STBI : ตอนที่ 28 เงาสีเทาออกอาละวาด
ณ เวลากลางคืน.
ในห้องรับแขกที่หันหน้าไปทางทิศตะวันออก
พวก หลิวต้าฟู่ ทั้งสอง ได้นั่งบนเก้าอี้ และ จ้องมองไปทาง ไป๋ตงหลิน ที่กำลังฝึกฝนเบา ๆ
การยืดกล้ามเนื้อด้านข้าง,การยืดกล้ามเนื้อหลัง การยืดกล้ามเนื้อด้านหน้า…
นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมพี่ไป๋ถึงดูทรงพลังมากนัก? ที่แท้นี่เป็นเทคนิคบ่มเพาะพลังลึกลับบางประเภทงั้นหรือไม่?
หลิวต้าฟู่ อดหยุดคิดไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงได้กล่าวถามด้วยความสงสัย :
“พี่ไป๋ ท่านใช้เทคนิคบ่มเพาะพลังแบบใดกัน เหตุใดท่ามันถึงได้ดูแปลกประหลาดยิ่งนัก?”
หลิวต้าฟู่ คิดไม่ออกจริง ๆ ว่าเขาควรจะใช้คำพูดแบบไหน เพราะการกระทำเหล่านี้ดูธรรมดาเกินไปและไม่ทำให้เกิดความผันผวนทางพลังงานฟ้าดินเสียด้วยซ้ำ
ไป๋ตงหลิน ที่ยังเคลื่อนไหวร่างกาย เขาได้เอนศีรษะกลับมาตอบ :
“หืม นี่เป็นเพียงท่าบริหารร่างกายเบา ๆ ที่ข้ามักจะทำทุกวันก่อนเข้านอน มันจะช่วยให้คุณภาพการนอนหลับของข้าดีขึ้นก็เท่านั้น”
“อ๊า~สบายจัง รับนมร้อนสักแก้วมั้ย?”
ไป๋ตงหลิน ได้หยุดมือจากนั้นก็หยิบ เหยือกใส่นม ออกมาจากแหวนมิติของเขา พร้อมกับ วางลงบนโต๊ะ ทันใดนั้น นมร้อนก็ปรากฏขึ้นในทันที
ต้องบอกว่าหลายส่วนของโลกนี้ค่อนข้างสะดวกสบายยิ่งนัก ไม่ว่าจะเป็น ข่ายอาคม การจารึก อักขระพลัง และ ทุกด้านของชีวิต ล้วนมีพวกพลังเหนือธรรมชาติเข้ามายุ่งเกี่ยว
โดยเฉพาะ อักขระพลัง สิ่งนี้มีส่วนดึงพลังงานฟ้าดินจากโลกมาใช้ มันเปรียบได้กับพลังไฟฟ้าในชีวิตก่อนหน้านี้ของเขา ทำให้ อักขระพลัง โดยส่วนใหญ่ ถูกนำไปใช้กับแวดวง ‘อุตสาหกรรม’
“พี่ไป๋ ข้าขอสักแก้วได้รึไม่!”ดวงตาของ จื่อเสี่ยวหลิง ได้เป็นประกาย นางกระตือรือร้นที่จะกินและดื่มมากที่สุด
ไป๋ตงหลิน ได้เลิกคิ้ว เขามีส่วนสูงและลักษณะทางอารมณ์ที่ดูเป็นผู้ใหญ่ ดังนั้นจึงไม่มีใครคิดว่าแท้จริงแล้วเขามีอายุเพียงแค่ 13 ปี
เขาได้รินนมร้อนใส่แก้วให้ทั้งสองคน และ รินใส่แก้วให้กับตัวเอง และ นั่งดื่มมันบนเก้าอี้อย่างช้า ๆ
“อ๊า~อร่อยมาก!”
จื่อเสี่ยวหลิง ได้เหล่ตาของนางและพูดอย่างพึงพอใจ บนปากของนางมีรอยน้ำนมติดอยู่เล็กน้อย
ไป๋ตงหลิน ได้พยักหน้าอย่างเห็นด้วย นมนี้เป็นผลิตภัณฑ์พิเศษของประเทศหนานหยาน มันเป็นนมที่ผลิตออกมาจากสัตว์ชนิดหนึ่งที่ถูกเรียกว่า วัวขนแดง มันมีกลิ่นที่หอมเข้มข้น และ หวานกำลังดี ไม่มีกลิ่นคาวปะปนเลยแม้แต่น้อย ทำให้มันเป็นที่นิยมในประเทศหนานหยานเป็นอย่างมาก
หลิวต้าฟู่ รู้สึกพูดไม่ออก ราวกับว่าพวกเขาไม่ได้อยู่โลกเดียวกัน ในขณะที่สถานการณ์ข้างนอกได้กลายเป็นอันตราย พวกเขายังมีเวลามาชิมนมอย่างผ่อนคลายอีกหรือไม่?
