STBI : ตอนที่ 12 การฆ่าครั้งแรก
เมฆดำอันหนาทึบได้เคลื่อนผ่านไปจนบดบังแสงจันทร์ที่ส่องลงมา
ทว่าในเวลานี้การต่อสู้บนภูเขาเฮยเฟิงก็ยังคงดุเดือดและเข้มข้น
ไป๋ตงหลิน และ สัตว์ร้ายตัวนี้ ได้ต่อสู้กันเป็นระยะเวลา 1 ชั่วโมง
แน่นอนว่าการต่อสู้ในคราวนี้ เป็นการโจมตีที่สาหัสอยู่ฝ่ายเดียว ซึ่งนั่นก็คือ ฝ่ายของ หมาป่าปีศาจ
แต่ฉากดั่งกล่าวค่อนข้างแปลก แม้ว่า ไป๋ตงหลิน จะถูกโจมตีมากเท่าไหร่ เขาก็ยังแสดงท่าทีที่มีความสุขออกมา กลับกัน ร่างกายของเขา ยังเต็มไปด้วยพละกำลังที่เพิ่มมากขึ้น
ในทางกลับกัน พละกำลังของ หมาป่าปีศาจ ก็เริ่มที่จะอ่อนแอลง หมอกสีดำที่ปกคลุมร่างกายของมันเริ่มสลายตัวลง มีเพียง แสงสีแดงในดวงตาที่มีการแสดงออกถึงความบ้าคลั่งเท่านั้นที่ไม่ลดละ
หลังจากนั้นไม่นาน หมาป่าปีศาจ ก็แทบสูญสิ้นเรี่ยวแรงจนหมดสิ้น การโจมตีของมันเริ่มช้าลงในทันที
กรงเล็บของมันที่กระทบเข้าใส่หน้าอกของ ไป๋ตงหลิน ทำได้เพียงสร้างบาดแผล เล็ก ๆ เพียงเท่านั้นในเวลานี้
ไป๋ตงหลิน รู้ได้ในทันที ว่า เชื้อเพลิงในร่างกายของ หมาป่าปีศาจ ใกล้จะหมดลงแล้ว จึงทำให้มันตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
เขารู้สึกเกิดความสงสารขึ้นมาในดวงตาของเขา แต่น่าเสียดาย ที่เขาไม่ได้รับอนุญาติให้ทำเช่นนั้น มิฉะนั้น หากเขาปล่อยเครื่องมือที่มีความสามารถอันนี้ไป มันก็ยากยิ่งที่จะได้พบมันในอนาคต
“ถ้าอย่างนั้น ให้ฉันส่งแกให้ไปสบายก็แล้วกัน!”
ทันใดนั้น กล้ามเนื้อทั่วร่างของ ไป๋ตงหลิน ก็โป่งพองอย่างรวดเร็ว
เขาได้พลิกกลับจากเชิงรับเป็นเชิงรุก
ไป๋ตงหลิน ได้กระโดดขึ้นไปบนอากาศและกระแทกเข้าใส่หน้าอกของหมาป่าปีศาจด้วยเข่าข้างนึง สิ่งนี้ทำให้มันกระแทกลงกับพื้นอย่างรุนแรง
หมาป่าที่ปีศาจที่หมดแรง ลำพังจะยืนยังแทบไม่ไหว นับประสาอะไรกับการป้องกัน
“!!!!!”
จากนั้น ไป๋ตงหลิน ก็รัวกำปั้นเข้าใส่ใบหน้าของ หมาป่าปีศาจอย่างรวดเร็ว
กำปั้นนับพันได้ถูกปลดปล่อยออกไปในเวลานี้
พายุกำปั้นได้กระแทกเข้าใส่ใบหน้าของหมาป่าปีศาจราวกับเม็ดฝน
อย่างไรก็ตาม พลังการป้องกันของ หมาป่าปีศาจ ตัวนี้ก็ไม่ธรรมดา แม้ว่า มันจะนอนอยู่บนพื้นและถูกโจมตีอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังไม่อาจทำลายผิวหนังของมันได้
ไป๋ตงหลิน ได้หรี่ตาลงและมองดู หมาป่าปีศาจ ที่นอนอยู่บนพื้นและกำลังส่งสายตาที่เต็มไปด้วยการอ้อนวอน
แต่เขาไม่สนใจ เพราะ ไป๋ตงหลิน ได้ตัดสินใจไปแล้วในวันนี้ ไม่ว่าจะอย่างไร ในศึกครั้งนี้พวกเขาคนใดคนนึงก็จะตายกันไปข้างนึง
แต่ทว่ามันไม่ใช่กับเขาที่มีร่างกายเป็นอมตะ
เขาได้หยุดการโจมตีและเปิดปากขนาดใหญ่ของหมาป่าปีศาจด้วยมือทั้งสองข้าง
จากนั้นเขาก็ฉีกมันออกอย่างรุนแรง
ตอนนี้ ไป๋ตงหลิน มีพลังความแข็งแกร่งมากขนาดไหนกัน?
