STBI : ตอนที่ 29 แปลกประหลาด
บนดาดฟ้าของเรือฉางเหลียน
แถวของศพที่วิญญาณถูกกลืนกินไปได้ถูกรายเรียงเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ หวางลู่เฟย ได้มองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่ค่อย ๆ สว่างขึ้นอย่างช้า ๆ ด้วยสีหน้าที่มืดมน
ท้ายที่สุด เขาก็ยังหาตัวการที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังไม่พบ
เขาไม่สามารถทำอะไรได้ ในเวลานี้ เขาได้แจ้งเหล่าเจ้าหน้าที่ทั้งซ้ายและขวาด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง :
“แจ้งผู้โดยสารและพนักงานทุกคนบอกพวกเขาไปว่า แกนพลังของเรือฉางเหลียน ได้ถูกทำลาย และ ตัวการลึกลับที่อยู่เบื้องหลัง ก็ทรงพลังและแปลกประหลาดเกินไป ทำให้ไม่มีร่องรอยให้สืบสาวจนพบ ให้ทุกคนเตรียมพร้อมที่จะสละเรือและเตรียมขึ้นฝั่ง!”
เหล่าเจ้าหน้าที่ที่อยู่โดยรอบ ได้แสดงความดีใจและถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก พวกเขารู้สึกหวาดกลัวมากจริง ๆ เมื่อคืนก่อน เพื่อนร่วมงานของพวกเขาได้เสียชีวิตไปมากกว่า 100 คน ใครจะไปรู้ว่าหากรอต่อไปครั้งหน้าจะเป็นพวกเขาหรือไม่
จุดประสงค์ของพวกเขาก็แค่ต้องการมองหาเงินก้อนโต พวกเขาไม่ได้ต้องการเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่ และ ตกตายอย่างไม่ชัดเจน
ทุกคนบนเรือได้ถูกเรียกมารวมตัวกัน โดย พวก ไป๋ตงหลิน ได้ปะปนไปกับฝูงชน
“พี่ไป๋ ดูเหมือนว่าพวกเราจะต้องสละเรือแล้วขึ้นฝั่งกันแล้ว”
เมื่อมองไปยังพื้นที่โดยรอบ และ เห็นซากศพนับร้อยบนเรือฉางเหลียน เขาก็เข้าใจความยากลำบากในการตัดสินใจของ กัปตันเรือ
ไป๋ตงหลิน ได้มองดูอย่างหมดหนทาง การเดินทางของเขาจะต้องล่าช้า และ ไม่รู้ว่าเขาจะต้องรออีกนานแค่ไหน กว่าจะไปถึงอาณาเขตเล่ยเจ๋อ และ เข้าสู่ดินแดนรกร้าง
เหตุใดสัตว์ประหลาดนี่ถึงมาปรากฏตัวได้ถูกเวลายิ่งนัก!
อีกฝ่ายทำให้เขารู้สึกขุ่นเคืองอย่างแท้จริง! ดังนั้นเขาจึงกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ!
ภายหลังเรือลำเล็กจำนวนนึงได้ถูกลำเลียงลงสู่แม่น้ำ หวังลู่เฟย ได้อธิบายสถานการณ์ให้ทุกคนฟัง โดยทุกคนนั้นเต็มใจที่จะสละเรือและเริ่มอพยพ
ทว่าในเวลานีเอง ชั้นหมอกหนาก็ปรากฏขึ้นบนผิวน้ำ และ ค่อย ๆ เติมเต็มอากาศทั้งหมด พร้อมกับปกคลุมไปทั่วเรือฉางเหลียน
ในชั้นหมอกหนา ยามเช้าตรู่นี้ ปกติแล้ว ไอน้ำก็มีมวลมากทำให้เกิดหมอกควันอยู่แล้ว ดังนั้นการปรากฏตัวของหมอกเหล่านี้จึงไม่ได้ดึงดูดความสนใจของใครเลย
เหล่าคนธรรมดาและนักพรตเต๋าที่มีฐานบ่มเพาะพลังที่ต่ำได้ขึ้นไปบนเรือ ส่วน เหล่า นักพรตเต๋า ที่มีพลังทารกในครรภ์หยวน ได้ใช้วิธีการพิเศษหรือเปลี่ยนเป็นลำแสงพุ่งบินไปขึ้นฝั่ง
ทว่าสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดก็ปรากฏขึ้น
เหล่านักพรตเต๋าที่บินห่างออกจากเรือฉางเหลียนไปหลาย 10 เมตร พวกเขาได้สัมผัสกับหมอกในอากาศ ทันใดนั้น จิตวิญญาณของพวกเขาก็ถูกกลืนกินไปโดยทันที และ กลายเป็นซากศพตกลงไปในแม่น้ำ
เสียงตกน้ำ ได้ดึงดูดความสนใจของทุกคนในทันที เพียงพริบตาเดียว นักพรตเต๋าที่มีพลังทารกในครรภ์หยวนกว่า 10 คน ก็ถูกฆ่าตายในพริบตา
ทุกคนบนดาดฟ้าเรือ ดูเหมือนจะดูแช่แข็งไปด้วยความกลัว
“อา!”
