เกิดใหม่เป็นทารกขั้นเทพ ตอนที่ 92
ตอนที่92
ยูตู่เฟยเงยหน้าขึ้นก่อนจะขอร้องออกมา
“สหายหลิน ข้าขอยืมตัวเซียนน้อยของท่านเพื่อร่วมกับรุ่นเยาว์จากราชวงศ์อมตะในการเปิดประตูสู่ดินแดนลึกลับได้หรือไม่?”
ดินแดนลึกลับที่น่าหวาดหวั่นอายุนับล้านปีแห่งนั้นจะเปิดออกอย่างช้าสุดก็ภายในสองปี ราชวงศ์อมตะเองก็มีหนทางค้นหาทางเข้า แต่ทว่าเงื่อนไขนั้นจำเป็นต้องใช้รุ่นเยาว์จำนวนมากในการกระตุ้นกุญแจ!
“ให้ซวนเอ๋อร์ไป....”
บรรพชนหลินอดมิได้นี่จะขมวดคิ้วมุ่น อันที่จริงแล้วตัวเขาเองก็ไม่ได้ต้องการจะให้หลินซวนไปเข้าร่วมแม้แต่น้อย
เพราะว่าหลินซวนนั้นสำคัญกับสกุลหลิน เขาคืออนาคตของทั้งตระกูล อีกทั้ง ทารกน้อยคือคนที่ช่วยเปลี่ยนกระแสสงครามทั้งสองครั้งก่อนหน้านี้และช่วยชีวิตคนแซ่หลินทั้งหมดให้รอดตายมาได้!
หลังจากได้ยินเช่นนั้น ซวนยู่เองก็รู้สึกไม่ยินยอมเช่นกัน นางไม่ต้องการให้บุตรชายของตนต้องรับผิดชอบเรื่องใดๆ ที่หนักหนาสาหัสและยังต้องเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงในวัยเยาว์ถึงเพียงนี้
ยู่ตู่เฟยที่อยู่ตรงข้ามพวกเขาเองก็เข้าใจในความคิดเหล่านี้เช่นกัน เขาอดมิได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่น ไม่ใช่ว่าเขาไม่ได้ไปยังตระกูลอื่นๆ เพื่อเอ่ยถามเช่นนี้มาก่อน เขาเองก็พบกับสถานการณ์เช่นนี้มาหลายครั้งหลายครา มันช่างเป็นเรื่องยากเย็นยิ่งนักที่จะตัดสินใจได้
ยู่ตู่เฟยกัดฟันเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจพูดออกมา
“กล่าวตามตรง พวกท่านไม่จำเป็นต้องกังวลมากเกินไปนัก หากสหายหลินตกลงตามข้อเรียกร้องของข้า ข้าจะเป็นผู้คุ้มกันซวนเอ๋อร์ออกสำรวจในแดนลึกลับด้วยตนเอง!”
“ยิ่งกว่านั้น เพื่อเป็นการรับประกันความปลอดภัยของซวนเอ๋อร์ ข้า ยู่ตู่เฟย จะสละดวงวิญญาณสามในสิบของตนเองไว้กับสหายหลินเพื่อเป็นหลักประกันในแก่ตระกูลหลิน!”
“ไม่เพียงเท่านั้น ในดินแดนลึกลับแห่งนั้น ตระกูลหลินสามารถส่งศิษย์รุ่นเยาว์มาเข้าร่วมได้อีกห้าคน และสกุลหลินจะได้รับผลประโยชน์ห้าส่วนร้อยของทั้งหมดที่ราชวงศ์อมตะเก็บเกี่ยวได้จากแดนลึกลับเช่นกัน!”
เมื่อคนตระกูลหลินได้ฟังว่ายู่ตู่เฟยจะสละ ‘สามในสิบส่วนของดวงวิญญาณตนเอง’ พวกเขาก็ตกตะลึงยิ่งนัก
สามในสิบส่วนของดวงวิญญาณหมายถึงครึ่งหนึ่งของชีวิตผู้บ่มเพาะ! นี่นับว่าเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งของยอดยุทธทั้งหลาย
ยู่ตู่เฟยผู้นี้คือใคร? เขาคืออัจฉริยะคนหนึ่งของราชวงศ์อมตะ ยิ่งกว่านั้น หลังจากหมื่นปีมานี้ ระดับการบ่มเพาะของเขายังก้าวไปถึงขั้นที่เก้าของแดนปราณแก่นทองคำ อีกเพียงไม่กี่ก้าวก็จะบรรลุแดนก่อตั้งจิต อีกทั้งเขายังเป็นตัวตนที่เลื่องชื่อไปทั่วทั้งอาณาเขตเหนือครามแห่งนี้!
แต่บัดนี้ ยู่ตู่เฟยถึงขั้นยอมสละดวงวิญญาณส่วนหนึ่งของตนให้ผู้อื่น!
“แดนลึกลับแห่งนั้นสำคัญมากเพียงพอใช้ท่านต้องใช้ทุกสิ่งเพื่อเปิดมันให้ได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ?” บรรพชนสกุลหลินอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา
“ข้าจะทุ่มสุดตัวเพื่อการณ์นี้” เสียงของยู่ตู่เฟยหม่นลง
“ต่อให้เป็นระดับล้านปี แต่สิ่งที่ปรากฏในแดนลึกลับแห่งนั้นย่อมมีค่ามากกว่าสมบัติของราชวงศ์มากมายนัก แม้ว่าพวกเราจะยังมิอาจลงลึกถึงรายละเอียดได้ แต่อายุล้านปีเป็นเพียงการประเมินขั้นต่ำสุดของพวกเราเท่านั้น!”
“ที่แห่งนั้นสมควรจะมีสมบัติยิ่งใหญ่นับไม่ถ้วน หากข้าได้พบแม้เพียงเล็กน้อย มันอาจจะช่วยข้าร่นระยะเวลาบ่มเพาะได้นับพันปีและส่งข้าเข้าสู่ชนชั้นก่อตั้งจิตได้ในที่สุด!”
ในตอนนี้ ยู่ตู่เฟยดวงตาเปล่งประกาย
“สหายหลิน ท่านนับได้ว่าเป็นสหายผู้หนึ่งของข้า ข้าจะไม่โกหกท่าน แดนลึกลับแห่งนี้นับได้ว่าเป็นอันดับต้นๆ ของสิ่งที่ราชวงศ์ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ไม่เพียงตระกูลหลินจะถูกเชิญให้เข้าร่วมกับพวกเราในการสำรวจ แต่ตระกูลใหญ่อื่นๆ ทุกอาณาจักรของอาณาเขตเหนือครามก็ได้รับเชิญจากราชวงศ์เช่นกัน!”
กล่าวถึงตรงนี้ ยู่ตู่เฟยก็หยุดไปชั่วขณะ ก่อนที่น้ำเสียงของเขาจะแสดงออกถึงความอึดอัดบางประการ
“อย่างไรเสีย จากที่พวกเราพอจะรู้ในตอนนี้ อัจฉริยะของตระกูลอื่นๆ ไม่มีผู้ใดจะโดดเด่นและยอดเยี่ยมได้เท่าเซียนน้อยของพวกท่านเลยแม้แต่คนเดียว!”
“เพราะฉะนั้น สหายหลิน ท่านคิดว่าอย่างไร? ข้าจะสิทธิ์ในการเข้าสู่แดนลึกลับในท่านห้าตำแหน่ง และส่วนแบ่งผลประโยชน์ห้าในร้อยส่วนเช่นเดียวกัน!”
“ยิ่งกว่านั้น ข้าต้องบอกแก่ท่านว่ามีเพียงห้าสิบคนเท่านั้นที่สามารถเข้าไปยังดินแดนแห่งนั้นได้ และไม่อาจเป็นยอดยุทธที่แข็งแกร่งมากเกินไป อีกทั้งสิ่งที่สำคัญมากประการหนึ่งคือราชวงศ์จะยอมมอบทรัพยากรห้าส่วนร้อยที่เก็บเกี่ยวได้แก่ทุกตระกูลที่เข้าร่วม สหายหลิน ท่านต้องคิดให้รอบคอบ”
บรรพบุรุษตระกูลหลินพยักหน้ารับก่อนก้มศีรษะลงเล็กน้อย เขากำลังครุ่นคิดอย่างหนัก หลินซวนที่อยู่ในอ้อมแขนของซวนยู่จ้องมองอย่างสงบไปยังบรรพชนของตนก่อนจะพยักหน้าให้แก่เขาคราหนึ่ง
บรรพชนแซ่หลินรับรู้ได้ทันทีว่าหลินซวนหมายถึงสิ่งใด แต่เขากลับมิได้เร่งรีบให้คำตอบแก่คนของราชวงศ์ หลังจากผ่านไปนานพอสมควร เขาก็เอ่ยกับยู่ตู่เฟย
“ข้ายอมรับข้อตกลงนี้ แต่ราชวงศ์อมตะต้องแน่ใจว่าจะไม่สิ่งใดเกิดขึ้นกับซวนเอ๋อร์! และสำหรับส่วนหนึ่งของดวงวิญญาณท่าน เมื่อซวนเอ๋อร์กลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว ข้าจะคืนมันให้ท่านด้วยตัวเอง!”
“หลังจากที่แดนลึกลับเปิดออก ซวนเอ๋อร์จะไม่เข้าไปสำรวจด้านใน เขาต้องกลับมายังตระกูลหลินทันที!”
ได้ยินประโยคของบรรพชนหลิน ยู่ตู่เฟยก็หัวเราะออกมาดังลั่นทันทีด้วยความสุขเต็มเปี่ยม
“นั่นย่อมเกิดขึ้นอย่างแน่นอน พวกเราจะยอมให้ยอดอัจฉริยะน้อยเช่นนี้เผชิญกับความเสี่ยงได้อย่างไร! อีกทั้งพวกเราคงเจ็บปวดไม่น้อยหากมีสักตำแหน่งในการเข้าสู่แดนลึกลับที่ต้องเสียไป!”
“ส่วนเรื่องดวงวิญญาณของท่าน ข้าหวังว่าท่านจะไม่เก็บเรื่องนี้ใส่ใจ” บรรพบุรุษตระกูลหลินเอ่ยออกมา
“ข้าย่อมเข้าใจดี หากหลินซวนเป็นอัจฉริยะจากราชวงศ์ ข้าเองก็ย่อมต้องกระทำเช่นเดียวกัน!” ยู่ตู่เฟยมีความสุขยิ่งนักในตอนนี้ เขาหัวเราะเสียงดังและยืนขึ้นก่อนจะประสานมือคารวะและกล่าว
“ข้าจะมาหาสหายหลินที่นี่ในอีกครึ่งปีเพื่อแลกเปลี่ยนดวงวิญญาณ!”
“ในตอนนั้น พวกเราจะเปิดประตูสู่ดินแดนลึกลับด้วยกันและเฝ้ารอยุคทองที่กำลังจะมาถึง!”
ร่างในชุดคลุมสีทองเหาะกลับไปยังวังเหว่ยต้าเต๋าและหายไปในหมู่เมฆและแสงสว่าง ก่อนที่วังลอยฟ้าจะเคลื่อนที่จากไปอย่างเชื่องช้า
..........
เมื่อเห็นอีกฝ่ายหายลับไป บรรพบุรุษหลินก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ซวนเอ๋อร์ อันที่จริงแล้วเจ้าไม่จำเป็นต้องตกลงกับข้อเสนอนั้น มันไม่ได้สำคัญกับพวกเราเลยแม้แต่น้อย”
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นเล่าท่านบรรพบุรุษ?”
เมื่อชายชราได้ยินคำถามของหลินซวนที่อยู่ในอ้อมกอดของมารดาและยู่หน้าเล็กน้อย แม้ว่าน้ำเสียงของหลินฉิงเทียนจะยังคงนุ่มนวลอ่อนโยนทว่าก็แฝงไปได้ความเคร่งเครียดบางประการ
“ผู้บ่มเพาะในรุ่นเดียวกับข้าได้รับช่วงชีวิตอันยาวนานและบรรลุเส้นทางแห่งเต๋าก็เพราะพวกเราต้องการจะต่อต้านสรวงสวรรค์และผืนดิน!”
“หากไม่มีอันตรายหรืออุบัติเหตุใดเกิดขึ้นในเส้นทางการบ่มเพาะ คนผู้หนึ่งย่อมสามารถจะมีชีวิตชั่วกาลนานและไร้เทียมทานได้ อย่าได้ดูถูกเส้นทางการบ่มเพาะแห่งเต๋าที่ยิ่งใหญ่เกินไปนัก!”
หลินซวนกำมือแน่น ใบหน้าปรากฏร่องรอยจริงจัง
“ข้าจะตัดผ่านภูเขาหากมันขวางทาง เติมเต็มมหาสมุทรที่ขวางกั้น ข้ามิได้หวาดกลัวเส้นทางเบื้องหน้า!”
“ผู้บ่มเพาะในรุ่นของข้าจะไม่เพียงแค่ต้องการยืนอายุขัยของตนเท่านั้น พวกเราย่อมต้องการจะต่อสู้เพื่อของที่เป็นของพวกเราเช่นกัน!”
“หากข้าหวาดกลัวกับทุกอย่างที่พบเจอ แล้วข้าจะสามารถมีชีวิตยืนยาวและแข็งแกร่งได้อย่างไร?”
“ยอดคนเหนือใต้หล้าผู้มีชีวิตอยู่ชั่วกาลย่อมต้องเป็นคนที่อดทนต่อความโดดเดี่ยวและพัฒนาตนเองอย่างไม่หยุดยั้ง!”
“อาศัยเพียงกำปั้นหรือกระบี่ ข้าก็สามารถทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดได้รับรู้ว่าความน่ากลัวของข้านั้นมากมายเพียงใด!”
ดวงตาของหลินซวนเปล่งประกายมาดมั่น หมัดเล็กๆ ของเขากำแน่นและเหวี่ยงไปมาในอากาศ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและแสดงออกถึงความอหังการ!
ทว่า หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ หลินซวนก็พบว่าอาวุโสรอบกายและมารดาของเขาเพียงมองมาด้วยรอยยิ้มเท่านั้น
“ยิ่งใหญ่เหนือใต้หล้า? มีชีวิตยืนยาว? ยอดคนไร้เทียมทาน? ซวนเอ๋อร์ตัวน้อยช่างน่ารักน่าชังจริงๆ!” หลินเปาหัวเราะลั่น จากนั้นเขาก็เอื้อมมือมาหยิกปลายจมูกของทารกตัวจิ๋ว
ใบหน้าของหลินซวนบัดนี้ดำคล้ำราวกับก้นหม้อ เขาตบมือของหลินเปาให้ออกห่างจากตัว
‘ข้ากำลังพูดเรื่องจริงจังอยู่ เหตุใดเจ้าถึงทำใบหน้าเช่นนั้น? นี่มันหมายความว่าอย่างไร? จะแสดงความเคารพข้าสักหน่อยไม่ได้เชียวหรือ?’