STBI : ตอนที่ 17 บ้านพักคนชราอารามอู๋
3 วันต่อมา
หลังจากงานเลี้ยงผ่านไป ค่ำคืนแห่งการรวมตัวก็ได้มาถึงคราวสิ้นสุด
ไป๋ตงหลิน ได้กล่าวอำลาพี่สาวคนโตของเขาเมื่อวานนี้ และ วันนี้ เขาเตรียมจะส่งพี่รองของเขา ไป๋เจียง ออกไป
สองพี่น้องได้เดินเคียงข้างกัน โดยมี หลิวอี้ ติดตามอยู่ทางด้านหลัง นางไม่ได้คิดจะรบกวนบทสนทนาระหว่างพี่น้อง
“น้องชาย มีความแตกต่างระหว่างภพธรรมดากับภพของผู้บ่มเพาะพลังอยู่ ในระหว่างที่พ่อแม่และพี่สาวของเราแก่ตัวลง แต่เส้นทางข้างหน้าของพวกเรายังคงมีหนทางอีกยาวไกล”
“เส้นทางของผู้บ่มเพาะพลังมักจะโดดเดี่ยวอยู่เสมอ”
ไป๋เจียง ได้หยุดลงและมองเข้าไปในดวงตาของ ไป๋ตงหลิน พร้อมกับพูดว่า :
“ข้าหวังว่าเจ้าจะประสบความสำเร็จ ครั้งหน้าที่เราพบกัน จะไม่ได้มีสถานะแค่พี่น้องเท่านั้น แต่ยังเป็นสหายเต๋าร่วมกันด้วย!”
ไป๋ตงหลิน ได้พยักหน้าอย่างมั่นคง โดยเขาไม่ได้พูดอะไร
หลิวอี้ ที่เดินตามมาได้ยิ้มให้กับ ไป๋ตงหลิน :
“น้องไป๋ ขอบคุณสำหรับงานเลี้ยงต้อนรับในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา หากมีวาสนาพวกเราคงได้พบกันอีกครั้ง!”
“พวกเราขอตัวลา!”
“ดูแลตัวเองด้วย!”
จนกระทั่งแสงกระบี่ของทั้งสองหายขึ้นไปบนท้องฟ้า ไป๋ตงหลิน ได้เดินทางกลับโดยย่างเท้าบนหิมะของเขาได้กลายเป็นหนักแน่นมากขึ้นเรื่อย ๆ
เขาเพิ่งกลับมาที่จวนตระกูลไป๋ แต่ก็มีคนเข้ามาแจ้งว่าท่านพ่อของเขาต้องการพบเขา
ไป๋ตงหลิน คาดเดาว่ามันน่าจะเกี่ยวข้องกับ อารามอู๋ แม้ว่าสิ่งที่อยู่ภายในนั้นจะเป็นศิลปะต่อสู้ธรรมดา แต่มันก็คงจะดีถ้าได้เข้าไปดู เพราะอย่างน้อยมันน่าจะดีกว่า ทักษะต่อสู้ที่เขาฝึกฝนอยู่ในตอนนี้
เขาไม่สามารถฝึกฝนพลังปราณได้ และ ไม่มีทักษะบ่มเพาะพลังกาย ในปัจจุบัน เขามีเพียงทักษะต่อสู้พื้นฐาน และ มันแทบจะไม่สามารถใช้ปกป้องชีวิตของเขาได้
หลังจากได้รับข่าว ไป๋ตงหลิน ก็ได้เดินทางไปยังห้องของท่านพ่อของเขา จากนั้นเขาก็เคาะประตูด้วยความเคารพ
“ท่านพ่อ ท่านเรียกหาข้าใช่หรือไม่!”
ทันทีที่เขาพูดออกไป เสียงที่คมชัดก็ดังขึ้นมาในเวลานี้ :
“เข้ามา!”
