บทที่ 628 แอบยุ่ง(ตอนฟรี)
บทที่ 628 แอบยุ่ง
การมาถึงของจี้เสี่ยวหยูทำให้จี้เฟิงได้หยุดพักจากตารางงานที่ยุ่งของเขาและการได้มีช่วงเวลาที่ดีในยามว่างนี้ทำให้จี้เฟิงรู้สึกผ่อนคลายมาก เขาทานอาหารเย็นที่บ้านของอาสอง ดื่มแอลกอฮอล์อีกสองสามแก้วพลางพูดคุยและหัวเราะกับพี่รองของเขา
เซียวหยูซวนและถงเล่ยก็มีความสุขเช่นกัน เพราะตั้งแต่จี้เฟิงเริ่มทำงานในโรงงานผลิตยาและบริษัทเครือข่ายอย่างจริงจัง เขาก็ยุ่งมาก ในทุกๆวันเขาจะออกจากบ้านตั้งแต่เช้ามืดและกว่าจะกลับมาก็มืดค่ำแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะเข้านอนกับพวกเธอทุกคืน แต่เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายของเขาทรุดโทรมจนเกินไป พวกเธอจึงจำกัดเรื่องบนเตียงของจี้เฟิงอย่างเคร่งครัด และคอยกีดกันไม่ให้พวกเขาทำเรื่องแบบนั้นบ่อยจนเกินไป
แน่นอน แม้ว่าสุดท้ายแล้วทั้งสองสาวจะไม่สามารถต้านทานการหยอกเย้าของจี้เฟิงได้ จนต้องตกไปอยู่ในพายุอันรุนแรงที่นำโดยจี้เฟิง แต่เหตุผลส่วนหนึ่งมันเป็นเพราะจี้เฟิงมีเวลาให้กับพวกเธอก็แค่ในช่วงกลางคืนแบบนี้เท่านั้น
ดังนั้นในกรณีนี้ แฟนสาวทั้งสองคนของจี้เฟิงย่อมที่จะเหงาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่ตอนนี้จี้เฟิงหยุดพักงานและใช้เวลาว่างมาพักผ่อนร่วมกันกับพวกเธอ เซียวหยูซวนและถงเล่ยจึงมีความสุขเป็นธรรมดา
“พี่รอง! มาชน! หมดแก้วนะ!” จี้เฟิงยกแก้วขึ้นด้วยรอยยิ้ม และชนกับแก้วของจี้ช่าวเหลยพี่ชายคนที่สองของเขาก่อนจะยกดื่มหมดแก้ว
จี้ช่าวเหลยก็เงยหน้าขึ้นและกระดกเบียร์ในแก้วจนหมดเกลี้ยง จากนั้นก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “น้องสาม กระบวนท่าที่นายสอนฉันมันเจ๋งจริงๆ ผ่านมาแค่ครึ่งปี แต่ฉันรู้สึกได้เลยว่าร่างกายของฉันเปลี่ยนแปลงไป มันคล่องแคล่วกว่าเดิมมาก!”
นับตั้งแต่ที่เขาพ่ายแพ้และเสียหน้าต่อหน้าเซียงยี่โหรว จี้ช่าวเหลยก็คิดที่จะทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นตลอดเวลา อย่างน้อยก็ต้องเอาชนะเซียงยี่โหรวให้ได้ ดังนั้นเป็นเวลากว่าครึ่งปีแล้วที่จี้ช่าวเหลยยืนกรานที่จะฝึกยิมนาสติกชุดแรกที่สอนโดยจี้เฟิง แม้ว่าในตอนแรกมันจะเจ็บปวดและทรมานมาก แต่เพื่อที่จะได้ครอบครองหญิงงามที่เขาหมายปองเอาไว้ให้ได้โดยเร็วที่สุด เขายังคงกัดฟันและเพียรพยายามมาตลอดครึ่งปี
และผลของความพยายามของเขาก็ให้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจแก่เขา
ในเวลาเพียงครึ่งปี จี้ช่าวเหลยสามารถรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนมาก ในตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นความอดทนทางกายภาพหรือพละกำลังของเขา มันก้าวหน้าขึ้นมาก เมื่อไม่กี่วันก่อน จี้ช่าวเหลยลองไปทำการทดสอบที่โรงยิม และผลที่ได้ทำให้เขาตกตะลึงมาก ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมถึงสองเท่า!
มันน่าทึ่งมาก!
คุณอาจจะรู้อยู่แล้วว่าความแข็งแกร่งของคนเรานั้นสามารถเพิ่มขึ้นได้อย่างมากหากได้รับการฝึกฝนอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยสภาพร่างกายดั้งเดิมของจี้ช่าวเหลย มันยากมากที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งของเขาเป็นสองเท่าในเวลาเพียงครึ่งปี
เหตุผลนั้นง่ายมาก หากเป็นคนที่ร่างกายอ่อนแออยู่ก่อนแล้ว มันจะยิ่งเห็นผลชัดเจนมากหากมีพละกำลังที่เพิ่มมากขึ้น และการจะเพิ่มความแข็งแกร่งจากเดิมเป็นสองเท่าก็ไม่ใช่เรื่องยาก
แต่กับคนที่มีร่างกายแข็งแรงมากอยู่แล้ว และยังต้องการเพิ่มพละกำลังให้มากขึ้นไปอีก มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
เปรียบเหมือนนักกีฬา ไม่ว่าจะเป็น ยกน้ำหนัก วิ่ง กระโดดข้ามรั้วหรือกีฬาอื่นๆที่เน้นทางกายภาพ หลังจากฝึกฝนมาอย่างยาวนาน ร่างกายของนักกีฬาก็จะมาถึงระดับหนึ่ง การพัฒนาขึ้นเพียงเล็กน้อยก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมากๆแล้ว
แต่กฎนี้กลับไม่เกิดขึ้นกับจี้ช่าวเหลย
เขาออกกำลังกายอยู่เป็นประจำและเคยฝึกฝนซ่านโฉ่ว(ศิลปะป้องกันตัวอย่างหนึ่งของจีน) แต่ตอนนี้ร่างกายของเขากลับแข็งแรงขึ้นอย่างมาก ไม่เพียงแค่ความแข็งแรงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงคุณสมบัติทางกายภาพอื่นๆด้วย แล้วจะไม่ให้จี้ช่าวเหลยรู้สึกตื่นเต้นดีใจและมีความสุขมากขนาดนี้ได้อย่างไร
จี้เฟิงได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มและกล่าวว่า “พี่รอง เป็นเพราะว่าพี่ผ่านช่วงเริ่มต้นที่ยากที่สุดของยิมนาสติกชุดแรกมาได้ บวกกับสมรรถภาพทางร่างกายดั้งเดิมของพี่ที่ไม่ได้ดีอะไรมากนัก เลยทำให้ดูพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วแบบนี้ แต่หลังจากที่พี่ฝึกฝนยิมนาสติกชุดแรกได้ครบทุกท่วงท่าจนชำนาญแล้ว การพัฒนาที่มากและรวดเร็วแบบนี้จะไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป!”
“ร่างกายของฉันมันแย่มาก?!” เส้นเลือดสองสามเส้นปูดโปนขึ้นบนหน้าผากของจี้ช่าวเหลยอย่างช่วยไม่ได้ เขายิ้มอย่างขมขื่นก่อนจะกล่าวว่า “น้องสาม ฉันว่านายใช้มาตรฐานในการวัดผิดมากกว่า สำหรับคนธรรมดา สภาพร่างกายดั้งเดิมของฉันมันดีมากเลยนะ แน่นอนว่าถ้าเอาไปเปรียบเทียบกับนาย มันก็ต้องแย่กว่าอยู่แล้ว!”
จี้เฟิงยิ้ม “ผมจะไม่บอกว่าที่พี่รองพูดมันผิดหรือถูก แต่ผมจะบอกว่า ท่าทางต่างๆที่ผมสอนไป มันสามารถทำให้พี่พัฒนาจนถึงระดับเดียวกันกับผมได้! ดังนั้นพี่ว่าผมควรจะใช้มาตรฐานเดียวกันกับผมหรือเปล่าล่ะ?”
“จริงเหรอ?!” จี้ช่าวเหลยตกใจ “ถ้าฝึกแบบนี้ไปเรื่อยๆฉันก็สามารถพัฒนาไปถึงระดับเดียวกับนายได้เหมือนกันเหรอ?”
จี้เฟิงยิ้ม “อีกไม่ช้าก็เร็ว มันขึ้นอยู่กับเวลาและความขยันขันแข็งของพี่!”
“ฮี่ฮี่~!”
