใด ทว่าเขาเป็นเพียงทารกตัวน้อย และทารกตัวน้อยก็มิได้น่าเกรงขามแต่อย่างใด...
ที่สำคัญที่สุด สีหน้าจริงจังของเขากลับทำให้ผู้อื่นรู้สึกว่ามันช่างน่ารักน่าชังเหลือเกิน และความน่ารักน่าชังนี้ก็ช่างน่ากลั่นแกล้งเสียนี่กระไร
“ฮ่าๆๆๆ เจ้าสมแล้วที่เป็นเซียนน้อยตระกูลหลินของพวกเรา ช่างมีความมุ่งมั่นตั้งแต่ยังเยาว์วัยเช่นนี้!”
“เยี่ยม เยี่ยมมาก!”
ฮ่าๆๆ ฮ่าๆๆ!”
มุมปากของหลินซวนกระตุกเป็นจังหวะอยู่ครู่ใหญ่
หลังจากผ่านไปสักพัก บรรพชนหลินก็ยิ้มออกมาและส่ายหน้าเล็กน้อย เขามองไกลออกไปก่อนจะเอ่ยอย่างอ่อนโยน
“ซวนเอ๋อร์ โลกใบนี้เต็มไปด้วยตำนานมากมาย”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าทางตอนใต้ของอาณาเขตเหนือครามแห่งนี้มีนักปราชญ์อยู่ผู้หนึ่ง เขาใช้กระบี่ของตนตัดแยกห้วงจักรวาลได้ ความทรงพลังของเขาเป็นที่เลื่องลือมานานหลายหมื่นปี!”
“และใกล้กับมหานทีสุดขอบโลก ที่นั่นมีเกาะอมตะซึ่งผู้บ่มเพาะจำนวนมากที่มิได้ต้องการมีชื่อเสียงอาศัยอยู่”
“ในสรวงสวรรค์ด้านตะวันตก มีนักบวชชราที่อาศัยอยู่อย่างสงบ เขาเพาะเลี้ยงมังกรสวรรค์อยู่นับร้อยตัว”
“ทางตอนใต้ของทวีปแผ่นฟ้า มีผู้เยาว์ที่เกิดมากอย่างยากจน ทว่าเขากลับกุมด้านกระบี่และบ่มเพาะโดยลำพังกว่าพันปี จนท้ายที่สุดสามารถท้าทายสวรรค์ชั้นฟ้าและตัดผ่าเมืองสามพันแห่งด้วยการลงดาบเพียงคราเดียว ทายาทสืบทอดวิชากระบี่ของเขามีมากมายราวกับสายฝน!”
“ในอดีต ตระกูลหลินของเรามิสามารถเทียบกับพวกเขาเหล่านั้นได้แม้แต่น้อย”
ก่อนที่บรรพชนหลินจะกระซิบอย่างแผ่วเบา
“แต่บัดนี้ การแข็งแกร่งถึงขั้นนั้นก็มิได้ไกลเกินเอื้อมอีกต่อไป...”
จ้าวแห่งห้วงเหวพ่ายแพ้แก่ตระกูลหลิน ราชวงศ์อมตะมาเยี่ยมเยียนและแสดงความยินดีแก่เขาและหลินซวนด้วยตนเอง อีกทั้ง การก้าวเข้าสู่แดนปราณก่อตั้งจิตของเขา
เหตุการณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นเป็นผลทำให้ตระกูลหลินรักษาสถานภาพการเป็นอันดับหนึ่งของอาณาจักรฉีซานไว้ได้อย่างมั่นคง
หลังจากสงครามครั้งนั้น ตระกูลหลินก็เริ่มเพาะสร้างพื้นฐานของตนและดูดกลืนทรัพยากรจากกองกำลังโดยรอบที่ต้องการจะทำร้ายพวกเขาจนหมดสิ้นด้วยความเร็วที่แสนน่ากลัว
สิ่งนี้ทำให้กองกำลังและตระกูลอื่นๆ ของฉีซานต่างหวาดผวาไปตามๆ กัน
ในตอนที่จ้าวหุบเหวประกาศสงครามและต้องการจะสังหารตระกูลหลินทั้งหมด ตระกูลอื่นในอาณาจักรฉีซานต่างมั่นใจว่าสกุลหลินย่อยต้องย่อยยับ พวกเขาถึงกับแสดงความต้องการที่จะเข้ามาช่วงชิงทรัพยากรของสกุลหลินทั้งหมดหลังจากสงครามได้ผ่านพ้นไป!
