MDB ตอนที่ 58 สวนผักของพ่อครัวใหญ่เหลียว
หลินจินไปที่บ้านพักหลังเล็ก ๆ ของเหลียวกู่พร้อมกับลูกศิษย์ทั้งสามของเขา
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ นับตั้งแต่เขาได้ลิ้มรสอาหารของพ่อครัวใหญ่เหลียว หลินจินก็กลายเป็นคนพิถีพิถันเรื่องการกินมากขึ้น เขามักจะพบว่าอาหารของคนอื่นมีรสชาติที่ขาดหายไป ดังนั้นเขาจึงอยากมาที่นี่เพื่อทานอาหารที่อร่อยและฟรี
แน่นอน หลินจินจะไม่เรียกมันว่า 'การมาทานอาหารฟรี' มันเป็นการพบปะสังสรรค์แบบสบาย ๆ เขายังให้จ้าวหยิงและคนอื่น ๆ นำของขวัญติดมือมาด้วย!
ตั้งแต่เหตุการณ์นั้นที่ร้านอาหารซิมโฟนี เหลียวกู่ก็ไม่เคยกลับไปที่นั่นอีกเลย แม้ว่าเจ้าของส่วนหลังของร้านอาหารจะกลับไปเยี่ยมเขาเป็นการส่วนตัวแต่เหลียวกู่เป็นชายที่ดื้อรั้นและไม่ยอมกลับที่อีกเป็นอันขาด
มีข่าวลือว่าเจ้าของร้านซิมโฟนีโกรธจัด แน่นอนว่า เขาไม่ได้โกรธพ่อครัวใหญ่เหลียวแต่เป็นผู้จัดการร้าน ทั้งหมดมันความผิดของจางไป่หลี่ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาต้องเผชิญกับผลกระทบร้ายแรงจากการเรื่องนี้และเลิกฝันถึงการสร้างอาชีพในอุตสาหกรรมนี้ไปได้เลย
เมื่อหลินจินมาถึงเหลียวกู่กำลังเก็บผักในบ้านของเขา เขาตื่นเต้นที่ได้เห็นหลินจิน
ผู้ชายคนนี้ทำอาหารมาทั้งชีวิต บุคลิกของเขาเหมือนกับไฟในเตา กล้าหาญและตรงไปตรงมา หากเขาพบคนที่ถูกใจ เขาสามารถสนทนากับพวกเขาได้สามวันสามคืนติดต่อกัน สำหรับคนที่เขารังเกียจ แม้แต่สายตา เขาจะไม่เหลียวมอง
ส่วนผู้ติดตามที่หลินจินพามา จ้าวหยิงกับหลู่เสี่ยวหยุนได้พบกับเหลียวกู่มาก่อนหน้านี้แล้ว ผู้หญิงเหล่านี้มีมารยาทและทักทายเหลียวกู่ด้วยความเคารพ
ส่วนฮานดง นี่เป็นครั้งแรกที่ฮานดงได้พบกับพ่อครัวใหญ่เหลียวผู้โด่งดัง ดังนั้นเขาจึงตกใจเกินกว่าจะพูดอะไรออกมา
'ผู้ประเมินหลินปฏิบัติต่อข้าด้วยความจริงใจ ข้าจะซ่อนสิ่งนี้จากเขาต่อไปได้อย่างไร?' ตลอดการเดินทาง ฮานดงได้ต่อสู้กับมโนธรรมของเขา พูดตามตรง เขาไม่ได้รู้สึกกดดันทางจิตใจในตอนแรกแต่หลังจากที่ได้เห็นทักษะที่ไม่ธรรมดาของหลินจินและอุปนิสัยที่น่าชื่นชมของเขา สิ่งเหล่านั้นทำให้ฮานดงเริ่มหวั่นไหว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ หลินจินสอนบทเรียนให้พวกเขาฟัง ฮานดงสามารถสัมผัสได้ว่าหลินจินไม่ได้ลดทอนส่วนใดเลยแม้แต่น้อย เขาถ่ายทอดความรู้ย่างเต็มที่ ถ้าฮานดงไม่หวั่นไหว เขาก็จะเป็นเพียงไอ้สารเลวที่ไม่สามารถให้อภัยได้
