ตอนที่แล้วSTBI : ตอนที่ 22 ลาจาก
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปSTBI : ตอนที่ 24 ตลาดกลางคืนหลินเจียง

STBI : ตอนที่ 23 เมืองหลินเจียง


1 เดือนต่อมา

แม่น้ำนู ที่นี่เป็นแม่น้ำที่กว้างใหญ่ โดยไม่รู้ ความกว้าง ความยาว และ จุดสิ้นสุดของมัน

เพียงแต่ว่าที่นี่มีพื้นที่ครอบคลุมมากมายรวมถึง เก้าดินแดนสามอาณาเขต

ไป๋ตงหลิน ได้ใช้เวลา เกือบ 1 เดือนในการเดินทางข้ามหลายประเทศ จนในที่สุด ก็มาถึง อาณาจักรตงหมิง แห่งนี้

เขาได้ตัดสินใจใช้เส้นทางน้ำซึ่งช่วยประหยัดเวลาในการเดินทางได้มาก ในเดือนที่ผ่านมา เขาได้ขี่ม้าจนตายไป 2-3 ตัว กระทั่งรองเท้า 2-3 คู่ ก็แตกหัก แต่เขาก็ยังไปไม่ถึงไหน

บนเส้นทางถนน นั้นเต็มไปด้วยอันตราย แต่เขาไม่ได้หวาดกลัวอันตราย เขาเพียงแค่ไม่อยากจะเสียเวลาอยู่บนท้องถนน

เขาได้ศึกษาแผนที่อย่างรอบคอบที่ พี่รอง เป็นคนมอบให้เขา เขาพบว่าแม่น้ำนู ได้ไหลผ่าน เก้าดินแดนสามอาณาเขต และ มีทางลัดไปถึง อาณาเขตเล่ยเจ๋อ

เส้นทางนี้ประหยัดกว่าเส้นทางบนบกมากกว่าครึ่ง

ดังนั้นเขาจึงได้เดินทางมาถึงอาณาจักรตงหมิง ซึ่งมีท่าเรือที่ใหญ่ที่สุด เขาพร้อมที่จะนั่งเรือลำใหญ่และใช้เส้นทาง ทางน้ำเพื่อเดินทาง

เมืองหลินเจียง ที่นี่คือเมืองใหญ่ที่ติดอยู่กับแม่น้ำนู และ เป็นเมืองใหญ่ที่สุดเท่าที่ ไป๋ตงหลิน เคยเห็น

จุดสำคัญของเมืองนี้ก็คือเป็นเมืองท่าเรือที่ใหญ่ที่สุด

แม้ว่าเมืองนี้จะอยู่ในอาณาเขตของอาณาจักรตงหมิง แต่ก็ไม่ได้อยู่ภายใต้อำนาจของอาณาจักรตงหมิง เพราะที่นี่มีอำนาจของนิกายหลายฝ่ายตั้งอยู่

เรือขนาดใหญ่ที่จะผ่านอาณาเขตเล่ยเจ๋อ ไม่ได้อยู่ที่นี่ ไป๋ตงหลิน ได้กล่าวถาม และ ได้รับคำตอบว่าเรือลำต่อไปที่จะมาถึงจะต้องรออีกครึ่งเดือน

ดังนั้นเขาจึงได้ปักหลักอยู่ที่เมืองหลินเจียง ในเวลานี้เขากำลังรับประทานอาหารในร้านอาหาร และ มองหาสถานที่เช่าเพื่อพักอาศัย

“!!!”

ในเวลานี้ เสียงตบโต๊ะของคนเล่าเรื่องก็ได้ดึงดูดความสนใจของทุกคน

นักเล่าเรื่องที่มีเคราและผมสีขาวได้มองไปรอบ ๆ เมื่อเห็นว่าสายตาของเหล่านักเดินทาง ดึงดูดมาที่เขา เขาก็ลูบเคราของตัวเองและกล่าวพูดเสียงดัง :

“ว่ากันว่าปีที่แล้ว มีสัตว์ปีศาจปรากฏตัวขึ้นที่มณฑลหลานหลิง สัตว์ปีศาจตัวนี้มีหัวที่โต มีสี่แขนและสามขา สูง 3 ฟุต 8 ชุ่น ขึ้นชื่อด้านความโหดร้าย จนสร้างความโกลาหลไปทั่วมณฑลหลานหลิง…”

“เหล่าคนจากมณฑลหลานหลิงต่างทุกข์ทรมาณเป็นอย่างมาก เพราะสัตว์ปีศาจตัวนี้ได้อาศัยความสามารถที่แข็งแกร่งของมันในการก่ออาชญากรรมครั้งใหญ่ในพื้นที่”

ปั้ง!

นักเล่าเรื่องชราได้ตบโต๊ะอย่างรุนแรง

“แล้วอย่างไรต่อ?”

เหล่านักเดินทางในร้านอาหารต้องการที่จะรู้เรื่องราวต่อเขาได้กล่าวถามเสียงดัง :

“เกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น รีบเล่ามาเร็ว”

“นี่ อย่าเพิ่งสิ ตาเฒ่า!”

