STBI : ตอนที่ 15 นิกายกระบี่ต้าหลัว
ท่ามกลางแสงจันทร์ในตำหนักฉิงโหยว
ไป๋ตงหลิน และ พี่ชายของเขายังคงนั่งคุยกันอย่างต่อเนื่อง
สองพี่น้องได้แลกเปลี่ยนบทสนทนากันเป็นจำนวนมาก และ ส่วนใหญ่ จะเป็นคำพูดของ ไป๋เจียง ที่ได้เผยแพร่ความรู้ต่าง ๆ เกี่ยวกับโลกแห่งการบ่มเพาะพลัง รวมถึงความรู้บางอย่างที่สามารถช่วยให้มีชีวิตรอดต่อไปได้
หลังจากพูดเรื่องนี้จบ ไป๋เจียง ก็หยิบสิ่งของออกมาแล้ววางบนโต๊ะ เขาชี้ไปที่แหวนหยกขาวและกล่าวออกมา :
“นี่คือแหวนมิติพิเศษที่ใช้แก่นพลังโลหิตในร่างกายเป็นตัวเหนี่ยวนำ สิ่งนี้ไม่จำเป็นจะต้องใช้พลังปราณในการกระตุ้น เดิมทีข้าจะให้สิ่งนี้เป็นของขวัญวันเกิดสำหรับเจ้า ดังนั้น ข้าจะมอบมันให้เจ้าล่วงหน้าก็แล้วกัน”
แหวนมิติ! ของดี! ไป๋ตงหลิน มองไปที่มันด้วยความตื่นเต้น เขาไม่ได้ปฏิเสธน้ำใจของพี่รองและรับเอาของขวัญนี้มาอย่างยินดี
ภายใต้การแนะนำของพี่รอง เขาได้หยดโลหิตลงไปบนแหวนหยกขาว 1 หยุด ทันใดนั้น แหวนหยกขาวก็เปล่งแสงสีแดงออกมาและดูดกลืนโลหิตนั้นไป
ทันใดนั้น ไป๋ตงหลิน ก็สัมผัสได้ถึงความเชื่อมโยงระหว่างเขากับแหวนหยกขาว เขาได้ลองใส่กาน้ำชา เก้าอี้ เข้าออกดู ก่อนที่จะหยุดลง
แหวนมิตินี้เป็นสิ่งของที่ใช้งานสะดวกเป็นอย่างมาก มันเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่จำเป็นจะต้องมียามออกเดินทางไปข้างนอก และ ในอนาคต เขาสามารถบรรจุสิ่งของเพิ่มเติมลงไปในนี้ได้
หากมีสิ่งแบบนี้ในชีวิตก่อนหน้านี้ของเขา มันก็คงจะดีไม่ใช่น้อย เพราะเขาไม่จำเป็นจะต้องมองหาที่จอดรถ เพียงแค่ใส่รถเข้าไปในแหวนมิติ
“แหวนหยกขาวนี้เพียงแค่ใช้พลังแก่นโลหิตในร่างกายของเจ้าเท่านั้นเพื่อเปิดใช้งาน สิ่งนี้มันเหมาะสำหรับเจ้าเป็นอย่างมาก”
ไป๋เจียง ได้ยิ้มออกมาและชี้ไปที่ขวดบนโต๊ะพร้อมกับกล่าวออกมา :
“ส่วนนี่คือโอสถรักษา โอสถชำระล้างพิษ และ โอสถบ่มเพาะพลังกายบางชนิด”
“ยังมียันต์เหล่านี้ที่แฝงไปด้วยพลังโจมตีที่รุนแรง แม้แต่มนุษย์ธรรมดา ก็สามารถใช้มันได้ เพียงแค่โยนมันออกไป!”
“ยันต์กระบี่หยกนี้เป็นอุปกรณ์ช่วยชีวิตที่อาจารย์มอบให้กับข้า เจ้าเก็บมันไว้เป็นเครื่องรางในการช่วยเหลือชีวิตเถอะ”
“ยังมีหนังสือภาพเล่มนี้ บางทีมันอาจจะเป็นประโยชน์สำหรับเจ้า”
ไป๋เจียงได้มอบ โอสถเม็ด กองยันต์ ถุงหินวิญญาณ และ ยันต์กระบี่ล้ำค่า ให้กับน้องชายของเขา
เขาหวังว่าสิ่งของเหล่านี้จะสามารถช่วยเหลือน้องชายของเขาได้ เพราะเส้นทางที่น้องชายของเขาเลือกเดิน ต่างเต็มไปด้วยอันตราย และ เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าน้องชายของเขาจะประสบความสำเร็จในเส้นทางการบ่มเพาะพลัง
ไป๋ตงหลิน รู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก พี่รองของเขาช่างดีกับเขาอย่างแท้จริง แม้แต่สิ่งของที่ท่านอาจารย์มอบให้ที่เป็นสิ่งของช่วยเหลือชีวิต อีกฝ่ายก็เต็มใจมอบมันให้กับตนเอง
แต่ทว่าเพราะเขามีร่างกายอมตะ สิ่งของเหล่านี้ จึงไม่ค่อยมีความหมายกับเขามากนัก สิ่งพวกนี้ ไม่เหมือนกับแหวนมิติ ดังนั้นเขาจึงได้ปฏิเสธอย่างรวดเร็ว
“พี่รอง ของพวกนี้มีค่ามากเกินไป ข้าไม่สามารถรับมันเอาไว้ได้!”