กัปตันหวังลู่เฟย ที่เห็น ใบหน้าของเขาได้เปลี่ยนไปอย่างรุนแรง แก่นแท้พลังของเขาได้ระเบิดออก ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นสีทอง
มันจะมากเกินไปแล้ว!
เดิมเขาเตรียมที่จะละทิ้ง เรือฉางเหลียน อันเป็นที่รักของเขาและอนาคตของเขา แต่ทว่าผู้อยู่เบื้องหลังนี้กลับปรากฏตัวและเริ่มฆ่าพวกเขาอีกครั้ง
ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ต้องการที่จะตายดีใช่หรือไม่!
หวังลู่เฟย ได้ใช้วิชาเวทย์ของเขา แสงสีทองได้กระพริบอยู่ในมือของเขา และ เขาได้ปลดปล่อยมันออกไปปะทะกับหมอกสีเทาในอากาศ ทันใดนั้น พลังฝ่ามือสีทอง ก็ระเบิดออกอย่างรุนแรงในทันที
เพียงแต่น่าเสียดายที่หมอกสีเทาไม่เป็นอะไรเลย
หวังลู่เฟย ได้พยายามโจมตีอย่างต่อเนื่อง โดยใช้หมัดเปลี่ยนเป็นรูปร่างต่าง ๆ และ ชกออกไปในเวลาเดียวกัน
หมอกสีเทาได้ปลิวไปชั่วขณะ ทว่าไม่นานมันก็กลับคืนสู่สภาพเดิม
บ้าเอ้ย?นี่มันคือวิชาเวทย์อะไรกัน?
เขาไม่เชื่อว่าเขาจะไม่สามารถทำลายเจ้าสิ่งนี้ได้
เขาได้ประกบมืออีกครั้งและสร้างพลังกระบี่ขึ้นมาในมือ เขาได้ยกมันขึ้นเหนือศีรษะ และ ฟันออกไปด้วยพละกำลังขั้นสูงสุดของเขา
แสงกระบี่สีทองที่มีความยาวหลายสิบเมตรได้ตัดผ่านหมอกควันในทันที มันได้แยกพื้นผิวของแม่น้ำนูออกไปหลายร้อยเมตร กระทั่งรอยแยกของแม่น้ำนูก็ไม่สามารถเติมช่องว่างของน้ำที่หายไปได้ชั่วขณะ
หมอกสีเทาที่เป็นสิ่งที่มองไม่เห็นและไม่มีพิษภัยนี้ มันได้กลิ้งกลับมาและคืนสู่สภาพเดิม แม้แต่การโจมตีที่ทรงพลังก็ยังคงไร้ประโยชน์
สีหน้าของ หวังลู่เฟย ได้กลายเป็นน่าเกลียด นี่เป็นทักษะเดียวที่ทรงพลังที่สุดของเขา แต่มันก็ยังคงไร้ประโยชน์
ทุกคนบนดาดฟ้าของเรือฉางเหลียน ล้วนมีสีหน้าซีดเซียว หลายคนได้ทรุดตัวลงกับพื้นด้วยความตกใจ
พวกเขาเชื่อว่าตนเองได้ติดแหง็กอยู่ที่นี่ และ ไม่สามารถหนีไปไหนได้ หากพวกเขากล้าที่จะออกไปจากเรือ เงานั่นมันก็จะกลืนกินจิตวิญญาณของพวกเขา
“ข้ายังไม่อยากตาย! ข้ายังไม่อยากตาย!”