เขาได้เปิดประตูเข้าไป และ เห็น ไป๋หลี่ กำลังเขียนอักษร ดังนั้นเขาจึงได้รอให้อีกฝ่ายเขียนเสร็จก่อน
ไป๋ตงหลิน ไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพ่อของเขามากนัก เพราะทั้งสองพบกันเพียงแค่ 1-2 ครั้งต่อปี และ พูดคุยกันไม่ถึง 5 ประโยค
และตอนนี้เขาได้ปลุกความทรงจำของชีวิตก่อนหน้านี้ขึ้นมาแล้ว ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงความแปลกแยกระหว่างทั้ง 2 คน มันเป็นความรู้สึกแตกต่างโดยสิ้นเชิงเหมือนกับที่ท่านป้าของเขามอบให้
คล้ายกับว่านี่เป็นการพบกันระหว่างครั้งแรกของเขา
เมื่อเขาเขียนเสร็จ เขาก็ขอให้ ไป๋ตงหลิน ก้าวมาข้างหน้า และวางมือลงบนไหล่ เขาได้ตรวจสอบร่างกายของ ไป๋ตงหลิน ด้วยตัวเอง พร้อมกับพูดในสิ่งที่ดี
จากนั้น เขาก็โยน ป้ายสัญลักษณ์ ให้กับ ไป๋ตงหลิน พร้อมกับปล่อยให้เขาไปที่ อารามอู๋ เพื่อมองหาทักษะต่อสู้ที่เขาสามารถฝึกฝนได้ตามต้องการ
หลังจากรับเอาป้ายสัญลักษณ์มาแล้ว ไป๋ตงหลิน ก็ได้เดินทางไปที่ อารามอู๋ ในทันที
อารามอู๋ เป็นห้องใต้หลังคาที่มีสามชั้น มันถูกสร้างขึ้นบนลานพื้นที่ขนาดใหญ่ และ ตัวอาคารทั้งหมดก็สร้างขึ้นจากเหล็กทมิฬ ที่มีความทนทานต่อไฟเป็นอย่างมาก
พื้นที่โดยรอบอารามอู๋นั้น ล้อมรอบไปด้วยบ้านเรือน และ มีกลุ่มผู้อาวุโสของตระกูลไป๋หลายคนเฝ้าอยู่
ที่นี่คล้ายกับบ้านพักคนชราไม่มีผิด เพราะมันเป็นกลุ่มที่รวมตัวกันโดย คนชรา ที่ชอบ ดื่มกิน พูดคุย และ เล่นหมากรุก
แม้ว่าหน้าที่หลักของพวกเขาจะเป็นการปกป้อง อารามอู๋ แต่ที่มากไปกว่านั้นก็คือสถานที่แห่งนี้คล้ายกับสถานที่พักผ่อนหลังเกษียณเสียมากกว่า
ทว่า อย่าได้คิดว่าพวกเขาเป็นเพียงชายแก่ธรรมดาทั่วไป เพราะพวกเขาทั้งหมดเป็น ผู้ฝึกยุทธ์ดินแดนปราณแท้จริง
แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้มีความสามารถในการฝึกยุทธ์ที่สูง แต่มันก็มากเกินพอที่จะปกป้องอารามอู๋
เพราะท้ายที่สุด อารามอู๋ ก็เป็นเพียงสถานที่เก็บรวบรวมทักษะบ่มเพาะพลังธรรมดา ตราบใดที่ ไม่ใช่พวกนักพรตเต๋า มาที่นี่ด้วยตัวเอง พวกเขาก็สามารถรับมือได้
ไป๋ตงหลิน ได้เดินเข้าไปในพื้นที่ และ หยิบป้ายสัญลักษณ์ออกมาพร้อมกับ ป้องมือทั้งสองเพื่อทำความเคารพ :
“ทำความเคารพผู้อาวุโสทุกท่าน ผู้เยาว์ไป๋ตงหลิน มาที่อารามอู๋ เพื่อเลือกทักษะต่อสู้!”
ชายชราคนนึงได้เหลือบมอง ป้ายสัญลักษณ์และกล่าวออกมา :
“เชิญเข้าไป อย่าได้มารบกวนพวกเราเวลาเล่นหมากรุก!”
