538 - มารดาเจ้าเรียกกลับไปกินข้าว
538 - มารดาเจ้าเรียกกลับไปกินข้าว
คนส่วนใหญ่ยังไม่จากไป การโต้แย้งของพวกเขาทำให้เกิดความสับสนมากมาย
เย่ฟ่านแค่นเสียงและกล่าวว่า “ต่อให้เทพธิดาของเจ้ายังมีชีวิตอยู่เมื่อนำมาเทียบกับลิงวิเศษตัวนั้นก็ไม่ทราบว่าผู้ใดจะมีมูลค่าสูงกว่ากัน ตอนนี้นางตายไปแล้วเจ้ายังกล้ามนำมาเปรียบเทียบอีกหรือ?”
"เจ้าจะพูดอย่างนั้นก็ไม่ถูก เพียงทวนสีแดงเล่มนั้นก็เกือบจะเป็นอาวุธเต๋าสุดขั้วแล้ว วานรของเจ้าจะมีประโยชน์อะไร รีบยอมแพ้และมอบเมล็ดพันธุ์กิเลนศักดิ์สิทธิ์มาให้เราเดี๋ยวนี้!"
หลี่เหอซุยได้ยินแบบนั้นก็คำรามด้วยความโกรธว่า
"พวกเจ้าไร้ยางอายขนาดนี้ไม่กลัวฟ้าผ่าตายเหรอ? ลิงวิเศษของพวกเราคือทายาทของราชาอมตะ เมื่อมันเติบโตขึ้นต่อให้ไม่เป็นราชาอมตะก็ต้องเป็นถึงผู้อมตะที่ยิ่งใหญ่?"
"ลิงตัวนั้นแข็งแกร่งจริงๆ แม้แต่ผู้สูงสุดในดินแดนรกร้างตะวันออกก็ไม่มีผู้ใดสามารถปราบปรามมันได้ แล้วมันจะกลายเป็นสมบัติล้ำค่าของเจ้าได้อย่างไร มันเป็นเพียงของที่ไร้ประโยชน์เท่านั้น" หนานกงจี้เองก็ต้องยอมรับเรื่องนี้
“มันไม่เกี่ยวข้องว่าใครจะปราบปรามได้หรือไม่ การเดิมพันของพวกเราอยู่ที่ว่าสิ่งใดจะมีค่ามากกว่า ตอนนี้พวกเจ้าพ่ายแพ้แล้วยังจะคิดปฏิเสธการจ่ายเดิมพัน?”
หลี่เหอซุยหันไปกล่าวกับผู้คนรอบๆว่า
"ทุกท่านโปรดเป็นพยาน ไอ้สาระเลวพวกนี้กำลังคดโกงอย่างหน้าด้านๆ ความยุติธรรมของโลกนี้ยังมีอยู่อีกหรือ?"
ตอนนี้กลุ่มชายชรามากมายไม่ได้จากไปไหน พวกเขายังคงกระตือรือร้นที่จะขอแบ่งแมลงศักดิ์สิทธิ์สักตัว ดังนั้นพวกเขาจึงรีบส่งเสียงเข้าข้างเย่ฟ่านในทันที
อันเหมียวอี้, สวีเหิง,จินฉีเซียวและคนอื่นๆก็ไม่ได้จากไปไหน พวกเขารู้ดีว่าศักดิ์ศรีของตัวเองยังไม่เพียงพอจึงไม่ได้สอดแทรกวาจาอะไรเลย ต่อให้พวกเขารู้สึกว่าเย่ฟ่านเป็นฝ่ายที่ได้รับชัยชนะก็ตาม
"เด็กน้อยพวกเจ้ายังคิดจะพยายามโกงอีกเหรอ สิ่งที่พี่หนานกงเปิดได้มีราคามากกว่าสิ่งของของพวกเจ้าหลายสิบเท่าอย่างแน่นอน"
ในทันใดนั้นผู้อาวุโสสูงสุดของวังห้าธาตุหลี่ยี่ซุยรีบสอดแทรกตัวเข้ามาด้วยเจตนาที่จะทับถมพวกเย่ฟ่าน
"คำพูดของผู้อาวุโสผู้อาวุโสหลี่มีเหตุผล เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีผู้ใดปฏิเสธได้แล้ว ยังไม่รีบมอบสมบัติของพวกเจ้ามาอีก"
เด็กหนุ่มของตระกูลขุนนางโบราณรีบส่งเสียงสนับสนุนอย่างรวดเร็ว
"สมบัติของน้องชายกู่เฟิงมีมูลค่าสูงกว่าสมบัติของผู้อาวุโสหนานกงอย่างแน่นอน พวกเจ้าเลิกกลับดำเป็นขาวได้แล้ว" เหยาเยว่กงแห่งวังอสูรสวรรค์รู้สึกรำคาญเป็นอย่างมาก
องค์ชายเซี่ยอี้หมิงก็พยักหน้าและกล่าวว่า
"ทายาทของราชาอมตะมีคุณค่ามากแค่ไหน ข้าไม่เชื่อว่าผู้อาวุโสหนานกงจะไม่รู้?"