เขาได้ตรวจสอบยันต์ตรวจจับอีกครั้งเพื่อค้นหารอยรั่ว ภายในห้องแห่งนี้ ปกคลุมไปทั่วยันต์ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็น ประตู ผนัง หรือ แม้กระทั่งหน้าต่างที่หนาแน่น
สิ่งนี้ถูกร่ายคาถาลงไปเพื่อใช้ตรวจจับการเคลื่อนไหวล่วงหน้า
เวลาจะออกไปไหน เขาก็จะมีความระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา นี่ถือเป็นนิสัยส่วนตัวของเขา
“อา~ ข้าจะหลับแล้ว พวกท่านก็รีบเข้านอนเถอะ”
ไป๋ตงหลิน ได้ขยี้ตา แล้วปีนขึ้นไปบนเตียงเพื่อเตรียมตัวจะนอน
ห้องนี้มีเตียงเดียว ซึ่งเขาเป็นคนใช้มัน แน่นอนว่าเขาได้สร้างพื้นที่นอนสำหรับ จื่อเสี่ยวหลิง เอาไว้โดยเฉพาะ สำหรับ หลิวต้าฟู่ เขาบอกว่าเขาไม่ต้องการมัน
“ข้าก็จะนอนเหมือนกัน ฝันดีพี่ชาย!”จื่อเสี่ยวหลิง รู้สึกไม่ชื่นชอบเตียงนี้ ดังนั้น นางจึงได้ตัดสินใจนอนบนพื้น
หลิวต้าฟู่ ได้สั่นศีรษะ และ นั่งไขว่ห้างบนพื้น เขาได้หมุนเวียนพลังงานฟ้าดินอย่างเงียบ ๆ ในขณะที่คอยระวังการแจ้งเตือนจากยันต์ตรวจจับ
…
ห้องโดยสารด้านล่าง
กล่องทองแดงลึกลับได้สั่นขึ้นอีกครั้ง จากนั้นก็มีควันสีเทาลอยออกมาหนากว่าเมื่อคืนก่อน
“วิญญาณ…ข้า…ต้อง…การ”
“จิ๊จิ๊จิ๊…”
ควันสีเทาได้ส่งเสียงหัวเราะที่น่าสยดสยองออกมา มันได้วนไปรอบ ๆ ผ่านกำแพงเรืออ และ ลอยเข้าไปยังบริเวณห้องพักของผู้โดยสาร
กัปตัน หวังลู่เฟย กลัวว่าเหตุการณ์นี้จะสร้างความตื่นตระหนก ดังนั้นเขาจึงได้ตัดสินใจปิดกั้นข่าว แต่เรือลำนี้ก็ใหญ่มาก และ มีประชากรที่หนาแน่น ทำให้จากเดิมคนรู้เรื่องนี้แค่ 10 กว่าคน ผ่านไปไม่นานก็เกือบทุกคนที่รู้เรื่องนี้
ดังนั้นในตอนกลางคืน ยกเว้นคนที่มีจิตใจไม่เกรงกลัว 2-3 คน พวกเขาทุกคนล้วนไม่มีใครกล้าที่จะหลับ หากพวกเขาไม่ระวัง จะเป็น พวกเขาเองที่จะเป็นฝ่ายเสียชีวิต
เพียงแต่น่าเสียดายที่พลังของ เงาสีเทาลึกลับนั้นอยู่เหนือจินตนาการของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคาถาวิชาหรือยันต์ ฯลฯ ก็ล้วนไม่สามารถตรวจจับมันได้
ความเร็วของหมอกสีเทานี้รวดเร็วมาก และ รุนแรงกว่าเมื่อคืน แม้ว่า นักพรตเต๋าเหล่านี้จะรู้สึกตื่นตัวตลอดเวลา แต่ก่อนที่เขาจะได้ทันตอบสนอง จิตวิญญาณของเขาก็ถูกกลืนกินไปเสียแล้ว
หมอกสีเทานี้ ค่อนข้างโหดเหี้ยมเป็นอย่างมาก หลังจากจัดการคนแรกเสร็จ มันก็พุ่งไปยังข้างหน้าเพื่อมองหาคนที่ยังมีชีวิตต่อไป แม้จะเป็น ทีมลาดตระเวณก็ไม่มีข้อยกเว้น
ไม่นานมันก็ได้กลืนคนกว่า 400 คนอย่างรวดเร็ว ในเวลานี้ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ได้กลายเป็นตื่นตระหนก เสียงไซเรนได้ดังขึ้นไปทั่วเรือ ‘ฉางเหลียน’
