STBI : ตอนที่ 21 ความแข็งแกร่งทางจิตวิญญาณ
ในช่วงเวลาที่ผีสาวเสียชีวิต
ไป๋ตงหลิน รู้สึกว่าสมองของเขารู้สึกแจ่มใสมาก มันเป็นความรู้สึกเดียวกันหลังจากที่ฆ่าหมาป่าปีศาจในครั้งที่แล้ว
เขาได้นั่งไขว่ห้างในทันที และ กระตุ้น เทคนิค หมัดเจ็ดหนองน้ำ และ จุดชีพจรทั้ง 7
ไป๋ตงหลิน รู้สึกว่าตนเองได้กลายเป็นส่วนหนึ่งกับโลก
เขาสัมผัสได้ถึงการไหลเวียนของพลังงานฟ้าดินอย่างไม่ชัดเจนในเวลานี้
ทันใดนั้น เขาก็คลานจุดชีพจรทั้ง 3 จุดได้พร้อมกัน
หลังจากคลานชุด ชุ่ยเต๋า,เทียนซู และ จงเหวิ่น ได้สำเร็จ เขาก็แทบจะประสบความสำเร็จไปแล้วครึ่งนึง
ขณะที่ ไป๋ตงหลิน พยายามจะคลายจุดชีพจรทั้ง 7 ในขั้นตอนเดียว จิตวิญญาณของเขาก็รู้สึกหมดแรงและเข้าสู่สภาวะที่แปลกประหลาดในทันที
ในสภาพนี้ สมองของเขาคล้ายกบว่ามีดอกไม้ไฟกำลังปะทุขึ้น และ รัศมีความต่อเนื่องของมันก็เหมือนกับลำธารที่ไหลริน
ช่างน่าเสียดาย หลังจากลองพยายามอยู่หลายครั้ง ก็มีเพียงจุด ฉีเหมิน,หยางหลิงฉวน และ เสิ่นซู่ เท่านั้นที่ยังคงเหลืออยู่
แต่คราวนี้เขาก็ได้ลดความยากในการฝึกเทคนิคหมัดเจ็ดหนองน้ำลงเป็นอย่างมาก และ รหัสเจ็ดหลักได้ถูกเปลี่ยนเป็นรหัสสามหลักโดยตรง
เขามีความมั่นใจที่จะเรียนรู้ ‘หมัดเจ็ดหนองน้ำ’ ได้ภายใน 7 วัน
ดังนั้น เขาจึงทำให้โลหิตในร่างพลันสงบ ปกปิดพลัง และ เปิดตาของเขา
เขาได้มองไปยังพื้นที่โดยรอบ และ พบว่าตัวเองกำลังนั่งไขว่ห้างอยู่บนหินก้อนใหญ่ ส่วนคฤหาสน์หรูได้หายไป
ที่นี่คือดินแดนรกร้าง ที่ปกคลุมไปด้วย วัชพืช ซากศพ และ กระดูก คล้ายกับหลุมฝังศพจำนวนมาก
ไป๋ตงหลิน ขมวดคิ้วอยู่ครู่นึง ดูเหมือนว่าเขาจะตกอยู่ในภาพลวงตา ภาพลวงตานี้ไม่ได้แข็งแกร่งหรืออ่อนแอ แต่เป็นเขาที่บังเอิญเดินเข้ามา
หากภาพลวงตานี้ทรงพลังอย่างมากจริง มันจะสร้างความเสียหายอย่างมากต่อ เจตจำนงค์ทางวิญญาณของเขา หรือแม้แต่ จิตวิญญาณของเขา กระทั่งกระตุ้นให้ ‘การพลิกฟื้นที่แข็งแกร่ง’ ทำงานขึ้น
หากภาพลวงตานี้อ่อนแอจนเกินกว่าที่จะเขย่าเจตจำนงค์ทางจิตวิญญาณของเขาได้ มันก็ย่อมไม่มีผลกับเขาโดยธรรมชาติ
อันที่จริง เมื่อคืน เขาก็ไม่ได้ถูกภาพลวงตาชักนำ แต่เป็นเขาที่สังเกตุเห็นความผิดปกติ และ ไม่ได้เกิดความกลัว ทำให้เขาบุกเข้าไปในที่เกิดเหตุ
เหตุผลก็เพราะเขาไม่มีความสามารถในการฝึกฝนพลังปราณ แม้ว่าร่างกายของเขาจะแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แต่เขาก็ไม่ใช่นักพรตเต๋า เขาต้องการจะปรับปรุงความแข็งแกร่งมากกว่านี้
และสถานที่อันตรายก็สามารถช่วยส่งเสริมความแข็งแกร่งของเขาได้
หากมีพวกสถานที่อันตรายเกี่ยวกับการทำลายจิตวิญญาณในอนาคตเขาก็จะกระโจนเข้าไปเพราะมันจะทำให้การบ่มเพาะทางจิตวิญญาณของเขาแข็งแกร่งขึ้นได้ในอนาคต
ส่วนเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณผีสาวก่อนหน้านี้เขาก็อธิบายไม่ถูกว่าแท้จริงแล้ว นางเป็น ปีศาจ หรืออะไรกันแน่?
สิ่งนี้คล้ายกับสัตว์ประหลาดเช่นเดียวกับมอนสเตอร์ในเกมที่ดรอบอุปกรณ์ในชีวิตก่อนหน้านี้ของเขาหรือไม่?
หากเป็นกรณีนี้ เขาจะให้ความสำคัญกับร่องรอยของปีศาจและภูติผีมากขึ้นในอนาคต ด้วยการพัฒนาความสามารถทางจิตวิญญาณของเขา มันจะเป็นประโยชน์อย่ายิ่งสำหรับเขาในอนาคตอย่างมาก
ไป๋ตงหลิน ในเวลานี้ รู้สึกอารมณ์ดี เขาได้ลุกขึ้นและเดินลงจากเขา
หลังจากเดินมาสักพักนึง เขาก็คิดดู ไม่รู้ว่าผีสาวตัวนี้แท้จริงแล้วเป็นผีที่หลุดลอดออกมาจากตาข่ายสาวกของเหล่าศิษย์นิกายเต๋าเหล่านั้นหรือไม่ ถ้าไม่ใช่ ล่ะก็ สถานการณ์มันก็จะอันตรายเพิ่มขึ้นในทันที เพราะท้ายที่สุด เขาก็มีโอกาสที่จะเจอภูติผีเหล่านี้อีกครั้ง
หลังจากลงจากเขา เขาก็กลับเข้าสู่ถนนสายหลัก และ เดินหน้าต่อไปตามทางเดินของเมื่อคืน
ไม่นานหลังจากลงจากเขาไป เขาก็ได้พบเข้ากับกองคาราวานดังนั้นจึงรีบเดินไปถามทาง เมื่อเห็นใบหน้าที่ระมัดระวังของทหารคุ้มกันอีกคน ไป๋ตงหลิน ก็หยุดและยืนห่างออกไป 10 เมตร เขาไม่ได้เข้าไปใกล้และกล่าวพูดจากระยะไกล :
“อย่าได้กังวลไป ข้าไม่ได้มีเจตนาไม่ดี เพียงแต่ว่า ข้ากำลังหลงทาง ข้าอยากจะถามพวกท่านว่า จากที่นี่ ไป ไป่เฉิง ต้องไปทางไหน?”