“หากเจ้าต้องการเงินตอบแทน ข้าก็จะให้!”

เสียงนั้นได้ลดลง ทุกคนต่างขว้างแผ่นเงินและเหรียญทองแดงของพวกเขาไปที่โต๊ะ

นักเล่าเรื่องชราต่างพยักหน้าด้วยความพึงพอใจจากนั้นก็ยิงค้อนอีกครั้ง :

“ในขณะที่สัตว์ปีศาจตัวนี้กำลังบุกโจมตีเมือง มันก็ไม่คาดคิดว่าตนเองจะต้องมาพบเจอกับศิษย์ที่ดีที่สุดของนิกายจื่อฟู ปรมาจารย์เถียนฟู่ ที่กำลังกลับบ้านเพื่อเยี่ยมญาติของเขา…”

ตึก ตึก

ในเวลานี้เอง ที่มีชายหญิงคู่นึงเดินเข้ามาที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้

พวกเขาเหลือบมองไปที่ชั้นแรกที่เต็ม และ ชั้นที่สองตรงที่นั่งริมหน้าต่าง ที่มีชายในชุดคลุมสีดำนั่งเพียงลำพัง

ในตอนนี้เอง ชายหญิงคู่นี้ ได้เดินขึ้นไปข้างบน นัยน์ตาของพวกเขาได้เป็นประกาย ก่อนที่ ชายหนุ่มจะกล่าวถามออกมาอย่างสุภาพ :

“คุณชายท่านนี้ ข้าสงสัยว่าท่านจะช่วยแบ่งบันที่นั่งให้กับข้า และ ศิษย์น้องของข้าได้รึไม่?”

ไป๋ตงหลิน ได้เงยหน้าขึ้นมองทั้งสองคน ดูจากลักษณ์ กลิ่นอายลมหายใจของพวกเขา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นศิษย์ของนิกายเต๋า

โต๊ะในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ค่อนข้างใหญ่ ไม่ต้องพูดถึงแค่คนสามคน แม้กระทั่งแปดคนก็สามารถนั่งได้สบาย อาจเป็นเพราะเขามีลักษณะกลิ่นอายของคุณชายที่ดูหล่อเหลา ทำให้คนพวกนี้ รู้สึกเต็มใจที่จะรบกวนเขา

เมื่อ ไป๋ตงหลิน เห็นอีกฝ่าย กล่าวขออย่างสุภาพ เขาก็ยิ้มและตอบกลับ :

“เชิญทั้งสองคนตามสบาย!”

“ขอบคุณ!”

ชายหญิงทั้งสองได้นั่งลง และ หญิงสาวที่ดูน่ารักในชุดม่วงก็แอบมองไปทาง ไป๋ตงหลิน อย่างลับ ๆ

ตึง!

ในเวลานี้ นักเล่าเรื่องชรา ได้ทุบโต๊ะอีกครั้ง เขากำลังจะพูดถึงจุดไคลแม็กซ์ในตอนท้าย ท่าทางของเขาดูตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อย ๆ กระทั่งน้ำลายของเขาก็พุ่งออกมาอย่างบ้าคลั่ง

“ในวันนั้น ปรมาจารย์เถียนฟู่ ได้ใช้มือของเขาวาดสัญลักษณ์บนอากาศ และ อัญเชิญเทพสวรรค์เก้าอสนีบาตโดยตรง!”

“ส่วนสัตว์ปีศาจก็พ่นเพลิงบรรลัยกัลป์เพื่อที่จะต่อต้าน…”

“ทว่าพลังของเทพสวรรค์เก้าอสนีบาต ได้ทำลาย เพลิงบรรลัยกัลป์ของสัตว์ปีศาจตัวนั้นโดยตรงและกลบฝังมัน”

“ในที่สุด ความชั่วร้ายก็ถูกระงับลง หลังจากที่ ปรมาจารย์เถียนฟู่ ขับไล่สัตว์ปีศาจ เขาก็เดินทางจากไป!”

หลังจากเล่าจบ ชายชรา ก็หยิบถ้วยชาขึ้นมาดื่ม เงินนี้ช่างหามาได้อย่างยากเย็นนัก! เขารีบกอบโกยพวกมันทั้งหมด!

ในเวลานี้ บรรดาผู้ที่ทานอาหารและฟังอย่างเงียบ ๆ ก็พยายามจินตนาการถึงการต่อสู้ที่ดุเดือด พวกเขาได้ตะโกนและส่งเสียงปรบมือในทันที

“เยี่ยม! ในที่สุดมันก็ตาย!”

“ฆ่าได้ดี! พวกสัตว์ปีศาจและภูติผีในโลกล้วนสมควรถูกลงโทษ!”

“ปรมาจารย์เถียนฟู่ สุดยอดไปเลย!”