คนอื่น ๆ ได้มองกระดานหมากรุกโดยไม่วางสายตา ไป๋ตงหลิน ได้พยักหน้าและเก็บป้ายสัญลักษณ์พร้อมกับเดินเข้าไปในอารามอู๋
อารามอู๋มีทั้งหมด 3 ชั้น โดยแต่ละชั้นก็มีประเภทของตำราที่แตกต่างกันไป
โดยชั้นแรกมีสิ่งแปลก ๆ มากมาย เช่นบางสิ่งที่เกี่ยวข้องกับ สมุนไพร การถลุงเหล็ก การเกษตร ป่าไม้ เลี้ยงสัตว์ ประมง และ ความรู้ทางเทคนิค หรือ ประเพณีต่าง ๆ แผนที่ แร่ธาตุ และ อื่น ๆ ที่เป็นความรู้ในประเทศหนานหยาน และ ประเทศโดยรอบ
ตำราในชั้นแรกนั้นเกี่ยวข้องกับทุกด้านของชีวิตและซับซ้อนอย่างยิ่ง แต่ ไป๋ตงหลิน สนใจในความรู้เหล่านี้มาก เพราะเขาเพิ่งมาถึงโลกแห่งนี้ในช่วงระยะเวลาอันสั้น และ เพิ่งจะเริ่มต้นเส้นทางการฝึกฝนของเขา เขายังขาดสามัญสำนึกพื้นฐานมากมาย
ความรู้เป็นสิ่งที่ล้ำค่า เกิดเป็นบุรุษก็ควรจะหมั่นเติมความรู้เข้าไปในตัว
เขาคาดว่าตนเองจะอยู่ที่บ้านตระกูลไป๋ไปอีกสัก 1 ปี เพื่อศึกษาหาความรู้
ตำราบนชั้นที่สองนั้นน้อยกว่าชั้นที่ 1 เป็นอย่างมาก เพราะพวกมันล้วนเป็น ศิลปะการเดินทัพและการจัดทัพ ศิลปะการฝึกทหาร และ ศิลปะของทหารชั้นนำ พวกมันได้สอนตั้งแต่วิธีการจัดวางทัพรวมไปถึงวิธีต่อสู้ ซึ่ง ไป๋ตงหลิน ไม่ได้สนใจเรื่องนี้ เขาได้ตรงไปที่ชั้นที่ 3 ในทันที
ชั้นที่ 3 คือ ทักษะบ่มเพาะพลังและทักษะต่อสู้ ในชั้นนี้ มีตำราน้อยกว่าชั้นอื่นมากนัก เพราะมันมีแค่ 100 กว่าเล่มเท่านั้น
โดยทักษะเหล่านี้มีความซับซ้อนและแบ่งออกเป็นหลายแขนงเช่น ทักษะป้องกันตัว,ทักษะร่างกาย,ทักษะแห่งแสง วิชากระบี่ และ วิชาดาบ วิชาหมัด เท้า และ ไม้กระบอง
ไป๋ตงหลิน ตั้งใจจะดูทักษะวิชาฝึกฝนร่างกายก่อน เพราะ ทักษะฝึกฝนทั้ง 4 ในปัจจุบันของเขา เป็นเพียงทักษะพื้นฐาน ซึ่งมันไม่ได้เอื้ออำนวยความสะดวกหลังจากนี้มากนัก
ในที่สุด เขาก็ได้เลือกทักษะบ่มเพาะร่างกายที่มีชื่อว่า ‘กายหยกขาว’ มันเป็นทักษะที่สามารถปรับแต่งร่างกายได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังเป็นทักษะบ่มเพาะร่างกายอันดับต้น ๆ ของตระกูลไป๋
ไป๋ตงหลิน ไม่พร้อมที่จะฝึกฝน ทักษะบ่มเพาะพลังของดินแดนปราณแท้จริง เพราะเขาคิดว่า ดินแดนปราณแท้จริงนี้ อยู่ไกลจาก พละกำลังในปัจจุบันของเขามากเกินไป
