ตอนที่ 3: มนุษย์
ผู้อาวุโสที่รับผิดชอบการจัดงานส่งสัญญาณให้ศิษย์คนหนึ่งเข้ามาแล้วถามว่า "เกิดอะไรขึ้นกับชายหนุ่มคนนั้น? เขาคุกเข่าทำไม"
ศิษย์คนนั้นตอบว่า "อาจารย์ลุง จากการสอบถามพบว่าชายหนุ่มผู้นั้นเข้าต้องการกราบอาจารย์ เพื่อเป็นศิษย์ของหุบเขาเก้าจิ่วเซียวขอรับ"
"เขาใช้ผ่านการทดสอบจากศิลาปัญญาอีกทั้งยังเป็นเพียงมนุษย์ คุณสมบัติของคนผู้นี้ไม่เพียงพอจะเป็นศิษย์ แต่เขากลับผ่านด่านทดสอบและตอนนี้กำลังคุกเข่าอยู่หน้าประตูเพื่อขอร้องให้พวกเรารับเขาเป็นศิษย์"
ผู้อาวุโสที่รับผิดชอบการจัดงานมองไปที่ผู้อาวุโสตนอื่นๆ ของสำนักหวนหยวน และกล่าวว่า "ทั้งหมดนี้ล้วนต้องขอความคิดเห็นจากพวกท่านทั้งหลาย ต้องรบกวนแล้ว เจ้าช่วยอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ผู้อาวุโสฟังอย่างละเอียด"
ศิษย์คนนั้นมองไปที่เย่ฉางเกอก่อนพยักหน้า "หนึ่งในข้อกำหนดการทดสอบของสำนักคือพวกเขาต้องผ่านเส้นทางการทดสอบที่ทอดยาวจากตีนเขามายังประตูหน้าของสำนัก"
"เส้นทางการทดสอบนี้เป็นเพียงขั้นบันไดหินธรรมดา เฉพาะในช่วงพิธีบวงสรวงกระบี่เท่านั้นที่ข่ายอาคมจะเปิดใช้งาน กลายเป็นหนึ่งในการทดสอบสำหรับผู้เข้าร่วมสำนัก"
"และมีการทดสอบโดยใช้ศิลาปัญญา บนศิลานั้นจะสลักลวดลายศักดิ์สิทธิ์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ศิษย์ที่เข้าจะต้องจดจำลวดลายบนศิลาศักดิ์สิทธิ์ภายในเวลาที่กำหนด จากนั้นให้วาดลวดลายศักดิ์สิทธิ์ไว้ตรงประตูหน้า"
"มนุษย์ธรรมดาไม่สามารถมจำสำหรับเรื่องนั้นได้ แต่ชายหนุ่มคนนั้นกลับลอบจดมันลงไปบนแขนเสื้อโดยการใช้ฝ่ามือกระแทกลงบนหินจนเกิดรอยเปื้อนเลือด จนลวดลายศักดิ์สิทธิ์ติดอยู่บนฝ่ามือของเขา"
"เมื่อไปถึงประตูทางเข้า ก็สามารถวาดลวดลายศักดิ์สิทธ์ที่ประทับไว้บนแขนเสื้อ เป็นเพียงกลเม็ดต่ำช้าอันหนึ่งที่ไม่ได้แสดงถึงความถนัดแท้จริงให้ผ่านการพิจารณาเลย"
"เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ เขาต้องใช้กำลังมหาศาลกระแทกฝ่ามือกับศิลาปัญญา จนผิวหนังปลิแตกโลหิตที่ฝ่ามือกลายเป็นหมึกเป็นเรื่องไม่ธรรมดาที่มนุษย์ธรรมดาจะมีจินตนาการเช่นนี้"
"หลังจากนั้นเส้นทางบนหน้าผาจะนำไปสู่เส้นทางที่แคบกว่าตรงขอบหน้าผา ด้วยแรงกดดันทางจิตวิญญาณทุกย่างก้าวจะเกิดความกดดันมากยิ่งขึ้น มนุษย์ผู้นี้อาศัยจิตใจของตนเองเดินมาจนสุดท้ายนี้"
"ด้วยความมุ่งมั่นของเขา ความสามารถแม้เพียงเล็กน้อยก็เพียงพอแล้วที่ผู้อาวุโสลู่ ผู้รับผิดชอบการทดสอบจะอนุญาตให้เขาผ่านและยอมรับเขาเข้าสู่สำนัก น่าเสียดายที่พรสวรรค์ของเขายังขาดอยู่มากและเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่ง"
"เขาอายุเกินยี่สิบปีแล้ว แต่เขายังไม่ถึงขั้นพื้นฐานที่สุดของขอบเขตหลอมร่าง ผู้อาวุโสลู่มองไปที่เขา ข้าเกรงว่าเขาจะมีเส้นลมปราณไม่เพียงพอดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเดินลมปราณ"
"ตอนนี้เขายังคงคุกเข่าอยู่หน้าประตูไม่ยอมจากไป"
ผู้อาวุโสที่รับผิดชอบการจัดงานรำพึงรำพัน "จิตตานุภาพเช่นนี้หายากจริง ๆ แต่เขาเป็นมนุษย์ไร้พรสวรรค์เสียได้?"
"ผู้อาวุโสลู่ได้ตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนแล้ว ข้าเกรงว่าเส้นลมปราณของชายหนุ่มคนนั้นจะตีบตันไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่จะใช้พลังปราณ"
เย่ฉางเกอมองชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆอย่างระมัดระวัง อันที่จริงเขาไม่สามารถตรวจสอบร่องรอยของวิญญาณในร่างกายของคนๆ นี้ได้ เขาเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา
ด้วยการบ่มเพาะในปัจจุบันของเย่ฉางเกอ มันยากมากที่จะหลบซ่อนตัวตนที่แท้จากเขาได้ มีเพียงคนที่มีระดับการบ่มเพาะสูงกว่าเท่านั้นจึงจะทำได้หากเป็นเช่นนี้ หนุ่มชาวนาผู้นี้ก็ไม่จำเป็นต้องมาที่หุบเขาเก้าจิ่วเซียวเพื่อกราบอาจารย์แล้ว
มนุษย์ในวัยยี่สิบที่ยังมีพื้นฐานขอบเขตหลอมกาย
มนุษย์ที่พลาดโอกาสที่ดีที่สุดในการวางรากฐานเซียนแต่ก็ยังต้องการเข้าร่วมสำนักหวนหยวน
ยิ่งไปกว่านั้น เขาได้รับอนุญาตให้ผ่านการพิจารณาคดี โดยอาศัยจิตตานุภาพและอุบายของเขาเอง เส้นทางทดสอบนี้ทำให้เยาวชนมีพรสวรรค์หลายคนสะดุด
ท้ายที่สุดหุบเขาเก้าจิ่วเซียวแห่งสำนักหวนหยวนก็เป็นหนึ่งในสิบสำนักชั้นนำของภาคตะวันออก ดังนั้นจึงเข้มงวดเรื่องการรับศิษย์มาก
"ติ๊ง! ระบบได้เปิดใช้งานฟังก์ชั่นตรวจสอบอัตโนมัติและค้นพบอัจฉริยะผู้แปลกประหลาด ต้องการตรวจสอบรายละเอียดเพิ่มเติมหรือไม่?"
เย่ฉางเกอ รู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นการแจ้งเตือน "ตรวจสอบ!"
[ ชื่อ ] : เหอซิ่วซิง
[ อายุ ] : 28
[ กระดูกดั้งเดิม ] : แย่
[ ความถนัด ] : แย่
[ การบ่มเพาะ ] : ไม่มี
[ ความสามารถ ] : ไม่มี
[ ฝ่าย ] : ไม่มี
[ หมายเหตุ ] : ดูเหมือนจะเข้าใจเส้นทางการบ่มเพาะของมนุษย์ด้วยตัวเขาเอง
หัวใจของเย่ฉางเกอเต้นผิดจังหวะเมื่อเขาได้ยินอย่างนั้น เส้นทางการบ่มเพาะของมนุษย์ธรรมดา? เมื่อกี้มันคืออะไร?