ทีมลาดตระเวณที่ประกอบไปด้วยเหล่านักพรตเต๋าชั้นยอดได้วิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็วเพื่อค้นหาไปรอบ ๆ
หมอกสีเทานี้ได้มาถึงขีดจำกัดแล้ว และ มันก็ไม่ได้ออกล่าอีกต่อไป มันได้โฉบเป็นวงกลมและบินอยู่ใต้ดาดฟ้าของเรือ
หมอกสีเทา ไม่ได้กลับไปที่กล่องทองแดงของมัน แต่มันได้กระจัดกระจายไปยังพื้นที่โดยรอบ ราวกับว่ากำลังมองหาอะไรบางอย่าง
ไม่นาน หมอกสีเทาก็มาถึงใจกลางของเรือ ‘ฉางเหลียน’ ที่นี่เป็นพื้นที่เล็ก ๆ ที่ปกคลุมไปด้วยอักขระพลังที่ซับซ้อน ทั้งหมดทั้งมวล ได้เชื่อมต่อกับ ลูกแก้วทรงกลมสีเงินตรงกลาง
ลูกแก้วทรงกลมนี้เป็นแกนพลังของ เรือฉางเหลียน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่สุดของ เรือฉางเหลียน อีกทั้งยังเป็นสถานที่ที่ได้รับการป้องกันอย่างหนาแน่นที่สุด
ทว่าใครจะไปคิดว่าหมอกสีเทาจะทะลุผ่านเข้ามาได้ง่าย ๆ
มันยังคงวนเวียนอยู่ในพื้นที่โดยรอบแกนพลังงาน ราวกับว่ามันรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง ดังนั้นจึงยังไม่ได้ตัดสินใจลงมือ
จากนั้นเวลาก็ผ่านไปกว่าถ้วยน้ำชา หมอกสีเทา ได้ม้วนตัวอย่างรุนแรง และ เข้าไปยังลูกแก้วทรงกลมสีเงินในทันที
แสงสีขาวและแสงสีดำบนลูกแก้วทรงกลมสีเงินยังคงสลับกันอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าแกนพลังงานจะมีความสำคัญมาก แต่มันก็ไม่มีความสามารถในการปกป้องตัวเองจากศัตรู จนท้ายที่สุด แสงพลังภายในก็ดับลงจากนั้นมันก็ถูกทิ้งร้างเอาไว้
“จิ๊จิ๊จิ๊…”
เสียงหัวเราะแปลก ๆ ได้ดังออกมาจากหมอกสีเทา จากนั้นมันก็กลับไปยังกล่องทองแดงในห้องเก็บสัมภาระ ส่วนหนึ่งของลวดลายบนกล่องสีทองแดงได้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง มันได้บิดเบี้ยวเล็กน้อยและปล่อยพลังงานชั่วร้ายที่น่ากลัวออกมา
ในขณะที่แกนพลังถูกทำลาย อักขระพลังทั่วทั้งเรือฉางเหลียน ก็สั่นไหว จนในที่สุดมันก็ดับไปอย่างสมบูรณ์ แม้กระทั่งหยุดเคลื่อนไหว
ทั่วทั้งเรือได้จมดิ่งลงสู่ความมืดมิดไปชั่วขณะ และกระทั่งมีเสียงกรีดร้องอันน่าสยดสยองดั่งไปทั่วทุกหนแห่ง มนุษย์เกิดมาพร้อมกับความหวาดกลัวต่ออิทธิพลของความมืด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อรู้ว่ามีบางสิ่งที่เลวร้ายที่สามารถกลืนกินวิญญาณของพวกเขาได้ซ่อนตัวอยู่รอบพวกเขา
ดังนั้นหลายคนจึงรู้สึกมีอาการทางประสาทและกรีดร้องออกมา
โชคดีที่หลังจากนั้นไม่นานไฟก็ถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง มันเป็นพลังงานสำรองที่ถูกนำออกมาใช้
น่าเสียดายที่พลังงานนี้อ่อนแอมาก มันไม่สามารถขับเคลื่อนเรือฉางเหลียนได้ และ ทำได้เพียงคงสภาพโครงสร้างพื้นฐานของเรือบางอย่างเท่านั้น