ทหารคุ้มกันที่เห็นอีกฝ่ายเป็นเพียงแค่ชายหนุ่ม จิตใจของเขาก็เกิดความระแวดระวังมากขึ้นกว่าเดิม
ในเวลานี้เอง ที่ชายอ้วนเจ้าของกองคาราวานได้เดินออกมาจากรถม้าและยิ้มให้กับ ไป๋ตงหลิน :
“น้องชาย กองคาราวานของพวกเราก็กำลังจะไป ไป่เฉิง หากเจ้าไม่ติดอะไรก็ร่วมเดินทางไปกับพวกเราได้”
ดูเหมือนว่า ชายอ้วน คนนี้จะมีท่าทางที่ใจดีเป็นอย่างมาก
…
ผ่านไป 1 ชั่วโมง เขาก็กลับไปที่คฤหาสน์ของตระกูลไป๋
อย่างแรก เขาได้ไปหา ท่านพ่อของเขา และ เล่าเรื่องทหารของหรงกั๋ว ให้เขาฟัง ไป๋ตงหลิน คาดการณ์ว่า ประเทศ หรงกั๋ว จะส่งทหารขนาดเล็กแทรกซึมเข้ามาในประเทศ
เพราะท้ายที่สุด ชายแดน ก็ได้รับการป้องกันอย่างแน่นหนา มันเป็นไปไม่ได้ที่ กองกำลังของศัตรูจะแทรกซึมเข้ามาจำนวนมากได้
เขาไม่ได้กังวลเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ ดังนั้น เขาจึงได้บอก ไป๋หลี่ ทั้งหมด เกี่ยวกับสิ่งที่เขารู้ เพราะว่า แม่ทัพไป๋หลี่ ได้ต่อสู้กับประเทศหรงกั๋วมาเป็นระยะเวลาหลายปี เขารู้ดีว่าจะต้องจัดการเรื่องนี้อย่างไร
หลังจากเสร็จธุระ ไป๋ตงหลิน ก็เดินไปที่อารามอู๋เขาต้องการอ่านหนังสือบนชั้นที่ 1
ที่นี่ถือได้ว่าเป็นความรู้ธรรมดาทั่วไป
แต่ตำราในโลกนี้เป็นสิ่งมีค่า มีเพียงคนที่ร่ำรวยและมีฐานะเท่านั้น ที่จะมีเวลาสนุกและเพลิดเพลินไปกับการหาความรู้ที่ต้องการ
ด้วยความแข็งแกร่งของตระกูลไป๋ แม้จะมีตำราเพียงแค่ 1 หมื่นเล่ม แต่สิ่งนี้ก็ได้แสดงถึงความน่าทึ่งของพวกเขา ถึงแม้จะไม่สามารถเทียบกับหอสมุดในชีวิตที่แล้วของเขาได้ แต่ที่นี่ก็มีลักษณะเฉพาะของมัน
นี่เป็นโลกที่แตกต่างไปจากโลกเดิมของเขา เป็นโลกของผู้บ่มเพาะพลัง
ชายชราแถวอารามอู๋ ก็ยังคงเหมือนเดิม หลังจาก ไป๋ตงหลิน กล่าวทักทาย เขาก็เดินเข้าไปในชั้นที่ 1 ของอารามอู๋ในทันที
ไป๋ตงหลิน ได้หยิบ หนังสือออกมาอ่านโดยไม่คำนึงถึงประเภทความรู้ ในมุมมองของเขา นี่เป็นความรู้ที่เขาจะต้องสะสม
การสะสมความรู้เหล่านี้ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อแผนการในอนาคตของเขา
อย่างที่เขาพูดกันว่า ขนาดต้นไม้ข้างทาง ยังต้องการที่จะเจริญเติบโต คนก็เช่นเดียวกัน และ ความรู้ก็คือสารอาหารที่จะช่วยในเรื่องนี้
เหตุผลที่ ไป๋ตงหลิน ตัดสินใจเช่นนี้ ก็เพราะความสามารถพิเศษของเขา ถ้าเป็นเขาเมื่อชาติที่แล้ว ต่อให้มีความทะเยอทะยาน และ จดจำความรู้ได้มากแค่ไหน ก็คงไม่พ้นความล้มเหลวอยู่ดี
เพราะในชีวิตก่อนหน้านี้เขาไม่ได้มีความจำที่เหมือนกับพวก AI ที่อยู่ในโลกที่มีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า