ไป๋เจียง ได้โบกมือและยิ้มออกมา :
“เหตุใดเจ้าถึงต้องทำตัวห่างเหินเช่นนี้ เจ้าอยู่เป็นเพื่อนท่านแม่แทนข้ามาหลายปี เรื่องนี้ข้ายังไม่ได้กล่าวขอบคุณเจ้าเลย”
“วันนี้ข้าเต็มใจที่จะช่วยเหลือเจ้าและหวังว่าเจ้าจะประสบความสำเร็จในอนาคต หากในอนาคต เจ้าแข็งแกร่งขึ้น ก็ย่อมตอบแทนสิ่งของเหล่านี้คืนข้าได้ไม่ใช่หรือ?”
ไป๋ตงหลิน ได้สั่นศีรษะอย่างรวดเร็วและกล่าวออกมา “นั่นก็ใช่เพียงแต่…”
“ข้ารู้ว่าเจ้าอยากจะพูดอะไร แต่ข้าไม่สามารถช่วยเหลืออะไรเจ้าได้มาก อย่างน้อยก็รับของเหล่านี้ไปเถอะ”
ไป๋ตงหลิน ที่เห็นเช่นนั้น เขาได้ยอมรับทุกอย่างและเก็บมันเข้าไปในแหวนหยกขาว
หลังจากนั้นสองพี่น้องก็พูดคุยกันอยู่ครู่นึง ก่อนที่ ไป๋เจียง จะกลายเป็นแสงกระบี่และหายตัวไป
ไป๋ตงหลิน มองไปที่ อีกฝ่าย ด้วยความอิจฉา
สิ่งเหล่านี้มันค่อนข้างยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง โดยเฉพาะวิชากระบี่บิน
ดูเหมือนว่าเขาเองก็คงต้องเริ่มต้นเส้นทางการบ่มเพาะพลังของเขาแล้วเหมือนกัน
…
เช้าวันรุ่งขึ้น
วันส่งท้ายปีเก่ากำลังใกล้เข้ามา ทั่วทั้งไป่เฉิง ในเวลานี้ต่างมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก
บนท้องถนน ต่างเต็มไปด้วยผู้คนที่เบียดอัดกันเพราะมาซื้อของสำหรับปีใหม่
ผู้คนจากเมืองเล็ก ๆ และ หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่อยู่ใกล้ไป่เฉิง ต่างก็มาที่ตลาดไปเฉิง ทำให้บนท้องถนนอัดแน่นไปด้วยผู้คนจำนวนมาก
ไป่เฉิง เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในหยุนโจว มีประชากรหลายล้านคนและพื้นที่กว้างขวางอีกมากมาย กระทั่งอาคาร ร้านค้า ซ่องโสเภณี บ่อน และ สถานที่น่าสนใจอีกมากมายอยู่ที่นี่
สองพี่น้องตระกูลไป๋ ได้เดินทางไปกับ หลิวอี้ เพื่อเดินซื้อของในตอนเช้า
หลิวอี้ ได้เห็นเมืองที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวานี้เป็นครั้งแรก ไม่ว่าจะเป็น ผู้คนที่เดินซื้อของ พ่อค้าแม่ค้า หรือกระทั่ง คณะละครสัตว์ที่ทำการแสดงอยู่บนท้องถนน
สองพี่น้องได้เดินตามหลังและพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
ทั้งสามคนได้ไปซื้อของและเที่ยวชมทะเลสาบ ยกเว้นซ่องโสเภณี พวกเขาได้ไปที่บ่อนเพื่อลองเล่นการพนันในนั้นดู
พวกเขาไม่ได้หยุดเพียงเท่านั้น ทั้งสามคนได้เดินเที่ยวเล่นไปทั่วเมืองจนกระทั่งตกค่ำ พวกเขาได้เดินทางไปที่ร้านอาหารเจ้าดังประจำเมืองอย่าง หอไป๋เหอ
“โอ้ ยินดีต้อนรับแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน”
ผู้ดูแลที่ชื่อ จินม่านถัง มีดวงตาที่พิเศษเป็นอย่างมาก พวกเขาเห็นกลุ่มของ ไป๋ตงหลิน ตั้งแต่ไกล ดังนั้นจึงได้ออกมารอที่หน้าประตู
ตระกูลไป๋ เป็นตระกูลที่ทรงอิทธิพลที่สุดในหยุนโจว หากพูดให้ถูกก็คือ ในพื้นที่แถบนี้ อำนาจของตระกูลไป๋ ก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากองค์จักรพรรดิ ดังนั้น พวกเขาจึงให้การต้อนรับสมาชิกของตระกูลไป๋เป็นอย่างดี
ไป๋ตงหลิน ได้โบกมือและขัดจังหวะเขา :
“เอาล่ะ เถ้าแก่ ข้าต้องการอาหารจานเด็ดของที่นี่ พร้อมกับ เหล้าที่ดีที่สุด ข้าต้องการดื่มมันกับพี่รองของข้าคืนนี้”
จินม่านถัง เบิกตากว้างเล็กน้อย เขามองไปที่ บุรุษด้านหลังที่ดูสง่างาม ด้วยความตกใจ
พี่รอง? คุณชายรองตระกูลไป๋?คุณชายรองที่ถูกขนานนามว่าเป็นนักพรตเต๋า?
จินม่านถัง ตัวสั่นไปทั่วทั้งตัว เขาก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็ว และ ไม่กล้ามองอีกฝ่ายโดยตรง
“คุณหนูท่านนี้ คุณชายรอง และ นายน้อยสิบสาม โปรดขึ้นไปรอที่ชั้นบนเถิด ข้าน้อยจะรีบเตรียมอาหารและสุราชั้นเลิศอย่างรวดเร็ว”
ทั้งสามคนได้ขี้นไปรอชั้นบนสุดและนั่งลงที่ริมหน้าต่าง
ชื่อเสียงของตระกูลไป๋นั้นยิ่งใหญ่เป็นอย่างมาก เพียงใช้เวลาไม่นาน อาหารและสุราชั้นดีก็ถูกนำมาเสิร์ฟ
สุราชั้นดีของที่นี่ เป็นเหล้าที่ดี มันมีดีกรีไม่สูง มันค่อนข้างหอมหวานเป็นอย่างมาก
หลังจากดื่มไป 3 ยก ทั้งสามก็พูดคุยแลกเปลี่ยนกัน พวกเขาได้พูดคุยเกี่ยวกับการต่อสู้เพื่อแย่งชิงโจวต้าของนิกายกระบี่ซวนเยว่
ไป๋ตงหลิน กล่าวถามด้วยความสงสัย“โควต้า โควต้านี้คืออะไรกัน เหตุใดถึงทำให้นิกายของพวกท่านดูกระตือรือร้นยิ่งนัก?”
หลิวอี้ ที่ดื่มเหล้าไป 2-3 ยก ใบหน้าที่นวลผ่องของนางเริ่มมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น นางได้ยิ้มออกมาเล็กน้อยเมื่อได้ยินสิ่งนี้ :
“พูดถึงโควต้านี้ ต่างฝ่ายต่างแย่งชิงกันอย่างเอาเป็นเอาตายเชียวล่ะ!”
“น้องไป๋ เจ้าไม่ใช่คนของโลกแห่งการบ่มเพาะพลัง ดังนั้นเจ้าอาจจะไม่เข้าใจ แต่โควต้านี้ เป็นโอกาสที่จะทำให้พวกเราปีนทะยานขึ้นสู่สวรรค์ได้ในขั้นตอนเดียว ถ้าพลาดไปแล้วจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต”
ไป๋เจียง เองก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย :
“เมื่อคืน ข้าได้บอกเจ้าไปใช่หรือไม่ว่าข้าจะไปที่เขตกระบี่ ที่นั่นคือดินแดนศักดิ์สิทธิ์สำหรับการฝึกฝนวิถีกระบี่ เป็นนิกายระดับบนสุดของวิถีกระบี่ นิกายกระบี่ต้าหลัว”
“หากผ่านการประเมิน ก็จะสามารถเข้าร่วมนิกายกระบี่ต้าหลัวได้ หากได้เป็นศิษย์ของนิกาย ก็จะสามารถพัฒนาความแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างรวดเร็ว”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ทั้งสองอดที่จะรู้สึกโหยหาเกี่ยวกับมันไม่ได้ นิกายกระบี่ต้าหลัว เป็น 1 ใน 4 ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของวิถีกระบี่ ใครบ้างจะไม่รู้สึกนับถือดินแดนศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้
หากพูดถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ก็คือดินแดนอันสูงส่งที่เต็มไปด้วยผู้คนที่แข็งแกร่งจำนวนมาก
ไป๋ตงหลิน พยายามทำความเข้าใจ ดูเหมือนว่าพวกเขาทั้งสองคนต้องการโควต้าเพื่อเข้าไปร่วมทดสอบนิกายกระบี่ต้าหลัว
ความแข็งแกร่งของนิกายกระบี่ต้าหลัว คงจะยิ่งใหญ่เป็นอย่างมาก เพียงแค่ โควต้าเยี่ยมชม ก็เพียงพอที่จะทำให้อัจฉริยะเหล่านี้มีความกระตือรือร้นกันอย่างมาก
แต่อะไรคือความสัมพันธ์ระหว่างนิกายหลักทั้ง 10 ใน หนานหยาง และ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์สำหรับการฝึกฝน?
โดยพื้นฐานแล้วดินแดนศักดิ์สิทธิ์และนิกายในพื้นที่มักจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติโดยไม่ยุ่งเกี่ยวซึ่งกันและกัน
แต่แล้วเหตุใดถึงมีความสัมพันธ์ที่แปลกประหลาดแบบนี้ขึ้น?