เมื่อไฟสว่างขึ้น เสียงของฝูงชนที่ตื่นตระหนกก็ค่อย ๆ เงียบสงบลง
กัปตันหวางลู่เฟย ค่อนข้างยุ่งมากเวลา เขาได้นำเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยออกค้นไปทั่วเรือฉางเหลียน หลายครั้ง แต่ก็ไม่พบร่องรอยของฆาตกร มีเพียงศพเท่านั้นที่ถูกค้นพบอย่างต่อเนื่องเหมือนกับเมื่อคืนก่อน และ พวกเขาทั้งหมดถูกกลืนกินจิตวิญญาณและตายโดยตรง
ไม่เพียงเท่านั้น แกนพลังของเรือฉางเหลียน ก็ยังมาถูกทำลาย สิ่งนี้ทำให้ใบหน้าของเขากลายเป็นขาวซีด ศัตรูได้ซุ่มโจมตีอยู่ในที่ลับ และ คอยกลืนกินพวกเขาไปอย่างเงียบ ๆ
จิตใจของเขาได้กลายเป็นตื่นตระหนก แม้ว่าเรือฉางเหลียนจะมีแกนพลังงานสำรอง แต่มันก็จะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3 วันในการเปลี่ยนแกนพลังงานใหม่
แต่ทว่า ความสามารถของคู่ต่อสู้สามารถทะลุผ่านแกนพลังที่มีการป้องกันที่หนาแน่นที่สุดได้ แม้ว่าจะเปลี่ยนไปใช้แกนสำรอง ผลลัพธ์ก็คงไม่ต่างกัน
ฝ่ายตรงข้ามก็ยังสามารถทำลายแกนพลังงานได้เหมือนเดิม วิธีการเดียวของพวกเขาในตอนนี้ก็คือค้นหาฆาตกรและกำจัดมันก่อนที่จะซ่อมเรือเสร็จ
หลังจากจัดการศัตรูได้แล้วก็ค่อยกู้สภาพของเรือฉางเหลียนกลับมา
ดังนั้น กัปตันหวางลู่เฟย จึงได้นำทีมค้นหาเบาะแส หากคืนนี้เขายังคงไม่พบร่องรอยของอีกฝ่าย เขาคงทำได้เพียงละทิ้งเรือและขึ้นฝั่งในตอนเช้า
แม้ว่าแม่น้ำนูจะกว้างขวาง แต่เรือฉางเหลียน ก็อยู่ไม่ไกลจากฝั่งมากนัก มันห่างออกไปเพียงแค่ไม่กี่ลี้ ด้วยพลังของเหล่านักพรตเต๋า พวกเขาไม่จำเป็นจะต้องใช้ความพยายามมากในการไปถึงฝั่ง
ซึ่ง หวางลู่เฟย ก็รู้ดีอยู่แก่ใจ จนถึงเช้าวันพรุ่งนี้ ยอดผู้เสียชีวิตในคืนนี้ก็จะถูกเปิดเผย ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้สั่งการ แต่เหล่านักพรตเต๋า ก็จะละทิ้งเรือแห่งนี้ไปด้วยตนเอง
แต่เขาไม่สามารถละทิ้งเรือไปได้ในตอนนี้ ในสถานการณ์ที่ต้องละทิ้งเรือ เขาคิดว่าจะใช้มันเป็นสถานการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดเท่านั้น
เพียงแต่หากผู้โดยสารละทิ้งเรือและขึ้นฝั่งไป สิ่งนี้จะทำลายชื่อเสียงหอการค้าของตนเป็นอย่างมาก คงจะไม่มีใครมาใช้บริการหอการค้าที่มีชื่อเสียงไม่มั่นคงเช่นนี้
ในฐานะผู้รับผิดชอบหลัก เขาสามารถพูดได้เลยว่า อนาคตของเขาจะก้าวเดินต่อไปข้างหน้าหรือดับลงก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในตอนนี้ หากเขากลับไปโดยที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ เกรงว่าเขาคงจะถูกลงโทษโดยหอการค้าเป็นแน่
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของ หวางลู่เฟย ก็มืดมน และ กลายเป็นตื่นตระหนกมากยิ่งขึ้น