แต่ตอนนี้มันแตกต่างออกไป ทั้งวิญญาณ สมรรถภาพร่างกาย สมอง ความทรงจำ การสังเกตุ ความเข้าใจ และ การคิดของเขา ไม่รู้ว่ามันแข็งแกร่งกว่าในชีวิตก่อนหน้านี้ของเขาตั้งกี่เท่า
ไม่ใช่ว่าเขาบอกว่าตนเอง มีความจำที่เป็นเลิศ เพียงแต่ หลังจากอ่านไปเพียงครั้งสองครั้ง เขาก็สามารถเข้าใจและท่องจำมันได้
แม้ว่าเขาจะไม่สามารถเข้าใจมันได้ชั่วขณะนึง แต่เขาก็สามารถจดจำมันและบันทึกไว้ภายหลัง และ นำมาทบทวนใหม่ได้ตามที่ต้องการ
ร่างกายเป็นสิ่งลึกลับ โดยเฉพาะสมองมันสำคัญยิ่งกว่า
ในชาติที่แล้ว สมองของคนเราถูกเรียกว่า ‘โซนแห่งการจดจำ’
ในชีวิตนี้ของเขา สมองเป็นสถานที่เก็บพลังอำนาจของจิตวิญญาณ
อาจกล่าวได้ว่าศักยภาพของสมองนั้นไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้น จึงมีเหตุผลที่ ไป๋ตงหลิน ต้องการที่จะเสริมแกร่ง จิตวิญญาณของเขา
การพัฒนาจิตวิญญาณค่อนข้างอันตราย แต่ ไป๋ตงหลิน ก็มีแผนการในใจ นั่นก็คือ การสร้างความแข็งแกร่งทางร่างกายและทางจิตวิญญาณไปพร้อมกัน
ในเวลานี้ ไป๋ตงหลิน ได้พลิกตำราอย่างต่อเนื่อง
กองหนังสือตรงหน้าเขาได้กลายเป็นสูงมากขึ้นเรื่อย ๆ
เขาไม่ได้กินข้าวกลางวันด้วยซ้ำ เขาได้อ่านมันทั้งวัน จนกระทั่งจบเป็นร้อยเล่ม
ในเวลานี้ ไป๋ตงหลิน คล้ายกับกำลังทำหน้าที่เป็นฮาร์ดไดร์ฟของคอมพิวเตอร์อยู่
เขาใช้เวลาเพียง 100 วันในการอ่านหนังสือในอารามอู๋ทั้งหมดจนจบ
ยิ่งไปกว่านั้น ยิ่งเขาแข็งแกร่งมากขึ้น ความเร็วในการอ่านและจดจำก็จะยิ่งตามไปด้วย
เขาได้เดินออกจากอารามอู๋อย่างสบายและกลับไปที่ตำหนักฉิงโหยวเพื่อพักผ่อนหลังอาหารเย็น
การผสมผสานระหว่างการทำงานและพักผ่อน เป็นวิถีชีวิตที่ ไป๋ตงหลิน ปฏิบัติมาโดยตลอด และ การนอนหลับก็เป็นความเพลิดเพลินอย่างนึงของเขา เพราะในชีวิตที่แล้ว หลังจากทำงานกลับมา เขาก็แทบจะไม่มีเวลาได้นอนเลย
ไป๋ตงหลิน ได้ใช้ชีวิตในวันที่ปกติและสงบสุขอีกครั้ง
เขาตื่นเช้ามาฝึกฝน ‘หมัดเจ็ดหนองน้ำ’ และ ‘กายหยกขาวชำระล้าง’ หลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ เขาก็เดินทางไปที่ อารามอู๋ เพื่ออ่านหนังสือ หลังจากตกค่ำ เขาก็ไปหาท่านป้าของเขาเพื่อร่วมรับประทานอาหารเย็นและให้อาหารนกระหว่างทาง
หลังจากกินเสร็จแล้วเขาก็กลับไปนอนต่อที่ตำหนักฉิงโหยวของเขา
ก่อนจะเข้านอน เขามักจะดื่มนมอุ่นเป็นประจำ และ ออกกำลังกายเบา ๆ ในระยะเวลาถ้วยน้ำชา เมื่อเข้านอนเสร็จ เขาก็จะผล็อยหลับไปในทันที จนกระทั่งรุ่งเช้า เขาไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้าและเริ่มกิจวัตรประจำวันอีกครั้ง
นี่เป็นการใช้ชีวิตที่สงบสุขและสมบูรณ์มากที่สุด