ทว่า ไม่มีผู้ใดคาดคิดถึงผลลัพธ์ที่น่าตกตะลึงของสงครามในครานี้
พวกเขาไม่มีแม้แต่โอกาสให้ตอบสนองเสียด้วยซ้ำ กรงเล็บที่ยื่นเข้ามาหมายจะขย้ำสกุลหลินเป็นชิ้นๆ ต่างถูกสะบั้นทิ้งจนหมดสิ้น ยิ่งกว่านั้น สกุลหลินยังส่งคนไปไล่ล่าพวกเขาโดยตรง!
ตระกูลเล็กบางส่วนไม่กล้ามากพอจะเข้าช่วงชิงทรัพยากรกับตระกูลใหญ่ทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นพวกเขาจึงยังรอดปลอดภัย แม้ว่าจะต้องอยู่อย่างหวาดผวาไปพักใหญ่ก็ตามที
ทว่า สำหรับผู้ที่เตรียมพร้อมสำหรับการเข้าจัดการตระกูลหลินที่อ่อนแอจากสงครามในความคิดพวกเขากลับต้องพบเจอกับเรื่องน่าสะพรึงกลัว
แต่ละตระกูลหรือกองกำลังถูกสมาชิกสกุลหลินไปเยี่ยมเยือนโดนตรง
คนแซ่หลินที่ไปเยี่ยมตระกูลต่างๆ นั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้มยามเดินเข้าไป ก่อนกลับออกมาด้วยความต้องการฆ่าแผ่กระจาย ทุกๆ ตระกูลที่พบเจอสิ่งนี้ต่างก็พบกับความสูญเสียครั้งมโหฬาร
ผู้ที่ควบคุมเรื่องการบุกสกุลหลินหลินโดนตรงล้วนถูกสังหารสิ้น และในเวลาเดียวกันตระกูลของพวกเขาก็ต้องเสีย “ค่าปลอบขวัญ” แก่ตระกูลหลินจำนวนมหาศาล บางครอบครัวที่คงอยู่มามากกว่าพันปีถูกสังหารแทบหมดสิ้น โดยเฉพาะตระกูลเฉินและสมาพันธ์การค้าม่านพิรุณ พวกเขาได้รับความสนใจเป็นพิเศษจากคนสกุลหลินและเป็นหลินเปาที่ไปหาพวกเขาด้วยตนเอง
ตระกูลเฉินยังคงฉลาดอยู่บ้าง พวกเขามิได้ต่อต้าน เพียงปล่อยให้สกุลหลินฆ่าทุกคนที่เกี่ยวข้องและนำเอาทุกสิ่งที่ต้องการไป ไม่กล้าแม้แต่จะพูดออกมาสักคำเสียด้วยซ้ำไป
หลังจากที่ตระกูลเฉินเผชิญหน้ากับความสูญเสียครั้งใหญ่ พวกเขาก็มิกล้าจะเรียกตนเองว่าตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในอาณาจักรฉีซานอีกต่อไป
ช่างน่าเสียดายที่ทางด้านสมาพันธ์การค้าม่านพิรุณกลับมีแต่ตัวโง่งม พวกเขาหาญกล้าที่จะต่อต้านยามสกุลหลินไปเยือนถึงขั้นกางม่านพลังเปิดใช้ค่ายกลปกป้อง ทว่ากลับถูกกวาดล้างจนหมดสิ้น
ในการต่อสู้ครั้งนั้น หลินเปาใช้พลังดูดกลืนของตนและเพียงหมัดเดียวในการทะลวงค่ายกลของอีกฝ่ายจะพังทลาย!
หลังจากเข้าไปยังด้านในได้แล้ว ตาแก่เปาก็ใช้ทักษะเนตรออกมา ดวงตาแห่งการทำลายล้างนับพันปรากฏขึ้นและโจมตีไปทั่วทุกหนแห่ง!
ไม่ว่าจะเป็นเหล่าผู้บ่มเพาะทั้งหลายหรือค่ายกลใดๆ ล้วนกลายเป็นเพียงเศษธุลีจนหมด!
ไม่มีใครสามารถต้านทานตาเฒ่าเปาได้แม้แต่น้อย!
ในท้ายที่สุด หลินเปาก็เผชิญหน้ากับผู้นำของสมาพันธ์การค้าม่านพิรุณแห่งอาณาจักรฉีซานโดยตรง เขาหาได้สนใจคนที่กำลังคุกเข่าอ้อนวอนและต้องการแลกเปลี่ยนทรัพย์สินมหาศาลที่มีกับชีวิตตนเองไม่ ตาแก่เปาทำเพียงเป่าอีกฝ่ายกระจุย!
เพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น สมาพันธ์การค้าม่านพิรุณแห่งอาณาจักรฉีซานก็ถูกทำลายหมดสิ้น แม้แต่สุนัขสักตัวก็ไม่เหลือเอาไว้
หลังจากที่สาขาหลักของสมาพันธ์การค้าม่านพิรุณทราบเรื่องนี้ พวกเขากลับไม่เอ่ยสิ่งใด เพียงส่งคนเข้ามาเก็บกวาดเศษซากก่อนจากไปอย่างเงียบงัน
การกระทำในครั้งนี้ของตระกูลหลินเรียกได้ว่าคุกคามและบีบบังคับฝ่ายตรงข้ามเป็นอย่างยิ่ง!
หากผู้ใดแสดงความนอบน้อมย่อมได้รับความเคารพตอบกลับไป แต่หากผู้ใดต้องการจะทำร้ายพวกเขา ก็อย่าได้หาว่าพวกเขานั้นไร้หัวใจ!
ส่วนเหล่าผู้ที่เพียงมองอยู่เฉยๆ และไม่ได้กระทำสิ่งใด พวกเขาก็ได้รับการละเว้น แต่กับผู้ที่ต้องการผลประโยชน์จากตระกูลหลินล้วนถูกถอดเขี้ยวเล็บจนหมดสิ้น!
ผู้ที่กล้าหาญมากพอจะแว้งกัดสกุลหลินในยามยากลำบาก พวกมันยังกล้าจะร้องขอความเมตตาอีกหรือ? ฝันไปเถิด!
การล่าสังหารนี้ดำเนินไปอยู่หลายเดือน ก่อนที่ในที่สุดสกุลหลินจะสร้างชื่อชื่อให้ตนเองและนั่งบนบัลลังก์อย่างมั่นคง
……………
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว อีกไม่นานก็จะถึงช่วงที่สัญญาให้ยืมตัวหลินซวนจะมาถึง
ทว่า สำหรับเหล่าผู้บ่มเพาะที่กักตัวฝึกฝนคราหนึ่งนับร้อยหรือพันปีแล้ว เวลาเพียงครึ่งปีนับว่าเป็นเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น
ในช่วงครึ่งปีมานี้ ความเร็วในการเพิ่มระดับการบ่มเพาะของหลินซวนมากมายจนถึงขั้นทำให้ตระกูลหลินต้องปรับเปลี่ยนมุมมองต่อโลกทั้งใบของพวกเขา!
เพราะว่าในตอนนี้ หลินซวนนั้นก้าวไปถึงขั้นที่เก้าของแดนปรับปรุงปราณแล้วภายในเวลาไม่ถึงครึ่งปีเสียด้วยซ้ำไป!
เขาเป็นเพียงทารกน้อยที่อายุยังไม่ทันครบหนึ่งปีดี อันที่จริง เขาเกิดมายังไม่ถึงครึ่งปีด้วยซ้ำ ทว่ากลับบรรลุถึงขั้นเก้าแดนปรับปรุงปราณเสียแล้ว!
เขาเลื่อนขั้นหนึ่งครั้งภายในวันเดียว ก่อนที่อีกไม่กี่วันต่อมาจะเลื่อนขั้นอีกครั้ง!
ต้องรู้ก่อนว่าแม้แต่อัจฉริยะที่เก่งกาจที่สุดในตระกูลหลินก่อนหน้านี้ เขาอาศัยเวลาร่วมยี่สิบปีในการก้าวไปถึงขั้นที่หกของแดนปรับปรุงปราณ
หลินเฮ่าเองก็เป็นผู้ทรงพลังอย่างยิ่งคนหนึ่ง เป็นผู้นำตระกูล แต่เขาใช้เวลามากกว่ายี่สิบปีเพื่อไปให้ถึงขั้นที่หกของแดนปรับปรุงปราณ!
ต่อให้เป็นผู้มากพรสวรรค์เฉกเช่นบรรพชนหลิน เขาก็ยังใช้เวลาถึงสิบห้าปีเพื่อไปให้ถึงระดับที่สิบของแดนปรับปรุงปราณ และนั่นนับเฉพาะเวลาที่เขาใช้บ่มเพาะจากแดนปรับปรุงกายสู่ปรับปรุงปราณเท่านั้น หาใช่ตั้งแต่วันแรกของการบ่มเพาะเช่นหลินซวนไม่!
เหล่าผู้อาวุโสตระกูลหลินและศิษย์รุ่นเยาว์ทั้งหลายรู้สึกราวกับว่าพวกเขาเป็นเพียงสวะไร้ความสามารถไปเลย เมื่อต้องเปรียบเทียบตนเองกับหลินซวน....
“ข้าเองก็รู้ดีว่าเจ้าเป็นยอดอัจฉริยะผู้หนึ่ง แต่เจ้าไม่ควรจะน่าหวาดหวั่นถึงเพียงนี้มิใช่หรือ? แล้วมนุษย์สามัญเช่นพวกเราจะใช้ชีวิตได้อย่างไรกันเมื่อเทียบกับเจ้าแล้ว?”
ทว่า หลินซวนก็ทรงพลังอย่างแท้จริง และสิ่งนี้ก็เป็นตัวกระตุ้นให้เหล่าคนแซ่หลินทั้งหลายต่างเร่งบ่มเพาะกันอย่างบ้าคลั่ง
ทุกคราที่หลินซวนเลื่อนขั้น เขาจะสร้างปรากฏการณ์เล็กน้อยออกมาเสมอ และเล็กน้อยที่ว่านั่นเมื่อเทียบกับผู้อื่นแล้วก็มิได้สามัญเช่นคำเรียกเลยแม้แต่น้อย ทุกครั้งที่ปรากฏการณ์เหล่านี้ปรากฏขึ้น ผู้บ่มเพาะทั้งหลายของสกุลหลินก็ได้รับอานิสงส์จากมัน ส่งผลพวกเขาเองก็ได้เลื่อนขั้นได้พอสมควรเช่นกันในช่วงครึ่งปีมานี้!
กระทั่งมีศิษย์แซ่หลินบางคนที่โชคดีและได้รับพลังดูดกลืนมา ระดับการบ่มเพาะของพวกเขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
แต่ถ้าหากไม่นับเรื่องเหล่านี้แล้ว ก็ไม่ได้มีปัญหาอื่นใดเกิดขึ้นอีก ตระกูลหลินช่างเต็มไปด้วยความสงบสุข
อย่างไรเสีย มีเหล่าอัจฉริยะของตระกูลซวนและตระกูลเป่ยเฉินบางส่วนที่ติดตามอาวุโสของพวกเขามาที่ตระกูลหลิน และอาศัยปรากฏการณ์ของหลินซวนในการเพิ่มระดับการบ่มเพาะให้ตัวเองด้วยเช่นกัน...