จู่ๆจี้ช่าวเหลยก็หัวเราะและพูดด้วยความตื่นเต้นว่า “น้องสาม ฉันเชื่อคำพูดของนายนะ ฉันจะขยันฝึกฝนและพัฒนาไปจนถึงจุดที่นายอยู่.... ว่าแต่ด้วยสภาพร่างกายของฉันในตอนนี้ มันควรจะใช้ระยะเวลาเท่าไหร่ถึงจะเท่านายในตอนนี้ได้?”
“ประมาณ 5 ปี!” จี้เฟิงยิ้ม
“ห้าปี?! ....” จี้ช่าวเหลยแทบจะสำลัก “น้องสาม นายพอจะย่นระยะเวลาให้สั้นลงหน่อยได้รึเปล่า?”
“ก็ถ้าพี่รองขยันขันแข็งมากพอ ระยะเวลามันจะสั้นลงเองตามธรรมชาติ!” จี้เฟิงยังคงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ดีล่ะ! ถ้าอย่างนั้น ฉันจะฝึกทุกครั้งที่มีเวลาว่างเลย แล้ววันหนึ่งช่าวเหลยคนนี้จะกลายเป็นปรมาจารย์ด้านการต่อสู้ หึหึ...” จี้ช่าวเหลยดูตื่นเต้นมากและอดหัวเราะไม่ได้
อย่างไรก็ตาม เขาไม่ทราบว่าสิ่งที่จี้เฟิงพูดเกี่ยวกับการฝึกฝนให้อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา จริงๆแล้วรวมถึงการฝึกฝนยิมนาสติกชุดที่สองจนเสร็จสิ้นด้วย!
เมื่อเทียบกับการเคลื่อนไหวของยิมนาสติกชุดแรก ความยากลำบากของการเคลื่อนไหวชุดที่สองนั้นดูผิดเพี้ยนและมีท่าทางที่ประหลาดกว่ามาก หากคนธรรมดาต้องการดำเนินการฝึกฝนยิมนาสติกชุดแรกให้เสร็จจะต้องใช้เวลาประมาณ 1 ปี หลังจากนั้นจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3 – 4 ปีในการฝึกฝนยิมนาสติกชุดที่สอง
และในตอนนี้ แม้จะเป็นจี้เฟิงเองก็ตาม เขาก็ยังไม่เข้าใจการเคลื่อนไหวในชุดที่สองอย่างสมบูรณ์ และยังคงต้องการระยะเวลาในการรวมเข้าด้วยกันด้วย แล้วจี้ช่าวเหลยจะประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วได้อย่างไร?
แต่สำหรับจี้ช่าวเหลย ตราบใดที่ยังมีความหวัง และโอกาสความสำเร็จไม่ใช่ศูนย์ มันก็ดีมากสำหรับเขาแล้ว และที่เขาไม่สงสัยเลยเพราะข้อเท็จจริงได้พิสูจน์ให้เขาเห็นแล้วว่าการฝึกฝนชุดยิมนาสติกที่สอนโดยจี้เฟิงนั้นมีประสิทธิภาพจริงๆ ถ้าเขาหมั่นเพียรในการฝึกอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
“พี่รองคะ อย่าหัวเราะแบบนี้ มันน่าเกลียดมากเลยรู้มั้ย!” จี้เสี่ยวหยูที่นั่งอยู่ข้างๆเขาย่นจมูกเล็กๆของเธอและพูดแซวอย่างไร้ความปรานี
“คุณหนูน้อย นี่พี่รองของเธอนะ กล้ามาล้อเลียนพี่ชายของเธอได้ยังไง!” จี้ช่าวเหลยพ่นลมหายใจฮึดฮัด
“คิกๆ~ แบบนี้ยิ่งตลกใหญ่เลย ขนจมูกกระพือด้วย มันน่าเกลียดมากเลย!” จี้เสี่ยวหยูหัวเราะคิกคัก
ต่อหน้าเซียวหยูซวนและถงเล่ย แต่จี้ช่าวเหลยกลับถูกสาวน้อยอย่างจี้เสี่ยวหยูล้อเลียน เขารู้สึกเสียหน้านิดหน่อย จึงอดไม่ได้ที่จะพ่นลมหายใจและพูดว่า “ดี! เธอว่าพี่รองของเธอแบบนี้ใช่มั้ย ทีแรกพี่กะว่าพรุ่งนี้จะพาเธอไปเที่ยวเล่นและซื้อของขวัญชิ้นใหญ่เป็นการต้อนรับที่เข้าเรียนได้ซักหน่อย แต่ตอนนี้คงไม่ต้องแล้วละมั้ง...”
