MDB ตอนที่ 69 รายงานต่อเจ้าหน้าที่
เมื่อไม่สามารถหลบการโจมตีได้ บาดแผลฟันหลายจุดปรากฏบนร่างของงูดำ มันกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด หลังจากพ่นละอองน้ำที่ขุ่นออกมา มันก็จะเลื้อยหายไปเข้าไปในบ่อ
ทำให้ได้รู้ว่า บ่อน้ำเป็นที่ซ่อนของงูดำ
หลินจินหยุดเสี่ยวฮั่วซึ่งกำลังจะลงไปในบ่อน้ำกับงูดำ
พวกเขาสามารถต่อสู้ได้อย่างอิสระบนพื้นดินแห้ง แต่เมื่อเข้าไปในบ่อน้ำแล้ว พวกเขาจะเสียเปรียบมากขึ้น เนื่องจากมีน้ำอยู่ภายในบ่อน้ำนี้และถ้าเสี่ยวฮัวลงไปที่นั่น ไม่เพียงแต่การเคลื่อนไหวของมันจะถูกจำกัดแต่เขาก็อาจถูกศัตรูเอาชนะได้ หลินจินจะไม่มีวันปล่อยให้สัตว์วิเศษของเขาต้องเสี่ยงเช่นนี้
ไม่จำเป็นต้องพูด ความสามารถของงูดำนั้นเกินความคาดหมายของหลินจินไปมาก
เมื่อสังเกตเห็นชิ้นส่วนของเกล็ดงูที่พื้น หลินจินก็เดินไปหยิบมันขึ้นมา
ภาพเงาดำมืดภายในพิพิธภัณฑ์สัตว์วิเศษสลายไปในทันทีเพื่อเผยให้เห็นตัวอย่างของมัน
สัตว์วิเศษ ระดับสอง: อนาคอนด้าดำ สัตว์วิเศษประเภทอสุรกาย ไม่สามารถสร้างพันธสัญญาโลหิตได้ ระดับสติปัญญาใกล้เคียงกับมนุษย์!
สถานะ: ได้รับบาดเจ็บสาหัส แผลไฟไหม้ วิธีการรักษาคือ…
วิธีวิวัฒนาการ: วิธีคือ…
อสุรกายที่บันทึกไว้ในปัจจุบัน 1/4
หลังจากอ่านคำอธิบายของพิพิธภัณฑ์แล้ว หลินจินรู้สึกทั้งปีติและความกังวล
สิ่งเดียวที่น่ายินดีคือความจริงที่ว่าเขาสามารถได้รับรางวัลหลังจากบันทึกอสุรกายทั้งสี่ งูดำจะเป็นตัวแรกของบันทึกนี้ แต่มีเหตุผลอื่นอีกมากมายที่ทำให้เขารู้สึกเอน็จอนาถใจ
ประการแรก สัตว์วิเศษตัวนี้อยู่ในระดับสองที่สามารถต่อสู้กับระดับสามอย่างเสี่ยวฮั่วได้
นั่นเป็นมันโกงมาก!
หากสิ่งมีชีวิตตัวนี้สามารถก้าวไปสู่ระดับสามได้ มันจะไม่สามารถเอาชนะเสี่ยวฮั่วได้อย่างง่ายดายเลยหรือ?
หลินจินเริ่มหวาดระแวงมากขึ้นทันที
นอกจากนี้ มัน 'ไม่สามารถสร้างพันธสัญญาโลหิต' ได้ นั่นหมายความว่าอย่างไร?
การเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังเช่นนี้ มันคงจะดีหากมนุษย์สามารถทำพันธสัญญาโลหิตกับอสุรกายได้แต่พวกมันกลับทำไม่ได้ แล้วจุดประสงค์ของการมีอยู่ของอสุรกายคืออะไร? และ 'สติปัญญาเทียบเท่ามนุษย์' อีก แสดงให้เห็นว่ามันฉลาดมากงั้นหรือ?
บางทีมันอาจจะฉลาดมากจนมนุษย์ไม่สามารถสร้างพันธสัญญาโลหิตกับมันได้
หลินจินจำได้ว่างูดำได้ถ่ายทอดเจตนาของมันก่อนหน้านี้ผ่านการจ้องมอง มันเป็นช่วงเวลาก่อนที่มันจะเลื้อยเข้าไปในบ่อน้ำ งูดำตัวนั้นมองหลินจินอย่างมุ่งร้าย
ราวกับมันกำลังพูดว่า 'ฝากไว้ก่อนเถอะ ฉันกลับมาแก้แค้นแกในภายหลัง!'
“ฉันไม่ใช่คนที่ทำร้ายแก ทำไมแกถึงกำหนดเป้าหมายมาที่ฉัน” หลินจินบ่น
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เขารู้สึกรำคาญ เมื่อเขาพบหลันซิวเป็นครั้งแรก หลินจินรู้ว่าเธอถูกย้อมด้วยรัศมีของสัตว์วิเศษ ตามข้อมูลของพิพิธภัณฑ์ เธอถูก ‘อสุรกาย’ จับตามอง
หลินจินมาช่วยเธอเนื่องจากเหตุผลนี้เท่านั้น แต่ตอนนี้ ไม่เพียงแต่มันยังมีชีวิตอยู่แต่เขาได้เรียกความโกรธของสิ่งมีชีวิตนั้นมาที่เขาแทน
อย่างที่กล่าวไป ภารกิจนี้ไม่มีประโยชน์อะไรนอกจากการสะสมบันทึกของสัตว์วิเศษเพื่อรับรางวัล
หลินจินมองเข้าไปในบ่อน้ำสีดำสนิทและได้ยินเสียงน้ำเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ถ้าเขาไม่ลงไปที่นั่น จะไม่มีใครรู้สถานการณ์ด้านล่าง
แต่ถ้าเขาทำ?
หลินจินไม่มีวันทำอย่างนั้นแน่นอน ใครจะไปรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นที่นั่น? จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากมันมีรังของมันอยู่ข้างล่าง?
“ตอนนี้สัตว์ร้ายตัวนี้ได้รับบาดเจ็บสาหัส ดังนั้นมันจะไม่กลับขึ้นมาอีกสักพัก เราไม่จำเป็นต้องกลัวมันในตอนนี้ เมื่อฉันได้รับส่วนที่สองของรูปแบบพลังงานอสูรเมื่อไหร่ ฉันจะนำไปให้เสี่ยวฮั่วเพิ่มพลัง ใช่แล้ว ฉันยังมีโกลดี้อีกด้วย ฉันจะพามันไปทุกที่ที่ฉันไป สัตว์วิเศษตัวนี้จะต้องจบเห่แน่นอน ถ้ามันเข้ามาบุกโจมตีพวกเรา ดังนั้น ฉันไม่จำเป็นต้องกลัวมัน”
ตอนนี้ เขาได้วิเคราะห์สถานการณ์อย่างละเอียดแล้ว หลินจินก็รู้สึกสบายใจมากขึ้น
หลังจากเหลือบมองลงไปในบ่อน้ำอีกครั้ง เขาก็พูดว่า “ทำไมฉันไม่ปิดผนึกบ่อน้ำนี้เพื่อป้องกันไม่ให้งูดำทำอันตรายคนอื่น”
เขาสั่งให้เสี่ยวฮั่วลากก้อนหินมาปิดหลุมบ่อ ดูเหมือนจะไม่เพียงพอดังนั้นเขาจึงเพิ่มของอีกสองสามอย่างจนกว่าบ่อน้ำจะปิดสนิท
"ไปกันเถอะ!" หลังจากแหงนมองท้องฟ้า หลินจินก็พาเสี่ยวฮั่วออกไป
ตอนนี้ใกล้จะเวลารุ่งสางแล้ว มันจึงไม่สมเหตุสมผลเลยที่จะนอนที่บ้าน ดังนั้น หลินจินก็กลับไปที่ห้องโถงฉุกเฉินของสมาคมเพื่อพักสายตา