"จะพูดเช่นนั้นไม่ได้"
หลี่ยี่ซุยผู้อาวุโสสูงสุดแห่งวังห้าธาตุส่ายหัวด้วยใบหน้าที่ดูเหมือนยิ้ม เขาเหลือบมองที่เย่ฟ่านและกล่าวว่า
“ทายาทของราชาอมตะแม้ว่าจะแข็งแกร่งแต่ก็ใช่ว่าจะมีใครควบคุมความประพฤติของพวกมันได้ มันไม่เหมือนกับอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่มีมูลค่าในตัวของมันเอง?”
“หลี่ยี่ซุยมารดาของเจ้าเรียกเจ้าให้กลับบ้านเพื่อทานอาหารเย็นแล้ว” ทันใดนั้นก็มีเสียงดังมาจากนอกฝูงชน
ทันทีที่ประโยคนี้ดังขึ้นผู้คนมากมายก็ส่งเสียงหัวเราะออกมา
เย่ฟ่านรู้ดีว่าคำพูดนี้ต้องมาจากผังป๋อ นี่เป็นคำด่าที่เป็นที่นิยมจากโลกเก่าของเขา ซึ่งเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับโลกนี้
“นั่นใคร!?”
หลี่ยี่ซุยโกรธจัดเขาเป็นผู้อาวุโสของมหาอำนาจในดินแดนรกร้างตะวันออก เขารู้สึกโมโหจริงๆที่มีใครกล้าพูดกับเขาแบบนี้?
ผู้คนที่อยู่ในบริเวณต่างส่งเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ผู้อาวุโสหลายคนไม่ได้มีความเกรงใจ พวกเขาเลือกที่จะส่งเสียงหัวเราะเยาะเย้ยออกมาตรงๆ
ในทางกลับกันยอดฝีมือรุ่นเยาว์ทั้งหลายพยายามกลั้นตัวเองอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้กระทบความสัมพันธ์กับวังห้าธาตุ
เย่ฟ่านเห็นแบบนั้นก็ยิ้มและกล่าวว่า “ท่านผู้เฒ่า มารดาท่านเรียกหาแล้วเหตุไฉนยังอยู่ที่นี่”
"ฮ่าฮ่า..."
ทุกคนส่งเสียงหัวเราะโดยไม่อาจอดกลั้นเอาไว้ได้ ในจำนวนนี้แม้แต่ลูกหลานของตระกูลขุนนางโบราณที่เชี่ยวชาญด้านศิลปะต้นกำเนิดก็ยังอดไม่ได้เช่นกัน
หลี่ยี่ซุยเป็นผู้อาวุโสสูงสุดของวังห้าธาตุมาหลายร้อยปี มันไม่เกินจริงที่จะกล่าวว่าเท้าข้างนึงของเขาเหยียบเข้าไปในโลงแล้ว
ตอนนี้กลับมีใครบางคนเคลื่อนย้ายมารดาผู้ล่วงลับของเขาออกมาล้อเล่น เขาจะสามารถอดกลั้นความโกรธแค้นครั้งนี้ไว้ได้อย่างไร!
ในขณะนี้เขาเดินเข้าหาเย่ฟ่านด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นและอับอาย เขาต้องการที่จะฆ่าเย่ฟ่านและหลี่เหอซุยเพื่อระบายความโกรธ
"ในเมื่อพวกเจ้ารนหาที่เองก็อย่าโทษว่าข้ารังแกพวกเจ้าก็แล้วกัน!"
“สุนัขเฒ่า หากเจ้ามีความกล้าเจ้าก็อย่าลังเลอีกต่อไป”
หลี่เหอซุยกล่าวด้วยรอยยิ้มก่อนจะโยนแผ่นป้ายสีดำออกไปกระแทกหน้าผู้อาวุโสสูงสุดวังห้าธาตุ
“เด็กน้อยเจ้ากล้าดูหมิ่นข้าเจ้าต้องชดใช้ด้วยชีวิต!”
หลี่ยี่ซุยกล่าวอย่างเย็นชาก่อนจะคว้าป้ายเหล็กสีดำมาบดขยี้ด้วยความโกรธ
กึก!