“โอ๊ะ!” จี้เสี่ยวหยูหยุดหัวเราะ เธอตีหน้าซื่อและกล่าวว่า “พี่รอง พี่คงเมาแล้ว เมื่อกี้เสี่ยวหยูไม่ได้พูดอะไรเลยนะคะ!”
“งั้นเหรอ? เธอไม่ได้พูดหรอกเหรอ?” จี้ช่าวเหลยถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“ใช่ค่ะ เสี่ยวหยูไม่ได้พูดอะไรจริงๆ!” จี้เสี่ยวหยูพยักหน้าเหมือนไก่จิกข้าวเปลือก ท่าทางของเธอดูน่ารักมาก
อาสะใภ้รองรู้สึกเอ็นดูจี้เสี่ยวหยูมากเมื่อเห็นท่าทางน่ารักของเธอ ดังนั้นเธอจึงอดไม่ได้ที่จะจ้องไปที่จี้ช่าวเหลยและแค่นเสียง “เจ้าลูกหมา ทำไมถึงพูดกับน้องเสียงแข็งแบบนั้นล่ะ! .... เสี่ยวหยู ไม่ต้องห่วงนะลูก อาสะใภ้จะบอกให้พี่รองของหนูมอบของขวัญให้หนูพรุ่งนี้เลย! แต่ถ้าเขาไม่ยอมซื้อ อาสะใภ้จะไม่ละเว้นเขาแน่!”
“ฮี่ฮี่~!” เมื่อมองไปที่จี้ช่าวเหลย พี่รองของเธอที่กำลังถูกดุ จี้เสี่ยวหยูก็หัวเราะขึ้นมาทันที
จี้เฟิงถือแก้วเบียร์และมองดูจี้ช่าวเหลยและคนอื่นๆ พูดคุยหยอกล้อและหัวเราะกันอย่างต่อเนื่อง เขาก็อดส่ายหัวทั้งรอยยิ้มไม่ได้ มันหายากมากที่จะมีช่วงเวลาที่ผ่อนคลายเช่นนี้!
อาสองจี้เจิ้นกั๋วดูเหมือนจะรู้ว่าจี้เสี่ยวหยูกลัวตัวเอง หรืออาจเป็นเพราะเขาไม่ต้องการเห็นจี้เฟิงอวดแฟนสาวทั้งสองคน ดังนั้นเมื่อเขากินข้าวไปชามหนึ่ง และกินอาหารว่างอีกสองสามคำก็ลุกขึ้นไปในห้องหนังสือทันที เขาไม่ได้จิบไวน์หรือเบียร์เลยด้วยซ้ำ
จี้เฟิงดื่มเบียร์กับจี้ช่าวเหลยอีกสองสามแก้วก่อนจะยิ้มและพูดว่า “อาสะใภ้รองครับ กินกันไปก่อนได้เลยนะครับ ผมจะไปหาอารองซักหน่อย มีบางเรื่องที่ต้องปรึกษา”
ตระกูลจี้ยึดมั่นในหลักการเสมอว่าภรรยาและผู้หญิงจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ดังนั้นเมื่อจี้เฟิงบอกว่าจะไปคุยธุระกับจี้เจิ้นกั๋ว อาสะใภ้รองจึงพยักหน้าด้วยรอยยิ้มและไม่ได้ถามอะไร “ไปเถอะ!”
หลังจากทักทายคนอื่นอีกเล็กน้อย จี้เฟิงก็เดินจากไปด้วยรอยยิ้ม
เมื่อมาถึงหน้าห้องหนังสือ จี้เฟิงก็เคาะประตูทันที “ก๊อก! ก๊อก!”
“เข้ามา!” น้ำเสียงที่เคร่งขรึมของจี้เจิ้นกั๋วดังมาจากด้านในห้องหนังสือ “ประตูไม่ได้ล็อก!”