หลายคนเริ่มกลัวจนมีอาการทางประสาท พวกเขาได้ตะโกนออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า
เหล่าผู้บ่มเพาะพลังดินแดนปราณแท้จริงพยายามวิ่งหนีไปบนน้ำ และ กระทั่งคนธรรมดาก็กำลังดิ้นรนอยู่ในน้ำเพื่อที่จะพยายามว่ายหนี แต่น่าเสียดาย หลังจากพวกเขาสัมผัสกับหมอกสีเทาที่อยู่ห่างออกไปสิบเมตร พวกเขาก็ถูกฆ่าตายโดยตรง
ยังมีเหล่าคนที่คิดว่าตัวเองฉลาดและต้องการดำน้ำฝ่าออกไป แต่พอพวกเขาออกห่างจากเรือไปได้หลายสิบเมตร จิตวิญญาณของพวกเขาก็ยังถูกกลืนกิน หลังจากนั้นร่างกายของพวกเขาก็ผุดขึ้นมาจากใต้น้ำ
จนกระทั่งมีผู้เสียชีวิตมากกว่าหลายสิบหลาย คนอื่น ๆ ที่ยังคงสงบ ก็ทำได้เพียงแค่ทรุดตัวลงบนดาดฟ้าและเริ่มส่งเสียงร้องไห้
แม้แต่ ไป๋ตงหลิน ก็มีสีหน้าที่จริงจัง สถานการณ์นี้เลวร้ายมากกว่าที่เขาคิดเอาไว้ หากเผชิญหน้ากับศัตรูที่มองเห็นตัว เป็นที่แน่นอนว่าเขาไม่จำเป็นจะต้องหวาดกลัว
แต่ศัตรูที่มองไม่เห็นและไม่สามารถจับต้องได้เช่นนี้ แม้แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรกับมันได้
แม้ว่าเขาจะแข็งแกร่ง แต่เขาก็ยังคงมีขีดจำกัดอยู่ที่พลังกายเพียงเท่านั้น เขายังขาดวิธีการเผชิญหน้ากับศัตรูที่มองไม่เห็นโดยเฉพาะศัตรูที่แปลกประหลาดเช่นนี้ ดังนั้นเขาจึงมีความปราถนาที่จะรีบแข็งแกร่งขึ้นโดยเร็วที่สุด
“พี่หลิว ท่านมองเห็นความผิดปกติในชั้นหมอกเหล่านี้หรือไม่?”
ในสายตาของเขา นักพรตเต๋าเช่นหลิวต้าฟู่ ล้วนมีประสบการณ์กับเรื่องพวกนี้มากที่สุด บางทีเขาอาจจะรู้อะไรบางอย่าง
หลิวต้าฟู่ ได้บีบยันต์ในมือของเขา และ มองดูหมอกหนาด้วยสีหน้าที่ระแวดระวัง จากนั้นเขาก็กล่าวพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย :
“พี่ไป๋ ดูเหมือนว่าพวกเราจะเดาถูก หมอก ‘แปลก’ นี้ สมควรเป็นสัตว์ปีศาจหรือไม่ก็ภูติผีที่เป็นสิ่งชั่วร้าย!”
“อีกทั้งมันยังน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง!”
ณ จุดนี้ หลิวต้าฟู่ ได้ขมวดคิ้วพลันนึกถึงสิ่งเลวร้ายและพูดต่อ :
“สิ่งมีชีวิตนี้อยู่ในรูปแบของสิ่งแปลกประหลาด มันมีวิธีการมากมายที่ไม่สามารถคาดเดาได้ เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ตอนที่ข้าออกไปท่องยุทธภพกับท่านอาจารย์ ข้าก็เคยพบเห็นสิ่งมีชีวิตเช่นนี้มาก่อน”
“มันเป็นผีสาวหน้าโลหิต มันสามารถส่งเสียงที่พิเศษออกมา ใครก็ตามที่ได้ยินเสียงร้องของมันจะถูกกระตุ้นไปด้วยความปราถนาที่จะฆ่ากันเองให้ตาย!”