แม้ว่า ไป๋ตงหลิน จะเข้าสู่ดินแดนปราณแท้จริงได้ แต่การพัฒนาของเขาก็คงจะน้อยเป็นอย่างมาก เพราะ ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขานั้นเหนือกว่าดินแดนปราณแท้จริง แทนที่จะสิ้นเปลืองพลังไปกับการฝึกฝนเพื่อเข้าสู่ดินแดนปราณแท้จริง มันคงจะเป็นการดีกว่าที่เขาจะเพิ่มศักยภาพร่างกายของเขาและวางรากฐานที่ดีสำหรับการฝึกฝนร่างกายของตนเอง
แน่นอนว่า ไป๋ตงหลิน ได้มองหา ทักษะฝึกฝนเกี่ยวกับพลังปราณระดับต่ำ แม้ว่าสิ่งนี้จะไม่จำเป็นแต่มันก็ขาดไม่ได้
เพราะสิ่งสำคัญที่สุด พลังปราณ ก็มีผลต่อการฝึกฝนร่างกายของเขาในอนาคต มันคงจะดีกว่าหากเขาได้เริ่มทำความเข้าใจเกี่ยวกับมัน
นอกจากนี้ เขายังเลือกทักษะต่อสู้แบบ 2 กระบวนท่า ใน 1 เดียว มันถูกเรียกว่า ‘กุนหงอึ้งหยิง’ นี่เป็นทักษะการฝึกฝน ที่ไม่ได้สูงมากนัก เพราะ ไป๋ตงหลิน รู้ตัวดีว่าการฝึกฝนของเขานั้นมีขีดจำกัด เขาเพียงแค่ต้องการอยากเรียนสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดก็แค่นั้น
สำหรับ ทักษะป้องกัน เขาไม่ได้พิจารณาเกี่ยวกับมัน เพราะตอนนี้ เขาเกลียดเหตุผลที่ตนเองมีพลังป้องกันในระดับสูง ซึ่งมันทำให้เขาได้รับพลังงานอื่นเพิ่มเติมยากขึ้น
โดยพื้นฐานแล้ว คนเราจะให้ความสำคัญกับการป้องกันร่างกาย ยิ่งร่างกายมีความแข็งแกร่ง ก็จะสามารถรองรับพลังที่เพิ่มขึ้นได้
เพราะหากรากฐานของร่างกายอยู่ในระดับต่ำแล้ว พลังที่ฝึกฝนมาก็จะกลายเป็นพลุ้งพล่านและทำให้ร่างกายได้รับบาดเจ็บ
อย่างน้อยสิ่งเหล่านี้ก็ไม่ใช่กับ ไป๋ตงหลิน
เขาเหมือนกับพวก ‘นอกรีต’ ที่ไม่เหมือนชาวบ้าน
สิ่งที่เขาขาดก็คือทักษะต่อสู้ เพราะเขาจำได้ว่า ‘กำปั้นปีศาจกระทิง’ ของเขานั้น ไม่แม้แต่จะทำลายผิวหนังของ สัตว์ปีศาจ ได้เลย มันทำให้เขารู้สึกเสียหน้า
คราวนี้ เขาต้องการทักษะต่อสู้ที่ทรงพลังยิ่งกว่า
ไป๋ตงหลิน ต้องการศึกษาทักษะต่อสู้ที่ทรงพลัง มันควรจะดีกว่าหากเป็นทักษะต่อสู้ในระยะประชิด เพราะทักษะต่อสู้ในระยะประชิด เป็นทักษะที่ดีที่สุด แต่นั่นก็แฝงมาด้วยความอันตรายเพราะมีแนวโน้มที่จะบาดเจ็บมากที่สุด
ทักษะ กำปั้น ฝ่ามือ เท้า ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ
ขณะที่เขากำลังจะประนีประนอมและหยิบสำเนาทักษะเหล่านี้มา เขาก็เหลือบไปเห็นตำราสีดำที่เกาะแน่นไปด้วยฝุ่นจำนวนมาก
ลางสังหรณ์ในใจของเขากำลังร้องเรียกว่านี่ควรจะเป็นทักษะต่อสู้ที่ไม่ธรรมดาเป็นอย่างมาก
เขาได้เช็ดฝุ่นออกและมองเห็นตัวอักษรบนตำรา