"ระบบ อธิบายเส้นทางการบ่มเพาะของมนุษย์ธรรมดาอย่างละเอียด"
"ไม่มีสถานที่บ่มเพาะ สามารถบ่มเพาะได้ทุกช่วงเวลาและจุดมุ่งหมายการบ่มเพาะ "
"การเข้าใจเส้นทางของการบ่มเพาะของมนุษย์ปุถุชนและทำในสิ่งที่มนุษย์กระทำนั่นคือการเข้าใจถึงเจตจำนงของเต๋าสวรรค์"
ชายหนุ่มคนนี้มีความพากเพียรซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการฝึกฝนของเขา
แม้ว่าความถนัดของเขาจะไม่ดี แต่ระบบพบว่าเขาสามารถเข้าใจเส้นทางการบ่มเพาะของตัวเองแล้ว ซึ่งหมายความว่าเขาเป็นศิษย์ที่มีพรสวรรค์ซ่อนเร้นอย่างแน่นอน
ดวงตาของเย่ฉางเกอสว่างวาบ ภารกิจของเขาสำเร็จแล้ว
คือความจริงที่ว่า ศิษย์คนแรกของเจ้าสำนักผู้ก่อตั้งจะต้องเป็นคนโดดเด่น พิเศษจากสามัญซึ่งเป็นสิ่งที่เขาต้องการ
ข้างเขาฉิงชางเจินเหริน ยังคงคร่ำครวญถึงความสามารถของชายหนุ่มคนนั้นกับผู้อาวุโสที่ต้อนรับ
"ด้วยความพากเพียรนี้แม้แต่ศิษย์ผู้โดดเด่นของเรายังต้องละอาย แต่สวรรค์กลับกลั่นแกล้งคนกำหนดให้เขาไร้ซึ่งพรสวรรค์ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะอาศัยเพียงวาสนาและความขยันในการก้าวเข้าสู่สำนัก เหตุใดเราจึงไม่ชี้แจงเหตุผลนี้ให้เขาทราบ ชายหนุ่มผู้นั้นจะได้ใช้ชีวิตอย่างสามัญเยี่ยวงคนธรรมดา"
"สิ่งที่ผู้อาวุโสฉิงชางพูดนั้นสมเหตุสมผล" ผู้อาวุโสผู้รับผิดชอบการจัดงานพยักหน้า
เขาหันกลับมาและพูดกับศิษย์ว่า "ไปจัดการตามอาจารย์ลุงลู่บอก เขาจะไม่สามารถบ่มเพาะได้แม้ว่าจะเข้าสู่สำนัก ส่งหนุ่มชาวนาผู้นั้นกลับไปยังที่ที่เขาจากมาดีกว่า
"ไม่จำเป็นต้องเสียเวลา ข้าจะพาชายผู้นี้ไปยังประตูยอดเขาก่อน"
เย่ฉางเกอ เขาไม่ยอมปล่อยโอกาศครั้งนี้ไปเสียอย่างงั้น
"อาจารย์ลุง ข้าสนใจวิธีการรับศิษย์ในพิธีอัญเชิญกระบี่มาก อย่างไรข้าเป็นศิษย์ที่สายตรงจากยอดเขาเทียนเหยียนที่อาจารย์รับมาจากข้างนอก ข้าไม่เคยเห็นพิธีการรับศิษย์ของสำนักด้วยตาของตัวเอง
"เมื่อสำนักเราจัดพิธีรับศิษย์ขึ้นมาข้าจึงสนใจอย่างยิ่งจึงขออยู่ที่นี่คอยสังเกตุการณ์ดีหรือไม่ขอรับ"
ฉิงชางเจินเหรินพิจารณาเหตุผลของเย่ฉางเกอ เมื่อเห็นเช่นนั้นจึงได้แต่พยักหน้าให้เขาและนำคนของตนตามศิษย์นำทางเข้าสู่ยอดเขาเทียนซวน
ผู้เฒ่าลู่ดูไม่พอใจที่ชายหนุ่มยังคงคุกเข่าตรงหน้าประตูสำนักอยู่อย่างนั้น หากสายกว่านี้จะมีแขกมาชมพิธีมากขึ้นการคุกเข่าเช่นนี้ดูไม่ดีเลย ดังนั้นเขาจึงเรียกศิษย์สองสามคนไปมัดหนุ่มชาวนาแล้วนำไปทิ้งไว้ที่เชิงเขา
เย่ฉางเกอตามไปอย่างรวดเร็วโดยไม่มีผู้ใดสังเกตุเห็น