“แม้แต่ท่านอาจารย์ของข้าก็ยังต้องใช้จ่ายไปจำนวนมากกว่าจะสามารถฆ่ามันได้ ในการจัดการกับสิ่งชั่วร้ายประเภทนี้ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ มองหาร่างหลักของมัน มิฉะนั้นมันก็ไม่มีทางถูกทำลายลงได้”
ไป๋ตงหลิน ได้พยักหน้า แน่นอนว่า หลิวต้าฟู่ คนนี้ มีความรู้มาก ไม่แปลกใจเลยที่เขาเป็นศิษย์ที่มีชื่อเสียงของนิกายชื่อดัง
“เช่นนั้น พวกเราก็ไปบอกเรื่องนี้กับกัปตันหวังกันเถอะ ข้ารู้สึกว่าหากปล่อยให้ยืดเยื้อต่อไป จะมีสิ่งเลวร้ายกว่านี้เกิดขึ้น”
หลิวต้าฟู่ ได้พยักหน้าอย่างเห็นด้วยและกล่าวออกมา“ใช่แล้ว เจ้าสิ่งมีชีวิตนี้ สามารถแข็งแกร่งขึ้นได้ผ่านการฆ่า ดูจากจำนวนผู้เสียชีวิตในสองคืนที่ผ่านมา จะเห็นได้ชัดว่าความแข็งแกร่งของมันได้เพิ่มขึ้น”
ภารกิจเร่งด่วนที่สุดของพวกเขาก็คือรวบรวมเหล่านักพรตเต๋าบนเรือเพื่อค้นหาร่างของปีศาจตัวนี้ เพราะการจู่โจมหมอกสีเทาไป มันไร้ประโยชน์
การจะฆ่ามันมีแต่จะต้องทำลายร่างหลักของมันให้สิ้นซากเพียงเท่านั้น!
ทั้งสองคน ได้เดินไปหา หวังลู่เฟย และ บอกเขาเกี่ยวกับการคาดเดาของพวกเขาทั้งหมด หวังลู่เฟย ที่กำลังวิตกกังวล พลันได้สติกลับมาในทันที
เขาได้ออกไปเรียกรวมตัวเหล่านักพรตเต๋าทั้งหมดที่มีพลังทารกในครรภ์หยวนขึ้นไป และ อธิบายถึงการคาดเดาของ หลิวต้าฟู่ อย่างละเอียด
“สหายเต๋าทุกท่าน สถานการณ์ในตอนนี้ค่อนข้างวิกฤติ ดังนั้นข้าจะไม่ขอพูดอะไรมาก หากพวกเราต้องการกำจัดเจ้าสิ่งชั่วร้ายตัวนี้ และ เอาชีวิตรอด พวกเราจะต้องร่วมมือกัน”
“หากปล่อยมันเอาไว้เหล่าดวงจิตที่ล่วงลับไปก็ไม่มีทางหวนคืนสู่แม่น้ำแห่งจิตวิญญาณ!”
โลกใบนี้มองเห็นคุณค่าที่แท้จริงของจิตวิญญาณ เหล่านักพรตเต๋าคนใดที่กล้าเล่นกับจิตวิญญาณที่แท้จริง พวกเขาจะถูกจัดอยู่ในประเภท ผู้บ่มเพาะพลังชั่วร้าย และ ทั้งหมดทั้งมวลจะต้องถูกลงโทษ
จิตวิญญาณที่แท้จริงก็คือรากฐานของผู้คน อีกฝ่ายสามารถฆ่าคน ทำร้ายร่างกายได้ แต่ไม่สามารถยุ่งเกี่ยวกับจิตวิญญาณได้
นี่คือมติของเหล่านักพรตเต๋าในโลก
ดังนั้น ผู้บ่มเพาะพลังทุกคนที่ตระหนักถึงความร้ายแรงของปัญหา แน่นอนว่าพวกเขาได้ปฏิบัติตามคำพูดของ หวังลู่เฟย ในหมู่พวกเขาก็มีผู้บ่มเพาะพลังระดับสูงอยู่ ซึ่งตอนนี้ แม้แต่พวกเขาก็ยังเชื่อฟังเช่นกัน
ใครบ้างที่ไม่อยากจะมีชีวิตรอดออกไป?
ใครบ้างที่ต้องการให้จิตวิญญาณของตนเองถูกทำลายโดยไม่มีโอกาสได้หวนคืนสู่แม่น้ำแห่งจิตวิญญาณ
ดังนั้น ทุกคนจึงได้ปฏิบัติตามคำสั่งของกัปตัน โดยได้เปิดเผยความสามารถของตนเอง และ มองหาต้นตอของปัญหา
พวกเขาได้มองหาวัตถุที่น่าสงสัยทั้งหมด
บนเรือฉางเหลียนในเวลานี้ วัตถุใด ๆ ที่แปลกประหลาด ล้วนถูกตรวจสอบจนหมดสิ้น
พวกเขาไม่กล้าประมาทเพราะกลัวที่จะพลาดโอกาสรอดชีวิต