แต่ความคาดหวังของเขากลับไม่เป็นผล เขาจ้องมองแผ่นป้ายสีดำที่อยู่ในมือด้วยความตกตะลึง
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าของสิ่งนั้นคืออะไร!” หลี่เหอซุยเยาะเย้ย
เมื่อได้ยินคำพูดของเขาสายตาทุกคู่ก็จับจ้องไปยังแผ่นป้ายสีดำนั้น และใบหน้าของผู้อาวุโสหลายคนก็เปลี่ยนไปอย่างรุนแรง
แผ่นป้ายสีดำเหมือนหมึกไม่มีความมันวาว ที่ด้านในมีเพียงรูปฝ่ามือๆของมนุษย์ที่ถูกแกะสลักอย่างหยาบๆอยู่ตรงกลาง
"เจ้ามีของสิ่งนี้ได้อย่างไร"
"ข้ามีมันแล้วจะทำไม” หลี่เหอซุยหลีกเลี่ยงที่จะตอบ
“เด็กน้อยเจ้าเป็นใครกันแน่ เจ้ามีสมบัติชิ้นนี้ได้อย่างไร”
เหล่าผู้อาวุโสที่อยู่รอบๆหวาดกลัวจนตัวแข็ง แม้แต่ท่าทีของพวกเขาก็ยังเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
ในอดีตเจ้าของแผ่นป้ายเหล็กดำนี้เคยไล่ล่าปรมาจารย์ศักดิ์สิทธิ์คนหนึ่งเข้าไปในเหมืองโบราณต้นกำเนิดโดยที่บุคคลทั่วภาคเหนือไม่มีผู้ใดกล้าที่จะขัดขวาง
ผู้คนไม่รู้ว่าใบหน้าที่แท้จริงของเขาเป็นอย่างไร รู้แต่เพียงว่าความแข็งแกร่งของเขานั้นน่ากลัวถึงขีดสุด
ในตอนที่เขายังทรงอำนาจอยู่ในภาคเหนือไม่ทราบว่ามีประมาณศักดิ์สิทธิ์มากมายเท่าไหร่ที่ถูกเขาฆ่าตาย
ก่อนที่ผู้อาวุโสคนนั้นจะเก็บตัวอย่างสันโดษ เขาก็ทิ้งแผ่นป้ายสีดำแบบนี้ไว้เป็นประกาศิตประจำตัว หากผู้ใดกล้าทำร้ายผู้ที่ถือแผ่นป้ายนี้ ผู้อาวุโสคนนั้นก็จะออกมากวาดล้างทั้งสำนัก!
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตผ่านมาไม่กี่พันปีเท่านั้น ไม่มีผู้ใดกล้ารับประกันว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดคิดจะท้าทายอำนาจของป้ายประกาศิตเหล็กดำอย่างแน่นอน
ในเวลานี้อันเหมียวอี้ จินฉีเซียวและบุตรศักดิ์สิทธิ์คนอื่นๆต่างก็แสดงท่าทางแปลก ๆ
“ยังรออะไรอีกรีบมาฆ่าพวกเราเร็วๆ” หลี่เหอซุยก้าวไปข้างหน้าสองก้าว
ใบหน้าของผู้อาวุโสสูงสุดของวังห้าธาตุแดงและเขินอาย เขาไม่สามารถเดินหน้าหรือถอยหลังได้ ต่อให้มอบความกล้าให้เขามากกว่านี้สิบเท่าเขาก็ไม่กล้าแตะต้องแม้แต่เส้นผมของหลี่เหอซุย
“สหายน้อยทั้งสอง ชายชราผู้นี้รู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากที่ทำให้พวกเจ้าขุ่นเคือง สักวันหนึ่งพวกเจ้าจะกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในอนาคต ได้โปรดอย่าถือสาหมาแมวที่ไกล้ตายเช่นข้าเลย”
หลี่ยี่ซุยใบหน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจและประคองแผ่นป้ายสีดำคืนให้กับหลี่ยี่ซุยด้วยความเคารพ
"เจ้าทำถูกต้องแล้วเพราะตอนนี้มารดาเจ้ากำลังรอกินข้าวอยู่ที่บ้าน" ผังป๋อถอนหายใจอีกครั้ง
“พี่น้องที่ส่งเสียงเป็นใคร วันนี้ข้าขอเชิญเจ้าไปร่วมดื่มสุราสักครั้ง”
หลี่เหอซุยหัวเราะก่อนจะเริ่มมองหาผังป๋อ แม้ว่าจะเต็มไปด้วยความโกรธแค้นอย่างถึงที่สุดแต่หลี่ยี่ซุยก็ทำได้เพียงถอยกลับอย่างรวดเร็ว
“ผู้อาวุโส ท่านแพ้แล้ว” เย่ฟ่านเดินเข้าหาหนานกงจี้พร้อมกับยื่นมือออกไป
“ผิดแล้วสหายน้อย เจ้าต่างหากที่เป็นคนพ่ายแพ้” หนานกงจี้ยังคงปากแข็งและรักษาความสงบไว้
ตระกูลขุนนางโบราณที่เชี่ยวชาญศิลปะต้นกำเนิดนั้นเป็นพันธมิตรกันถึงสี่ตระกูล แม้ว่าพวกเขาจะพ่ายแพ้แต่หากพวกเขาไม่ยอมรับต่อให้เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่สามารถกดดันพวกเขาได้