จี้เฟิงผลักประตูและเดินเข้าไปทันที เขาเห็นอารองนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานสวมแว่นสายตาและกำลังมองเอกสารบางอย่าง
เมื่อเห็นจี้เฟิงเดินเข้ามา จี้เจิ้นกั๋วก็ปิดแฟ้มเอกสารลงและชี้ไปที่โซฟาตรงหน้าเขาและพูดว่า “นั่งลง”
“อาสองครับ ผมมีบางอย่างที่ต้องคุยกับคุณ!” จี้เฟิงไตร่ตรองคำพูดของเขาและถามอย่างลังเลว่า “อาสองรู้เรื่องแก๊งแบล็กเมล์ออนไลน์ที่ได้สร้างปัญหาใหญ่อยู่ในเจียงโจวเมื่อไม่นานนี้แล้วใช่มั้ยครับ?”
“เจ้าเด็กตัวเหม็น อยากจะพูดอะไรกันแน่?!
จี้เจิ้นกั๋วเหลือบมองจี้เฟิงและอดไม่ได้ที่จะพ่นลมหายใจออกมาด้วยความไม่พอใจ “เป็นแค่เด็กน้อย แต่เก่งมากแล้วสินะ ถึงได้กล้าใช้เส้นสายของตัวเองเพื่อเปลี่ยนคนร้ายให้กลายเป็นอิสระได้! ก่อนที่เจ้าจะทำเรื่องทั้งหมดนี้ ทำไมถึงไม่คิดที่จะมาคุยกับฉันอย่างตอนนี้ล่ะ?!”
น้ำเสียงของจี้เจิ้นกั๋วดูไร้ความปรานีมาก ใบหน้าของเขาก็บึ้งตึง ดวงตาของเขาจ้องเขม็งไปที่จี้เฟิงอย่างไม่วางตา
จี้เฟิงเข้าใจในทันทีว่าอาสองกำลังพูดถึงเรื่องอะไร นั่นก็คือเขาใช้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเจิ้งหยวนซานเพื่อช่วยเหลือหวังซินออกจากแก๊งแบล็กเมล์ออนไลน์ก่อนจะมีการจับกุม และทำให้เธอกลายเป็นผู้จัดการทั่วไปของบริษัทเถิงเฟยเน็ตเวิร์กคอมพะนี อันที่จริง เขาพอจะคิดไว้แต่แรกแล้วว่าเจิ้งหยวนซานจะต้องบอกอาคนที่สองของเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน ไม่ต้องพูดถึงว่าหลังจากเรื่องนี้จบลงจะยังมีอะไรเกี่ยวข้องกับเจิ้งหยวนซานอีกหรือเปล่า เพราะมันปลอดภัยกว่าสำหรับเขาหากจะรายงานเรื่องนี้กับจี้เจิ้นกั๋วอาคนที่สองของจี้เฟิงให้รับรู้ไว้
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องการเอาตัวรอดพื้นฐานของมนุษย์ จี้เฟิงจึงไม่คิดที่จะตำหนิเจิ้งหยวนซาน แต่ตอนนี้เมื่อจี้เฟิงต้องเผชิญหน้ากับอาสอง เขาก็อดไม่ได้ที่จะเกาหัวเล็กน้อย เพราะวิธีการและแนวทางของเขาก็ไม่ต่างจากคุณชายหน้าโง่ทั่วๆไป ที่ใช้อำนาจในทางที่ผิด แม้ว่าจุดประสงค์จะต่างกัน แต่กระบวนการและวิธีการไม่ได้แตกต่างอะไรกันเลย
“อาสองครับ ที่จริงแล้วเรื่องนี้...” จี้เฟิงอ้าปาก แต่ไม่มีเหตุผลอะไรให้เขาแก้ตัวได้เลย เขาจึงยิ้มอย่างขมขื่น “มันเป็นความผิดของผมเอง อาสองควรลงโทษ!”
“ฮึ่ม!”
จี้เจิ้นกั๋วแค่นเสียงอย่างเย็นชา “เจ้ารู้ตัวด้วยหรือว่าสิ่งที่ทำลงไปมันผิด?!”
จี้เฟิงอดยิ้มขมขื่นไม่ได้ แต่ในใจก็แอบสงสัยไม่ได้ว่าทำไมอาสองถึงได้ดูโมโหมากขนาดนี้ หรือว่าเรื่องนี้มีความผิดพลาดอะไรบางอย่างเกิดขึ้นโดยที่เขาไม่รู้?
“เอาล่ะ อย่ามัวยืนอ้ำๆอึ้งๆ!” จี้เจิ้นกั๋วพ่นลมหายใจและกล่าวว่า “นั่งลงให้เรียบร้อย แล้วบอกมาได้แล้วว่ามีอะไรจะคุยกับฉัน!”
…จบบทที่ 628~❤️