ดังนั้นเขาจึงดึงหลินจินหลบฉากออกไปเพื่อที่เขาจะได้สารภาพทุกอย่างกับเขา
หลังจากบอกเขาทุกอย่างแล้ว ฮานตงก็รู้สึกเหมือนก้อนหินใหญ่หลุดออกจากบ่าของเขา นอกจากนี้ เขารู้สึกเหมือนได้รับการปลดปล่อย มันไม่สำคัญสำหรับเขาว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
แม้ว่าเขาจะถูกเฆี่ยนตีโดยผู้ประเมินหลินหรือถูกไล่ออก เขาก็เต็มใจยอมรับชะตากรรมของเขา เขาต้องรับผิดชอบต่อการกระทำผิดของเขาไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
ทางด้านหลินจินไม่เคยพูดอะไรหลังจากได้ยินเรื่องราวทั้งหมด
สิ่งที่ตามมาคือความเงียบเป็นเวลานาน
ฮานดงอก้มศีรษะลงและกล่าวว่า “ผู้ประเมินหลิน ท่านสามารถดุด่าข้าได้ตามที่ท่านต้องการ ข้ารู้ตัวดีว่าข้าเป็นฝ่ายผิด ข้าจะกลับไปบอกดงเฮอและและคนอื่น ๆ ว่าข้าจะหยุดทำสิ่งนี้ จากนั้นข้าจะออกจากสมาคมประเมินสัตว์วิเศษด้วยตัวฉันเอง”
พูดไปแล้วก็หันหลังเดินจากไป
หลินจินเรียกเขากลับมา
“มันไม่ใช่ทุกคนที่ได้รับโอกาสลิ้มรสอาหารของพ่อครัวใหญ่เหลียว เจ้าเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ได้โอกาสนั้นแต่เจ้าต้องการจากไป? เจ้าเป็นคนโง่อย่างนั้นหรือ?”
หลินจินยิ้มและเดินไปตบไหล่ฮานดง “ในเมื่อเจ้ารู้ตัวว่าเจ้าทำพลาดไป เจ้าก็แค่ต้องปรับปรุงตัว มนุษย์ทุกคนล้วนเคยทำเรื่องผิดพลาดครั้งแล้วครั้งเล่า มีเพียงคนฉ้อฉลเท่านั้นที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองผิดและจะโทษคนอื่น!”
ฮานดงตะลึงงัน
ในทันทีนั้น ในสายตาของเขา เงาของหลินจินนั้นใหญ่โตและเกรียงไกร เช่นเดียวกับปราชญ์ที่ชาญฉลาด หลินจินได้ดึงเขาออกจากขุมนรกที่มืดมิดและเข้าสู่แสงสว่าง
ที่สำคัญกว่านั้น ผู้ประเมินหลินได้ให้อภัยเขาแล้ว
ฮานดงรู้สึกอยากจะร้องไห้ออกมา
ณ ตอนนี้ เขาได้ตัดสินใจแล้ว เขาไม่สนดงเฮอกับดงเฉว่อีกต่อไป จากนี้ไปเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกเขา นอกจากนี้ ฮานดงก็ค่อนข้างขอบคุณพวกเขาเช่นกัน หากพวกเขาไม่ส่งเขามาที่นี่ เขาอาจจะไม่ได้รับความรู้อันยิ่งใหญ่ของผู้ประเมินหลิน
ทางด้านหลินจิน เขาไม่ได้เล่าถึงเหตุการณ์นี้กับคนอื่นฟัง
สาเหตุที่เขาไม่ปฏิเสธฮานดงเพราะเขาไม่ได้สร้างปัญหาร้ายแรงใด ๆ ให้เขา นอกจากนี้ เขาได้ทำความสะอาดตามความต้องการของเขาเอง ด้วยสิ่งนี้หลินจินสามารถดึงดูดผู้ติดตามที่เป็นประโยชน์ได้ ดังนั้นทำไมเขาถึงต้องทำเรื่องยากสำหรับฮานดงด้วย?