ไป๋ตงหลิน ที่กำลังดื่มเหล้า เขาไม่ได้ใส่ใจกับการแสดงของนักเล่าเรื่องมากนัก โดยทั่วไปแล้ว นักเล่าเรื่องจะเติมแต่งสีสันเข้าไปในเรื่องทำให้ดูน่าฟังมากขึ้นเรื่อย ๆ

สิ่งนี้ก็เพื่อดึงดูดคนดูเพื่อให้ได้รับเงิน ถ้าเขากล่าวพูดตามความจริง คนดูก็คงจะรู้สึกเบื่อและไม่กล้าจ่ายให้เขา

แต่ในเวลานี้เอง หญิงสาวชุดม่วงก็ดันแขนศิษย์พี่ของนางและกล่าวถามอย่างไร้เดียงสา

“ศิษย์พี่ คุณตาคนนั้นพูดถึงท่านหรือเปล่า ข้าจำได้ว่าชื่อทางโลกของท่านก็คือปรมาจารย์เถียนฟู่!”

“ศิษย์พี่ ท่านได้เรียนรู้ คาถาอัญเชิญเทพสวรรค์เก้าอสนีบาต ด้วยงั้นหรือไม่ เหตุใดศิษย์น้องคนนี้ถึงไม่เคยรู้มาก่อนเลย?”

ชายคนนี้ได้เผยรอยยิ้มออกมาอย่างชั่วร้ายและพูดออกมาอย่างเลี่ยงไม่ได้

“ศิษย์น้อง เจ้าเองก็รู้ดีเกี่ยวกับความสามารถของข้า หยุดล้อเลียนข้าได้แล้ว!”

“อาหารมาแล้ว รีบกินเถอะ ข้ารู้ว่าเจ้าชื่นชอบอาหารของที่นี่!”

หญิงสาวชุดม่วงไม่ได้พูดอะไร นางได้กวาดจานบนโต๊ะ จนกระทั่งชายคนนั้นยิ้มอย่างเขินอายและมองไปที่ ไป๋ตงหลิน

ครั้งหน้า ข้าคงจะต้องไม่ประนีประนอมและพานางหลบหนีออกมาจากนิกายอีก

ไป๋ตงหลิน ได้เหลือบมอง ชายคนนี้ หากเขาได้ยินไม่ผิด อีกฝ่ายมีชื่อเล่นว่า เถียนฟู่

เทพสวรรค์เก้าอสนีบาต คล้ายกับพวกคาถา ที่ พวกนิกายที่ใช้อักขระยันต์ใช้กัน

สิ่งนี้ทำให้เขานึกถึง เหมาซาน หลงหูซาน และ จิ่วซู่ ในชีวิตก่อนหน้านี้ของเขา ยันต์เหล่านั้นเป็นเครื่องรางที่ใช้จัดการกับพวกภูติผีและซอมบี้ได้ดีมาก

ทั้งสองคนไม่ได้สื่อสารกับ ไป๋ตงหลินมากนัก ต่างฝ่ายต่างกินอาหารของตัวเอง

ไป๋ตงหลิน เองก็ไม่ได้กล่าวพูดอะไร นี่ไม่ใช่เพราะเขาไม่มีมารยาท แต่เดิมทีพวกเขาทั้งสองฝ่ายต่างไม่รู้จักกัน ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าจะริเริ่มพูดอะไร

คุณชายเถียนฟู่ เดิมก็มีความมั่นใจในตัวเองพอสมควร แต่เมื่อเขามานั่งกับ ไป๋ตงหลิน สติของเขาก็ถูกเตือนอย่างรุนแรง

คุณชายผู้สง่างามและมีท่าทีที่เรียบง่ายคนนี้กลับมีความแข็งแกร่งอย่างยิ่ง เขาสัมผัสได้ถึงอันตรายจากตัวของอีกฝ่าย หากทั้งสองต้องเผชิญหน้ากันเกรงว่าจะจบลงด้วยสถานการณ์ที่ไม่สวยมากนัก

ดังนั้นนี่จึงทำให้เขาไม่กล้าที่จะพูดคุยกับสหายที่ไม่รู้จักมากเกินไป ความรู้สึกของความไม่สนิทชิดเชื้อ อาจนำมาซึ่งอันตรายแก่เขาได้

แม้รูปลักษณ์ของอีกฝ่ายจะดูผ่อนคลายอย่างมาก แต่เขาก็คอยระมัดระวังทุกย่างก้าวของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี

ในมือของเขา ได้ถือสมบัติบางอย่างที่ใช้โจมตี และ ป้องกันได้ เขาได้คอยกระตุ้นสติให้คอยระวังอย่างบ้าคลั่ง

แต่ในขณะที่เขากำลังกังวลอยู่นี้ ศิษย์น้องของเขากลับกำลังกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อยโดยไม่สนใจสิ่งใด

ดั่งคำพูดที่ว่า ฟ้าดินกว้างใหญ่ หากพลาดที่จะทานอาหารที่ดีไป ก็คงเป็นเรื่องน่าเสียดายมิใช่น้อย

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด