ตอนที่ 10 หักหลัง(อ่านฟรี)
ตอนที่ 10 หักหลัง
พายุทรายยังคงดำเนินอย่างต่อเนื่อง เป็นเวลาสองวันเต็ม ๆ ซึ่งพายุทรายที่เกิดนั้นไม่ได้มีแต่เพียงทรายตามชื่อของมัน แต่มันกลับเต็มไปด้วยเศษซากเล็ก ๆ ของทุกสิ่งที่พัดผ่าน ทำให้ระดับอันตรายนั้นมากกว่าหลายเท่าของพายุทรายจริง ๆ
ที่จริงแล้วพื้นที่เมืองเก่าพวกนี้นั้นแห้งแล้งเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะการดำรงค์อยู่ของอันเดดหรือเพราะสภาพแวดล้อมที่นี่เป็นแบบนี้อยู่แล้ว แต่ลูอิสเดาว่าน่าจะทั้งสองสอง
เมื่อพายุทรายหยุดลงพวกเขาก็เก็บของและเตรียมเดินทางกันต่อในทันที
มีครั้งหนึ่งพวกเขาเจอเข้ากับฝูงซอมบี้มากกว่า 20 ตัว โชคดีที่ยังสังเกตเห็นก่อนจึงทำให้หลบเลี่ยงมาได้
แต่ในวันต่อมานั้นหนึ่งในผู้อพยพโดนฆ่าโดยมัมมี่ขณะออกไปหาอาหาร ทำให้พวกเขาต้องเดินทางในกลางคืนอีกครั้ง เนื่องจากสถานที่พักนั้นใกล้กับตำแหน่งที่นักรบโครงกระดูกมากเกินไป
ซึ่งลูอิสก็ไม่ได้เห็นตัวของมัมมี่ด้วยตาตนเอง แต่ฟังจากที่คนกลุ่มผู้อพยพพูดกันนั้น มัมมี่ที่ว่านี้พวกมันจะมีอาณาเขตแน่นอนและไม่ออกมาด้านนอกอาณาเขตเด็ดขาด แถมยังมีสติปัญญาเล็กน้อยด้วย
ส่วนด้านความสามารถของมันนั้นก็สูงกว่าซอมบี้ปกติมาก พวกมัมมี่นั้นสามารถควบคุมทรายและผ้าพันแผลที่ตัวของมันให้ยืดหดได้ดั่งใจ พอรวมกันแล้วระดับอันตรายนั้นเทียบเท่ากับพวกนักรบโครงกระดูกเลยทีเดียว
ด้วยความสามารถของซาฟและพ่อบ้านเฟรดนั้นคงยากจะจัดการมันได้ บางทีอาจจะต้องใช้ระดับ 1 ดาวในการจัดการมัน
ในทุกอย่างก้าวนั้นอันตรายมาก แต่ก็ไม่ได้มากมายนักเมื่อพวกเขาเข้าใกล้เมืองเอลดิล เพราะในสถานที่ใกล้เมืองพวกอันเดดระดับสูงจะโดนจัดการไปหมดแล้วโดยทหารของเมือง
‘หลังจากพายุทรายจบลงก็ผ่านมาสามวันแล้วตอนนี้ค่าพลังงานศรัทธาของฉันมีมากถึง 1150 แต้มแล้ว รวมกับของเก่าด้วยแล้วก็เท่ากับ 1860 แต้มแล้ว แต่ตอนนี้ยังไม่ควรจะอัพเลเวล ควรจะเก็บไว้เจอสถานการณ์อันตรายแล้วค่อยอัพทีเดียว แต้มศักยภาพก็เช่นกันด้วย’ ลูอิสวางแผนในใจ เขารู้สึกอุ่นใจมากกว่าถ้ามีพลังงานศรัทธาเก็บไว้ เนื่องจากพลังงานศรัทธานั้นสามารถทำอะไรได้หลาย มันจึงสามารถปรับใช้ได้ตามสถานการณ์ได้
‘จากที่พวกเขาพูดกันน่าจะอีกสองวันก็ถึงเมืองเอลดิลแล้ว เฮ้อ...ในที่สุดก็จะได้ออกจากสถานที่อันตรายแบบนี้สักที’
‘พอมาคิดดูแล้ว ฉันก็อยากจะทำตัวแบบทารก นอน กินและเล่นไปวัน ๆ ใช้ชีวิตช่วงวัยเด็กให้สดใส่ร่าเริง แต่ตอนนี้กลับต้องมาระวังว่าจะตายจากอันเดดตอนไหนก็ได้ ช่างเป็นวัยเด็กที่มืดมนซะจริง ๆ’
หลังจากตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้าจนตอนนี้ใกล้บ่ายโมงแล้ว ทำให้เขารู้สึกง่วงมาก ในเมื่อง่วงลูอิสก็จะไม่ฝืนตัวเองอีก เขาเลือกจะนอนหลับในทันที
ที่จริงแล้วตั้งแต่อยู่เลเวล 2 นั้นลูอิสก็นอนน้อยลงสองสามชั่วโมง อาจจะเพราะเขาแข็งแกร่งขึ้น แต่อย่างไรเขาก็ยังต้องนอนอยู่
...
ลูอิสตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นเวลาเย็นแล้ว เขากวาดสายตามองไปรอบตัว ตอนนี้ด้านข้างของเขานั้นมีแอนเดรียที่กำลังกินอาหารอยู่ และข้าง ๆ ยังมีเจียน่าที่นั่งมองเขาอยู่ด้วย
ที่ผ่านมาเจียน่าจะมาคอยเล่นเป็นเพื่อนเขาอยู่เสมอ ซึ่งที่จริงก็ไม่ได้เป็นการเล่น แต่พูดคุยเรื่องของโลกใบนี้ซะมากกว่า และทำให้เขาไม่รู้สึกเบื่อ ไม่อย่างนั้นบางทีเขาอาจจะอึดอัดจนตายก็ได้ เมื่อไม่ได้พูดกับใครเลย
การพูดคุยช่วยให้ลูอิสพัฒนาภาษาได้เป็นอย่างดี ไม่นานเขาก็พูดได้คล่องมากขึ้นด้วย แต่ทุกครั้งที่พูดคุยกันเขาจะต้องระวังตัวพอควร เพราะกลัวว่าจะมีใครอื่นมาเห็นเข้า
ทารกลูอิสน้อยลุกขึ้นนั่งตัวตรงมือยื่นไปจับปลายเท้าตัวเองไว้ ก่อนจะมองไปรอบ ๆ หลังจากที่ตื่นนอน แอนเดรียกำลังนั่งจัดการเสื้อผ้าอยู่เธอกำลังใช้เสื้อผ้าบางส่วนของตนเองเย็บเปลี่ยนเป็นชุดให้กับเขาใส่
‘ฝีมือการเย็บผ้าของเธอสุดยอดมาก แม้จะมีของแค่ไม่กี่อย่างแต่ชุดของเราก็ดีมากเลย’
ลูอิสก้มมองดูเสื้อผ้าของตนด้วยความพอใจ ก่อนจะคลานไปหาเจียน่าที่นั่งอยู่ไม่ไกล ใช้จังหวะที่ไม่มีใครเห็นส่งผลึกค่าสถานะให้กับเธอ
เจียน่ายิ้มและรับมาด้วยความดีใจ ก่อนจะรีบใช้ทันที
‘ผลึกชิ้นนี้ฉันได้มาด้วยความโชคดี แต่ถึงอย่างนั้นก็เพิ่มพลังแค่ +1 พละกำลังเท่านั้น’
‘จริงสิ ตอนนี้พ่อบ้านเฟรดไม่อยู่หรือว่าเขาจะออกไปด้านนอกกัน’
ทารกน้อยลูอิสมองไปซ้ายขวา เจียน่าเห็นก็เหมือนจะเดาความคิดของเขาออกมา จึงก้มหน้าลงกระซิบบอก
“ท่านเฟรดออกไปข้างนอก พร้อมกับซาฟและพวกอีกสองคนเห็นว่าพวกเขาเจอของบางอย่างและต้องการคนไปช่วย”
‘แบบนี้นี่เอง ว่าแต่เด็กสาวนี่เดาใจเราเก่งจริง ๆ นะ ว่าแต่เรียกเธอว่าเด็กสาวคงจะไม่ได้ ตอนนี้ฉันเป็นแค่เด็กทารกเท่านั้น’ ทารกน้อยลูอิสพยักหน้ารับด้วยสีหน้าปกติ
“เจียน่ามานี่หน่อยได้หรือเปล่า” ตอนนั้นเองก็มีผู้หญิงหนึ่งในกลุ่มผู้อพยพเดินเข้ามาเรียกเจียน่า
“ป้ามีอะไรหรือเปล่า” เจียน่าลุกขึ้น ก่อนจะรีบไปหา เจียน่าอยู่ในกลุ่มผู้อพยพนี้มานานพอควรดังนั้นจึงคุ้นเคยกับทุกคนเป็นอย่างดี
ตอนนี้นอกจากซาฟและชายอีกสองคนที่มักจะอยู่กับเขาบ่อย ๆ ได้ออกไปด้านนอกพร้อมกับพ่อบ้านเฟรดแล้ว ในนี้ก็เหลือแค่ผู้อพยพอีก 7 คนและพวกเขาที่มีแอนเดีย เจียน่าและลูอิสที่อยู่ที่นี่เท่านั้น
ขณะที่ลูอิสกำลังคลานกลับไปนั่งข้าง ๆ แอนเดรีย ในตอนนั้นเองก็มีเสียงกรีดร้องของเจียน่าดังขึ้น พร้อมกับเสียงผู้อพยพที่เหมือนพยายามฉุดกระชากเธอดังขึ้น
“จับเธอไว้เร็ว”
“ปล่อยฉันนะ คิดจะทำอะไรฉันกัน”
“เจียน่าอยู่เฉย ๆ พวกเราคิดว่าเธอเป็นพวกด้วยนะถึงทำแบบนี้”
แอนเดรียรีบวางของในมือลง ก่อนจะอุ้มลูอิสขึ้นมาในทันที เพราะในตอนนี้มีชายผู้อพยพสามคนกำลังเดินเข้ามาหาเธอสองแม่ลูกด้วยเช่นกัน
“พวกแกคิดจะทำอะไร แล้วเจียน่าอยู่ไหน” แอนเดรียถามด้วยความเย็นชา
“นายหญิงแอนเดรียช่วยหนูด้วย” เจียน่าถูกผู้อพยพสาวสองคนช็อคตัวอยู่พยายามดิ้นไปมาอยู่ทางด้านหลัง สุดท้ายผู้อพยพชายอีกคนก็เข้าไปช่วยจับตัวเธอ
“จับเธอดี ๆ สิ ฉันไม่อยากจัดการเธอหรอกนะ แต่ถ้ายังไม่หยุดดิ้นก็อย่าหาว่าฉันโหดก็แล้วกัน”
ชายผู้อพยพคนนั้นต่อยเข้าไปที่ใบหน้าของเจียน่าจนเต็มแรงทำให้เธอถึงกับร่วงไปกับพื้น ก่อนที่หญิงอพยพอีกสองจะไปลากเธอเข้ามาและจับเธอไว้
ฉากที่เกิดขึ้นทำให้แอนเดรียและลูอิสรู้ว่าพวกนี้ไม่ได้ตั้งใจทำร้ายเจียน่าแต่กำลังพุ่งเป้ามาที่พวกเขาสองแม่ลูก
‘เฮ้ย ๆ คนพวกนี้มันเป็นอะไรกันอีกละเนี่ย หรือว่าจะโดนผีสิ่งกัน ไม่รู้ด้วยสิว่าโลกนี้มีผีไหม’ ลูอิสพยายามทำความเข้าใจว่าผู้อพยพที่ร่วมเดินทางมาด้วยหลายวันทำไมถึงหันมาเล่นงานพวกเขา
“หึ เธอนะไม่ใช่ผู้อพยพธรรมสินะ” ผู้อพยพชายถามแอนเดรีย แต่หญิงสาวไม่คิดจะตอบคำถาม เพียงจับจ้องด้วยสายตาเย็นชาเท่านั้น
“คิดว่าจะปิดบังพวกเราได้ย่างนั้นเหรอ แม้เราจะเป็นผู้อพยพ แต่ก็ยังได้รับข่าวที่น่าสนใจอยู่ เธอรู้ไหมว่าตอนนี้อาณาจักรเวียเรเดียโดนโจมตีและก็มีพวกขุนนางหนีตายจำนวนมากมาย ตอนนี้มีประกาสค่าหัวจำนวนมากกระจายออกไปทั่วเมื่อหลายเดือนก่อนแล้ว และถ้าใครจับพวกขุนนางหรือคนของขุนนางอาณาจักรเวียเรเดียได้ ทางอาณาจักรนักล่าเอเลอาร์ตยินดีจ่ายให้อย่างงาม”
“ฮี่ ๆ ๆ ตอนนี้รู้เหตุผลแล้วสินะ ถ้าเดาไม่ผิดเธอก็เป็นพวกขุนนางด้วยสินะ” ขายอพยพคนนั้นมองไปที่แอนเดรียและโดยเฉพาะลูอิสด้วยสายตามละโมบ
แอนเดรียหรี่ตาลง ก้าวถอยหลังทันที แม้แต่เธอก็ไม่คิดว่าหนีมาใกล้ขนาดนี้แล้วยังโดนตามล่าอยู่
‘เฮ้ย ๆ แบบนี้มันจะเกินไปแล้ว เล่นประกาสค่าหัวกันแบบนี้ เฮ้อ...ดูท่าแล้วต่อให้ไปพึงเมืองเอลดิลก็คงอยู่อย่างสงบไม่ได้แน่’
‘ไม่สิ ตอนนี้จะไปถึงหรือเปล่าก็ยังไงไม่รู้ แล้วทำไมพวกมันไม่ลงมือตั้งแต่เห็นหรือพึ่งมาคิดได้ว่าพวกเราคือขุนนาง หรือว่า! ตั้งแต่แรกแต่เพราะตอนนี้ใกล้จะถึงเอลดิลแล้วพวกมันจึงลงมือ แบบนี้สินะ คิดจะจับและไปรอที่เมืองเอลดิลให้อาณาจักรนักล่าเอเลอาร์ตส่งคนมารับ’
‘เดี๋ยวก่อน แบบนี้เจ้าหมอนั่นก็รู้ด้วยสินะ มิน่ามันถึงมองแอนเดรียด้วยสายตาแปลก ๆ ตั้งแต่แรก เจ้านั่นวางแผนไว้ก่อนแล้วตั้งแต่ต้น แบบนี้แย่แน่พ่อบ้านเฟรดอยู่กับมัน’
ยิ่งลูอิสปะติดปะต่อเรื่องมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเข้าใจในอันตรายมากขึ้น เพราะนั้นหมายความว่าตอนนี้อาจจะไม่มีใครมาช่วยตนกับแม่แน่นอน
ทารกน้อยลูอิสแหงนหน้ามองแอนเดรียที่อุ้มตนเองไว้อย่างแนบแน่น แม้สีหน้าจะดูเย็นชาและสงบนิ่ง แต่เขาสัมผัสได้เลยว่าหัวใจนั้นเต้นแรงและมือก็สั่นเบา ๆ ไม่หยุด แอนเดรียกำลังกลัวอยู่ ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่อาจจะยอมแพ้ได้ เธอจะต้องช่วยลูกชายให้รอดไปให้ได้
“ทำไม...ฮือ.. ๆ ทำไมถึงทำแบบนี้” เจียน่าที่โดนต่อยไปเมื่อครู่ร้องออกมาและถามผู้อพยพทั้งน้ำตา ที่ผ่านมาเธอคิดว่าพวกเขาคือพวกพร้องมาตลอด และอีกอย่างทั้งแอนเดรียและพ่อบ้านเฟรดก็เคยช่วยทั้งเธอและพวกเขาไว้ด้วยในการเดินทางที่ผ่านมา
“ทั้งที่นายหญิงแอนเดรียและท่านเฟรดช่วยเหลือพวกเรา แต่ทำไมยังทำแบบนี้”
“หุบปากซะ! ช่วยเหลืออย่างนั้นเหรอ แกจะไปรู้อะไร พวกเรานะเป็นผู้อพยพ เป็นแค่คนที่ไม่มีค่าในสายตาของพวกขุนนางเท่านั้น พวกมันทั้งกินดีอยู่ดี ไม่เคยหัวพวกเรา พวกเราต้องอยู่อย่างอดอยาก อยู่อย่างอัปยศและโดนดูถูกตลอดเวลา นี่นะเหรอช่วยเหลือ ฮ่า ๆ อย่ามาตลกเลยดีกว่า” หญิงสาวที่จับตัวของเด็กสาวอยู่พูดออกมาด้วยความคับแค้นใจ
คนอื่น ๆ ก็พยักหน้าเห็นด้วย
“เชือดเธอก่อนเลยก็แล้วกัน”
ชายผู้อพยพหันมามองเจียน่า ก่อนจะยกมีดขึ้นมาคิดจะแทงเด็กสาว แต่แอนเดรียกล่าวขัด
“ปล่อยเธอไป” แอนเดรียพูดอย่างเย็นชา สายตาจ้องมองอย่างดุดัน