'ตอนนี้ฉันรู้แผนการของไอ้หัวหมู ดงเฮอแล้ว ถึงเขาจะมีพี่สาวที่ฉลาดและเธอเป็นภรรยาของผู้เฒ่าหนานกงเซียน แล้วยังไง!'
หลินจินไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย แม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายเพียงใดและดูเหมือนว่าจะไม่มีโอกาสที่จะพลิกกระแสน้ำหลังจากที่ห้องโถงประเมินของเขาถูกปิดลงโดยหวังจี
แต่หลินจินก็ไม่ใช่หลินจินคนเดิมอีกต่อไป ด้วยพิพิธภัณฑ์สัตว์วิเศษ มันเป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น ก่อนที่เขาจะได้ทุกอย่างที่เป็นของเขากลับคืนมา
สำหรับตอนนี้ หลินจินไม่สนใจเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ดังกล่าว เขาแค่อยากจะทานอาหารอร่อย ๆ เท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น การประเมินรายเดือนของสมาคมจะดำเนินการภายในสองวัน บังเอิญเป็นวันสอบที่สำคัญสำหรับผู้ประเมิน วันนั้นมันจึงเป็นวันที่ค่อนข้างพิเศษ
ผู้ประเมินฝึกหัดจะทำการทดสอบคุณสมบัติเพื่อเป็นผู้ประเมินทางการและผู้ประเมินทางการจะทำการสอบ 'เลื่อนตำแหน่ง' ในวันนั้นเช่นเดียวกัน
หลินจินเป็นผู้ประเมินระดับหนึ่ง ถ้าเขาเข้าร่วมและผ่านการสอบเลื่อนขั้น เขาสามารถเป็นผู้ประเมินระดับสองได้
นี่คือแผนของหลินจิน ไม่ว่าห้องโถงประเมินของเขาจะถูกปิดหรือไม่ก็ตาม หลินจินได้ตัดสินใจสอบเลื่อนตำแหน่งแล้ว ด้วยพิพิธภัณฑ์สัตว์วิเศษของเขา ทำไมเขาถึงไม่ได้ล่ะ?
ก่อนที่สิ่งนั้นจะเกิดขึ้น เป็นการดีที่จะได้หยุดพัก
จากนั้น หลินจินก็ได้เพลิดเพลินกับมื้ออาหาร อาหารของเหลียวกู่สมกับพ่อครัวใหญ่จริง ๆ ไม่ว่าจานไหนก็อร่อยทุกจาน
เหลียวกู่ได้พูดคุยกับหลินจินอย่างเป็นกันเองในมื้ออาหาร ในขณะที่ จ้าวหยิง, หลู่เสียวหยุนและฮานดง พวกเขาต่างก้มหน้าลงขณะที่พวกเขาทานทุกอย่างอย่างเอร็ดอร่อย
ทันใดนั้น หลินจินสังเกตเห็นกองผักเน่า ๆ ในบ้านซึ่งเห็นได้ชัดว่าแมลงกินเข้าไป ดังนั้นเขาจึงถามอย่างไม่ใส่ใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เมื่อเหลียวกู่ได้ยินเช่นนั้น เขาก็เริ่มมีควันออกจากหูของเขาทันที
“ทั้งหมดเป็นเพราะหนอนกะหล่ำที่ชั่วร้าย คงมีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่ามันซ่อนอยู่ที่ไหน มันทำลายผักของข้าตลอดเวลา ผักของข้าได้รับการบำรุงอย่างดีและรดน้ำด้วยน้ำพุวิญญาณ ถูกมันกินจนเละเทะ ข้าพยายามจับมันมาหลายวิธีแล้วแต่จนถึงตอนนี้ ข้ากลับมามือเปล่าเท่านั้น”
เหลียวกู่เป็นคนแก่ที่น่าขบขัน ใครจะคิดว่าเขาจะเดือดร้อนเพราะหนอนกะหล่ำ
เมื่อหลินจินได้ยินเรื่องนี้ เขาก็ตระหนักในทันทีว่าหนอนกะหล่ำที่เหลียวกู่กล่าวถึงอาจไม่ใช่แค่แมลงทั่วไป ไม่อย่างนั้นมันจะฉลาดพอที่จะหลบเลี่ยงการจับของมนุษย์ได้อย่างไร?