จ้าวหยิงเข้ามาเป็นคนแรกในตอนเช้าและหลินจินได้อธิบายสถานการณ์สั้น ๆ ให้เธอฟัง เมื่อเธอได้ยินว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับอสุรกาย จ้าวหยิงก็พูดทันทีว่า
“ถ้ามันเป็นอสุรกาย เราต้องรายงานไปยังหน่วยงานท้องถิ่นเพื่อให้พวกเขาสังหารมัน”
หลินจินรู้สึกประหลาดใจที่เขาไม่คิดว่าจะให้คนอื่นจัดการ แต่เนื่องจากตัวเขาเองก็ไม่กล้า นอกจากนี้ยังมีผู้เชี่ยวชาญมากมายในเมือง หากพวกเขาเอาชนะอนาคอนด้าดำได้ ความกังวลของเขาก็จะได้รับการคลี่คลาย
เขาไปรายงานเรื่องนี้กับเจ้าหน้าที่กับจ้าวหยิงทันที
ศาลาว่าการของเมืองเมเปิ้ล
เนื่องจากเป็นสถานที่ทางการ บรรยากาศจึงตรึงเครียดโดยธรรมชาติ มีสิงโตตัวใหญ่สองตัวยืนเฝ้าอยู่ทั้งสองข้างของทางเข้า เป็นการเพิ่มความน่ากลัว
หลินจินถึงกับพูดไม่ออก
ในโลกของเขา สิงโตที่เฝ้าทางเข้าเป็นเพียงรูปปั้นหิน แต่ที่นี่พวกเขาใช้สิงโตของจริง
"หยุด! พวกเจ้าเป็นใคร?" ยามที่ประตูสอบถาม เมื่อเห็นพวกหลินจินจะเข้าไปข้างใน
หลินจินกับจ้าวหยิงจึงกล่าวถึงเหตุผลที่จะเข้าไปในอาคาร
"อสุรกาย?" ยามดูลังเลสงสัยอย่างเห็นได้ชัด แต่เมื่อเขาเห็นรูปแบบแหวนข้างเดียวบนแขนเสื้อของหลินจิน เขาตระหนักว่าเขากำลังพูดกับผู้ประเมินทางการ ดังนั้นเขาจึงรีบพาพวกเขาไปที่ห้องนั่งเล่น
ไม่นานก็มีคนแต่งตัวเหมือนนายทหารเข้ามา
“เมืองเมเปิ้ลจะไปมีอสุรกายได้อย่างไร? นี่มันเรื่องไร้สาระชัด ๆ ทำไมพวกเจ้าถึงเชื่อเรื่องนี้!”
เสียงของเจ้าหน้าที่กำลังสั่งสอนลูกน้องของเขาในห้องโถงก่อนจะเข้ามาในห้อง
เมื่อเป็นเช่นนั้น หลินจินก็ได้แต่ส่ายหัว
คนงี่เง่าที่หยิ่งยโสและถือตัวมาอีกคน
แม้ว่าเขาจะไม่หวังแต่เขาก็ยังอธิบายอย่างละเอียดถึงสิ่งที่จำเป็นต้องพูด แน่นอนว่านายทหารดูเหมือนจะไม่เชื่อเขา หลังจากมีคำถามอีกสองสามข้อ หลินจินก็แค่บอกว่าเขาเพิ่งช่วยเหลือเด็กสาวคนหนึ่งและบังเอิญเจอร่องรอยของอสุรกาย นั่นเป็นเหตุผลที่เขามาที่นี่เพื่อรายงาน
สำหรับการต่อสู้อันดุเดือด หลินจินได้ละเว้นรายละเอียดในส่วนนี้ไป
เจ้าหน้าที่เย้ยหยันและจ้องมองไปยังหลินจินอย่างรวดเร็ว “เจ้าคือหลินจินแห่งสมาคมประเมินสัตว์วิเศษใช่หรือไม่? ข้าเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับเจ้ามาบ้าง เอาล่ะ ข้าจะรับเรื่องนี้ไว้เอง ถ้าไม่มีอะไร พวกเจ้าก็กลับไปแล้ว”