โดยปกติแล้ว แขนข้างนึง จะมีพละกำลังเท่ากับน้ำหนักแมวตัวโต 1 ตัว แต่ควบคู่ไปกับการเสริมพลังมากมายก่อนหน้านี้ ทำให้ แขนข้างนึงของเขา มีพละกำลังเท่ากับน้ำหนักแมวตัวโตถึง 20,000 ตัวเต็ม
หากเป็นร่างกายธรรมดาขัดเกลาพื้นฐานร่างกายเป็นอย่างดีลำพังแขนข้างเดียวก็มีพละกำลังเพียงแค่แมวตัวโต 1,000 ตัวเท่านั้น และ สำหรับ ผู้ฝึกยุทธ์ที่มีพลังการต่อสู้ที่สมบูรณ์แบบและสามารถใช้พลังปราณก็ทำได้เพียงมีพละกำลังเท่ากับแมวตัวโต 5,000 ตัว
ไป๋ตงหลิน ที่ฉีกปากของหมาป่าปีศาจ เขาได้ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ปากของหมาป่าปีศาจ ได้ถูกง้างออกอย่างรุนแรงจนมันได้ส่งเสียงกรีดร้องออกมา
หมาป่าปีศาจพยายามดิ้นรนแต่สุดท้ายมันก็หมดแรง
ไป๋ตงหลิน ได้ใช้มือและออกแรงอีกครั้ง เขาได้เอาเท้าขวาเหยียบปากของมันไว้ และ ขับขากรรไกรบนด้วยมือทั้งสองข้าง
กึก!
ปากของหมาป่าปีศาจได้ถูกฉีกออกครึ่งนึงในทันที ร่างกายของมันได้กระตุก แต่มันก็ยังไม่ตาย ดูเหมือนว่าพลังชีวิตของมันจะสูงมาก
แม้แต่ ไป๋ตงหลิน ที่เป็นอมตะ ก็ยังยกย่องนับถือในพลังชีวิตของหมาป่าปีศาจตัวนี้
เขาได้ก้มลงและใช้ปากบนที่เต็มไปด้วยเขี้ยวอันแหลมคมของหมาป่าปีศาจเจาะไปที่ลำคอของหมาป่าปีศาจอย่างดุเดือด
จากนั้น เขาก็พยายามบิดลำคอของ หมาป่าปีศาจ ทำให้ เส้นโลหิตภายในร่างกายของมันพลันแตกออกมา
โลหิตจำนวนมากได้พุ่งออกมาเต็มใบหน้าของเขา
หมาป่าปีศาจตัวนี้ได้ชักกระตุกในตอนท้ายก่อนที่จะจบชีวิตลงในเวลาต่อมา
ทันทีที่เขาฆ่าหมาป่าปีศาจสำเร็จ ก็มีเพียงลมหนาวเท่านั้นที่แทรกเข้ามาในจิตใจของเขา
สิ่งนี้คือการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง แต่มันไม่ได้ใหญ่มากนัก เขาไม่เข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้คืออะไร แต่เขาทำได้เพียงเก็บมันในใจไว้ชั่วคราว
หลังจากมองไปยังพื้นที่โดยรอบ เขาก็พบว่าพื้นที่ต่างถูกทำลายไปด้วยการต่อสู้ที่ดุเดือด ต้นไม่ที่เขียวชอุ่มก่อนหน้านี้ล้วนถูกโค่นลงไปหลายต้น
บนภูเขาเฮยเฟิง ไม่มีแหล่งน้ำอยู่ ดังนั้น ไป๋ตงหลิน จึงได้ละทิ้งความคิดเรื่องการทำความสะอาด มันคงจะเป็นการดีกว่าหากเขารีบไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุด
นอกจากนี้ สภาพทั่วร่างของเขาก็ค่อนข้างมอมแมม
ลมหนาวได้พัดผ่านจนทำให้ร่างกายของเขารู้สึกหนาวเล็กน้อย
ไป๋ตงหลิน ได้วิ่งลงจากภูเขาอย่างรวดเร็ว
ท่ามกลางแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาในป่า
มีเพียงร่างของหมาป่าปีศาจเท่านั้นที่นอนกองอยู่บนพื้น
…
ไม่ถึง 1 ชั่วโมงหลังจาก ไป๋ตงหลิน จากไป
เปลวไฟกระบี่ก็ได้ร่อนลงบนภูเขาเฮยเฟิง
จากนั้นแสงกระบี่ก็ได้หายไป
เป็น ไป๋เจียง และ หลิวอี้
พวกเขาได้มองไปที่ หมาป่าปีศาจ ที่ถูกฆ่าตายในปัจจุบัน ก่อนที่ ไป๋เจียง จะมองไปโดยรอบและกล่าวพูดออกมา :
“ดูเหมือนว่าจะมีนักพรตเต๋าบางคนมาถึงที่นี่ก่อนพวกเราแล้ว”
หลิวอี้ ได้พยักหน้า และ มองดูความตายที่น่าสลดของ หมาป่าปีศาจตัวนี้ จากนั้นนางก็ย่นคิ้วเล็กน้อย :
“แต่ข้าไม่รู้เลยว่า ศิษย์ของนิกายใดกัน ถึงได้ใช้วิธีจัดการที่น่าสนใจเช่นนี้”
พวก ปีศาจ และ สิ่งชั่วร้ายทั้งหมด สมควรได้รับการลงโทษ แน่นอนว่า หลิวอี้ ไม่ได้เห็นอกเห็นใจพวกปีศาจ แต่ทว่า นางรู้สึกสนใจกับวิธีจัดการนี้เป็นพิเศษ
ไป๋เจียง ไม่ได้พูดอะไรมากนัก ในความเห็นของเขา วิธีการจัดการเช่นนี้ ยังทำความสะอาดได้ไม่ดีพอ เพื่อเป็นการไม่ให้เสื้อผ้าของเขาเปื้อน เขาได้ใช้กระบี่ตัดศีรษะของหมาป่าปีศาจ
จากนั้นเขาก็บีบอัดพลังปราณ และ ยิงเปลวไฟวิญญาณออกมาเพื่อเผาร่างของหมาป่าปีศาจในทันที
โดยปกติแล้ว หลังจากกำจัดพวกปีศาจได้สำเร็จ พวกเขาจะเผาร่างของพวกมันเพื่อทำลายสิ่งชั่วร้ายเหล่านี้ให้หมดจด
ในช่วง ไม่กี่เดือนที่ผ่านมา มี พวกปีศาจและภูติวิญญาณจำนวนมากที่ถูกพวกเขาฆ่าร่วมกัน สิ่งนี้ก็เพียงพอแล้ว ที่จะทำให้พวกเขา ได้รับตำแหน่งในการจัดอันดับ
ดังนั้นในตอนนี้ ไป๋เจียง จึงไม่ได้คิดจะมองหาพวกปีศาจอีกต่อไป
เจตจำนงค์กระบี่ ได้ปรากฏขึ้นรอบ ๆ ร่างของ ไป๋เจียง นี่คือการสำแดงความไม่แน่นอนของ เจตจำนงค์กระบี่
ด้วยอายุเพียง 18 ปี เขาสามารถควบแน่น เจตจำนงค์กระบี่ ได้แล้ว สิ่งนี้มันได้ทำลายสถิตินับหมื่นปีที่มีมาของนิกายกระบี่ซวนเยว่
การควบแน่นเจตจำนงค์กระบี่ได้เร็วเช่นนี้ ก็เหนือความคาดหมายของเขาเช่นเดียวกัน แม้แต่ ผู้อาวุโสของนิกายบางคน ก็ยังไม่สามารถควบแน่นเจตจำนงค์กระบี่ได้เลยด้วยซ้ำ
สิ่งนี้ต้องขอบคุณกระแสพลังบางอย่างที่ปรากฏขึ้นทุกครั้งหลังจากที่ปีศาจถูกฆ่า มันทำให้เขาตกอยู่ในภวังค์หลายครั้งและสามารถควบแน่นเจตจำนงค์กระบี่ขึ้นมาได้
มิฉะนั้น แม้ว่าเขาจะมีพรสวรรค์โดดเด่นในวิถีกระบี่มากเพียงใด แต่มันก็คงต้องใช้เวลาอีกครึ่งปีหรืออีกหนึ่งปีถึงจะประสบความสำเร็จ
หากพูดถึง คนที่ประสบความสำเร็จในการควบแน่นเจตจำนงค์กระบี่และยังไม่ได้ควบแน่นเจตจำนงค์กระบี่ คนที่ควบแน่นเจตจำนงค์กระบี่แล้ว สามารถปลดปล่อยพลังกระบี่ที่รุนแรงออกมาได้หลายเท่ามากกว่าคนที่ยังไม่ควบแน่น
ดังนั้น เหล่าสาวกที่ปลุกเจตจำนงค์กระบี่ได้ก่อนอายุ 20 ปี พวกเขาสามารถเข้าร่วมการประเมินได้โดยตรงโดยไม่ต้องมีโควต้า
นี่คือกฏของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ถึงจะไม่อยาก แต่ก็คงถูกผลักดันอยู่ดี
ไม่เพียงแต่เจตจำนงค์กระบี่เท่านั้น แม้แต่ฐานการบ่มเพาะพลังของ ไป๋เจียง ก็ ยังไปถึง ดินแดนก่อเกิด ซึ่งถือว่าเป็นระดับพลังที่สูงมาก
จุดเริ่มต้นของ ผู้ฝึกยุทธ์ เริ่มแรกก็คือ ร่างกาย ไม่ว่าจะมีทักษะบ่มเพาะพลังแบบไหน สุดท้ายก็ต้องเริ่มจากการสร้างรากฐานก่อนเสมอ
อย่างไรก็ตาม ข้อแตกต่างระหว่างผู้ฝึกยุทธ์กับนักรบธรรมดา ก็คือ พวกเขาไม่จำเป็นจะต้องบีบอัดศักยภาพของร่างกาย พวกเขาเพียงใช้ลมปราณในจิตวิญญาณเพื่อทำให้ร่างกายสงบลง ซึ่งมีประสิทธิภาพที่ครอบคลุม และ ปลอดภัยยิ่งกว่า
หลังจากสร้างพื้นฐานร่างกายสำเร็จ ดินแดนพลังแรกที่ต้องเผชิญก็คือดินแดนปราณแท้จริง สิ่งนี้คือการเริ่มต้นการสร้างพลังปราณขึ้นมาภายในร่างกาย หลังจาก ขยายปราณไปทั่วร่างกายได้อย่างสมบูรณ์แล้ว ก็จะไปสู่ด่านถัดไปอย่างดินแดนก่อเกิด
สำหรับสถานะทารกในครรภ์หยวน แบ่งออกเป็นสี่สถานะ : การหายใจ,การเคลื่อนไหว,การเติบโต และ สมบูรณ์
การหายใจ มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ฝึกยุทธ์ เรียกได้ว่าเป็นการวางรากฐานของเต๋าที่ยิ่งใหญ่
ตึกจะสูงแค่ไหนสุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับการวางรากฐาน
การเคลื่อนไหว นี่คือการที่ทารกในครรภ์เริ่มกลายร่างเป็นรูปกระบี่ ในบรรดาหลายคนมักจะติดค้างอยู่ตรงจุดนี้และไม่สามารถพัฒนาไปยังขั้นต่อไปได้
ส่วน การเติบโต ก็คือ การที่ทารกกระบี่ในครรภ์ได้เติบโตขึ้น มันคือ การพัฒนาไปสู่ความ สมบูรณ์
ซึ่งนี่ก็คือเส้นทางความเป็นไปของมัน
ไป๋เจียง ได้อยู่ในสถานะนี้
“ศิษย์พี่ ข้อพิพาทสำหรับโควต้าใกล้จะหมดลงแล้ว ท่านจะยังไปพักผ่อนที่ตระกูลไป๋ของข้าอยู่รึไม่?”
เหตุใดที่ ไป๋เจียง รีบมาที่นี่ เป็นเพราะเขากลัวว่า ปีศาจ จะบุกโจมตี ไป่เฉิง แต่ เนื่องจาก ปีศาจถูกฆ่าตายไปแล้ว เขาจึงต้องการกลับไปที่ตระกูลไป๋ในตอนนี้
หลิวอี้ ได้ยิ้มและพยักหน้า :
“เอาตามที่ศิษย์น้องว่าเถอะ!”
จากนั้น ทั้งสองก็เปลี่ยนเป็นกระบี่และหายตัวไปอย่างรวดเร็ว