ด้วยความอยากรู้ เขาจึงถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเด็นนี้ เหลียวกู่บรรยายว่าหนอนกะหล่ำปลีมีร่างกายที่ใหญ่หนาพอ ๆ กับนิ้วหัวแม่มือของมนุษย์ มันเป็นสีเขียวทั้งหมดและมีลวดลายสีแดงบนตัวของมัน มันสร้างหายนะในสวนผักของเขา มันกินทุกอย่างที่ขวางทางและเหลียวกู่ก็มีปัญหากับเรื่องนี้มาระยะหนึ่งแล้วเพราะเขาจับมันไม่ได้
“ข้าสงสัยว่าหนอนกะหล่ำตัวนี้อาจเป็นสายพันธุ์ที่หายาก มันไม่เพียงแต่เคลื่อนไหวอย่างไม่ปกติเท่านั้นแต่ยังมีไหวพริบเฉียบคมอีกด้วย ในระหว่างการ 'การต่อสู้' ของเรา ข้ามักจะจบลงด้วยการแพ้ แต่มันไม่สำคัญหรอก เพราะข้าจะออกจากเมืองเมเปิ้ลในไม่ช้านี้ เมื่อถึงเวลานั้น เจ้าหนอนตัวร้ายตัวนั้นก็ไม่สามารถทำร้ายข้าได้อีกต่อไป เนื่องจากข้าไม่สามารถทำอะไรมันได้ อย่างน้อยข้าก็สามารถหลบเลี่ยงมันได้”
เหลียวกู่ดูทำอะไรไม่ถูก เห็นได้ชัดว่าเขาหดหู่ใจเพียงใดที่ไม่ได้ทำสงครามกับหนอนกะหล่ำ เขาทำได้แค่บ่นและบอกพวกเขาเกี่ยวกับการกระทำที่ชั่วร้ายของแมลงอันน่าสะพรึงกลัว
หลินจินทำได้เพียงฟังเขา
ทันใดนั้น โกลดี้ซึ่งถูกหลินจินอุ้มมาจากบ้าน มันยกหัวขึ้นสูงขณะวิ่งเหยาะ ๆ ผ่านโต๊ะอาหาร ในปากของโกลดี้มีหนอนกะหล่ำตัวใหญ่อวบอ้วน
หลินจินเหลือบมองโดยไม่ได้ตั้งใจเพียงเพื่อจะตระหนักว่าหนอนตัวนี้ดูเหมือนกับหนอนกะหล่ำที่เหลียวกู่อธิบายไว้
มันหนาพอ ๆ กับนิ้วหัวแม่มือ ตัวมันสีเขียวเต็มไปหมดและมีลวดลายสีแดง
หลินจินขัดจังหวะเสียงบ่นของเหลียวกู่ทันทีและชี้ไปที่โกลดี้ “พ่อครัวใหญ่เหลียว หนอนที่ชั่วร้ายที่ท่านพูดถึง…ใช่มันหรือเปล่า?”
เหลียวกู่ที่กำลังหงุดหงิด ดังนั้นการถูกหลินจินขัดจังหวะทำให้เขาอารมณ์ไม่ดีแต่เมื่อเขาหันไป เขาก็อึ้งจนพูดไม่ออก
ดูจากสีหน้าของเหลียวกู่ นั่นน่าจะเป็นคำตอบที่ชัดเจนที่สุด
เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาของเหลียวกู่ โกลดี้ก้าวถอยหลังอย่างระมัดระวัง มันกลัวว่าเหลียวกู่จะแย่งขนมจากมัน ดังนั้น ด้วยการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว มันจึงกัดตัวหนอนตัวใหญ่เป็นชิ้นๆ ก่อนที่จะกลืนลงไปทั้งหมด
เมื่อมันกินเสร็จแล้ว มันเงยหน้าขึ้นสูง มันก็เหยียดกรงเล็บไก่ออกอย่างโอ้อวดและเดินออกไปอาบแดดที่สวนผัก