จ้าวหยิงกล่าวเสริมว่า “อสุรกายตัวนั้นอันตรายมาก หากท่านจะเข้าไปล้อมจับมัน พวกท่านต้องระวังตัวและพาคนเยอะ ๆ ด้วยเจ้าค่ะ”
มันเป็นเพียงคำแนะนำเล็ก ๆ น้อย ๆ จากความปรารถนาดีแต่เจ้าหน้าที่กลับดูหงุดหงิดแทน “เจ้าคิดจริง ๆ เหรอว่าทางเมืองต้องการผู้หญิงที่ไม่มีประสบการณ์อย่างเจ้าเพื่อมาสอนเราถึงวิธีการทำงานของเรา”
หลินจินยิ้มอย่างเงียบ ๆ โค้งคำนับและลากจ้าวหยิงออกไป
“อาจารย์หลิน พวกเขา…” จ้าวหยิงอยากจะพูดมากกว่านี้แต่หลินจินส่ายหัวแทน
“พวกเขาถืออคติและไม่เชื่อฟังพวกเราเลย หากเรายังคงดึงดันเรื่องนี้ต่อไป มันก็จะสร้างปัญหาให้กับเราแทน ปล่อยให้มันเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็นดีกว่า”
หลินจินไม่กังวลว่าทางเมืองจะดูแลเรื่องนี้อย่างไร
อย่างไรก็ตาม ความคิดใหม่ผุดขึ้นในใจของเขา อสุรหายตัวนั้นคืออนาคอนด้าดำ มันคงไม่ปรากฏในเมืองโดยปราศจากการสัมผัสหรือเหตุผลบางอย่าง นอกจากนี้ยังคุ้นเคยกับบ่อน้ำในวัดที่ถูกทิ้งร้างเป็นอย่างมาก
ดังนั้น หลินจินจึงถามเกี่ยวกับวัดนั้นแทน
จ้าวหยิงมีข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ วัดนั้นอยู่ที่นั่นมาระยะหนึ่งแล้ว มันอยู่ที่นั่นตอนที่เธอเกิดและดูเหมือนว่าจะมีประวัติศาสตร์อย่างน้อยหนึ่งร้อยปี
เมื่อตัววัดยังอยู่ในสภาพดีก็แทบไม่มีใครไปอธิษฐานที่นั่น หลังจากที่มันถูกเผา มันก็ถูกทิ้งร้างโดยทันที
หลินจินถามวัดถูกเผาเมื่อไหร่
“เมื่อไม่กี่วันก่อน ข้าคิดว่าหลังจากที่วัดถูกไฟไหม้ ซิวเอ๋อร์ก็เริ่มฝันร้าย อาจารย์หลิน ท่านคิดว่าเหตุการณ์ทั้งสองนี้เชื่อมโยงกันหรือไม่?”
จ้าวหยิงคิดตามอย่างรวดเร็ว
หลินจินโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ สำหรับความเป็นไปได้นั้น เขาเองก็ไม่ได้แน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์
แต่อย่างไรก็ตาม หากมีโอกาสบันทึกอสุรหาย เขาก็จะรับมันแต่จะไม่ไปค้นหาด้วยตัวเอง ท้ายที่สุดแล้ว อสุรกายน่ากลัวเกินไป ถ้างูดำตัวนั้นไม่แก้แค้นเขา ทุกอย่างก็จะไม่เป็นไร แต่ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น หลินจินก็ตัดสินใจว่าเขาจะต้องสังหารสิ่งมีชีวิตตัวนั้นทันที
มิฉะนั้น การปล่อยให้ตัวอันตรายเช่นนี้ดำรงอยู่ต่อไป มันจะทำให้เกิดหายนะขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย