STBI : ตอนที่ 8 ปีศาจบุกหมู่บ้าน
ชิงโจว มีเนินเขามากมายและที่ราบไม่กี่แห่ง ยกเว้นเมืองใหญ่ 2-3 เมืองที่สร้างขึ้นบนที่ราบ นอกเหนือจากนั้นก็มีแต่หมู่บ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่สร้างขึ้นบนเนินเขา
หมู่บ้านผูซ่า
เป็นหมู่บ้านที่สร้างขึ้นบนเนินเขามีครอบครัวทั้งหมด 300 ครัวเรือน และ ประชากรมากกว่า 2,000 คน
หมู่บ้านที่แต่เดิมค่อนข้างมีชีวิตชีวา แต่ในปัจุบันโดยเฉพาะวันนี้กลับถูกปิดตัวลง ไม่มีเด็กออกมาละเล่นเหมือนในอดีต หรือ เกษตรกร ออกมานอกหมู่บ้าน
ชาวบ้านหลายสิบหลังต่างนำผ้าขาวมาแขวนอยู่หน้าประตูบ้านและมีเสียงสะอื้นเบา ๆ ภายใน
พวกเขาได้ร่วมไว้อาลัยกับผู้ที่เสียไป และ หมู่บ้านในเวลานี้เองก็ปกคลุมไปด้วยบรรยากาศที่แปลกประหลาดและเต็มไปด้วยความน่าสะพรึงกลัว
“ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน! พวกเรารีบหนีกันเถอะ! ถ้าพวกเราไม่หนีตอนนี้พวกเราจะตายกันหมด!”
ชาวบ้านที่ชื่อ หลิวต้านิ่ว ดูหวาดกลัวอย่างมาก น้ำเสียงของเขาสั่นเล็กน้อย และ ยังคงเกลี่ยกล่อมชายชราที่อยู่ข้างหน้าเขา
“ก่อนหน้านี้พวกเราส่งเรื่องร้องขอความช่วยเหลือไปแล้ว แต่ผ่านไปแล้ว 5 วันแล้วก็ยังไม่มีใครมาสักที”
“ตอนนี้สถานการณ์มันเริ่มทวีคูณความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ในตอนแรกมีเพียงแค่ตาเฒ่าหลิวที่ถูกฆ่าตาย วันที่สองมีสามคนถูกฆ่าตาย และ วันที่สามก็มีหกคนถูกฆ่าตาย หากเป็นเช่นนี้ต่อไป หมู่บ้านผูซ่า ของพวกเรา คงถึงคราวล่มสลายเป็นแน่!”
เมื่อพูดถึงจุดนี้ หลิวต้านิ่ว ได้ทรุดตัวลงกับพื้น เมื่อคืนนี้ บุตรชายคนที่สามของเขาก็เพิ่งถูกฆ่าตายไป
เหล่าผู้ชายที่อยู่โดยรอบก็ดูมืดมนเช่นเดียวกัน ผู้กระทำผิดได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย วันนี้พวกเขาได้เฝ้ายามกันทั้งคืน แต่ก็ยังไม่มีเงาโผล่ออกมาเลยแม้แต่น้อย กลับกัน มันกลับมีคนถูกฆ่าตายอีกครั้ง
และผู้ตายนั้นกลับตกอยู่ในสภาพที่เลวร้ายเป็นอย่างมาก โลหิตได้สาดกระเซ็นไปทั่วร่างกระทั่งเศษชิ้นส่วนของเนื้อบางส่วนก็หายไป
ในเวลานี้ ทุกคนต่างมีสีหน้าที่เคร่งเครียดเป็นอย่างมาก พวกเขาได้ส่งเรื่องร้องขอความช่วยเหลือไปแล้ว แต่ก็ยังไม่มีการตอบรับ
ดังนั้นสีหน้าของหัวหน้าหมู่บ้านจึงไม่สู้ดี เขาเองก็กลัวมากจนนอนไม่หลับในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา
พูดง่ายว่า หนี? แต่จะให้หนีไปที่ไหน?
บรรพบุรุษของพวกเขาได้อาศัยอยู่ที่นี่มาหลายชั่วอายุคน คนเหล่านั้นได้บุกเบิกพื้นที่ และ สร้างความเจริญรุ่งเรืองมาด้วยความยากลำบากกว่าจะมีหมู่บ้านในปัจจุบันได้ อีกทั้ง คนกว่าสองพันคนในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ ก็เป็น ผู้หญิง เด็ก และ คนแก่ หากต้องละทิ้งหมู่บ้านเพื่อหลบหนีไป เกรงว่าการจะไปอาศัยอยู่ภายนอกจะเป็นเรื่องยาก
และสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกกังวลมากก็คือ ดูเหมือนว่า ผู้กระทำผิดรายนี้กำลังคงจับตามองดูพวกเขาอยู่ ทำให้พวกเขาไม่สามารถหลบหนีไปไหนได้
ดังนั้น หัวหน้าหมู่บ้าน จึงตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก ในฐานะตัวแทนของหมู่บ้าน เขามีคนมากกว่า 2,000 ชีวิต ที่ต้องดูแล หากเขาก้าวเดินผิดไปและทำให้ทุกคนต้องตาย เขาจะมีหน้าไปเจอบรรพบุรุษได้อย่างไร
หลังจากลังเลครั้งแล้วครั้งเล่า เขาก็ตัดสินใจและพูดกับคนหลายคนในห้อง
“หลิวซาน! เจ้ารีบไปยังเมืองที่ใกล้ที่สุดจากที่นี่ทันที และ ขอให้พวกเขาส่งคนมาอีกครั้ง นอกจากนี้ ติดประกาศที่หน้าประตูเมือง และ ค้นหาคนมีความสามารถในการจัดการกับปัญหานี้ หากสามารถกำจัดต้นตอของปัญหานี้ได้ หมู่บ้านผูซ่าของพวกเรายินดีจะจ่ายเป็นค่าตอบแทนจำนวนมาก”
“ข้าเข้าใจแล้ว!”
ชายร่างผอม ได้ตอบรับและรีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เวลาคือชีวิต ถ้าเขาช้าลงแม้เพียงเล็กน้อย ก็ไม่รู้ว่าวันนี้จะมีคนตายอีกกี่คน หรือไม่ก็คราวต่อไปจะเป็นตาของเขาหรือไม่ก็ไม่รู้
“หลิวเหิง เจ้าไปรวบรวมผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่ทั้งหมดในหมู่บ้านมา และ แบ่งพวกเขาออกเป็นสองกลุ่ม ผลัดกันเฝ้ากะตอนกลางคืน นอกจากนี้ ไปเตรียมไขน้ำมันมา พวกเราจะจุดคบเพลิงตลอดทั้งคืน!”
หลังจากที่ หลิวเหิง วิ่งออกไป เขาก็เดินอย่างช้า ๆ ไปที่ประตู และ เหลือบมองดูท้องฟ้าที่มืดมนและถอนหายใจ
“สามวัน อีกสามวัน ถ้าเกิดพวกเราแก้ไขปัญหาไม่ได้ พวกเราจะอพยพออกไปจากที่นี่กันทันที!”
…
“ศิษย์น้องมี 13 รัฐทางตอนใต้ เหตุใดพวกเราถึงเลือกมาที่ชิงโจว?”
หลิวอี้ และ ไป๋เจียง ที่สวมใส่ชุดอาภรณ์สีขาวกำลังขี่ม้าเกล็ดมังกรเคียงข้างกัน
ม้าเกล็ดมังกรนี้ปกคลุมไปด้วยเกล็ดที่ละเอียด ว่ากันว่ามันมีสายโลหิตของมังกรไหลเวียนอยู่ และ มีมูลค่ามากกว่า 1,000 เหรียญ สามารถใช้เดินทางไกลได้หลายพันลี้ต่อวัน แต่เพราะว่า มันชอบกินเนื้อดิบ มากกว่า 1 กิโลต่อวัน ทำให้ คนส่วนใหญ่ ไม่สามารถเลี้ยงดูมันได้
พวกเขาได้อาศัย ม้าเกล็ดมังกรทั้งสองตัว เดินทางข้ามเนินเขาไปมาจนมาถึง ชิงโจว
พวกเขาทั้งคู่มีการบ่มเพาะพลังอยู่ในระดับก่อกำเนิด ทำให้ พวกเขาไม่สามารถใช้กระบี่บินเป็นเวลาต่อเนื่องได้เพราะมันเสียพลังงานมากเกินไป
เพราะถ้าเกิดพวกเขา เจอ สัตว์อสูรที่ดุร้ายและทรงพลัง และ พวกเขาไม่เหลือพลังมากพอที่จะสู้ นี่จะไม่เป็นการรนหาที่ตายหรอกเหรอ
ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงใช้ม้าเกล็ดมังกรเดินทางเพียงเท่านั้น แต่ทว่า มันก็เป็นเรื่องยากที่จะใช้ประโยชน์ความเร็วจากม้าเกล็ดมังกร ในภูมิประเทศของชิงโจวเช่นนี้ ดังนั้น หลิวอี้ จึงได้กล่าวถามออกมา
“ศิษย์พี่ ไม่ต้องวิตกกังวลเกินไป การจะหาร่องรอยของพวกปีศาจไม่ใช่เรื่องง่าย พวกเราทำได้เพียงแค่ลองเสี่ยงดู อย่างน้อย สิ่งนี้มันก็ดีกว่าการนั่งรออยู่เฉย ๆ และให้พวกมันมาหาเราเอง”
“ตราบใดที่เราออกลาดตระเวณไปทั่ว พวกเราก็เจอพวกมันเองโดยธรรมชาติ”
พูดถึงเรื่องนี้ ไป๋เจียง ก็หยุดชั่วคราว และ มองไปทางทิศใต้และกล่าวพูดต่อ :
“อันที่จริงเป็นเพราะความเห็นแก่ตัวของข้าส่วนนึงด้วย ทางใต้ของ ชิงโจว คือ หยุนโจว และ บ้านของข้าอยู่ที่ ไป่เฉิง ในครั้งนี้เอง ข้าก็อยากจะเชิญศิษย์พี่ไปที่บ้านตระกูลไป๋ของข้าในฐานะแขก”
ร่องรอยของความทรงจำได้ปรากฏขึ้นในดวงตาของ ไป๋เจียง ผ่านมา 3-4 ปีแล้ว ตั้งแต่เขากลับไปครั้งล่าสุด เขาอยากจะรู้ว่า ท่านแม่สบายดีรึไม่? ชีวิตของพี่สาวคนโตที่อาศัยอยู่ในวังเป็นอย่างไร? น้องชายของเขาจะตัวสูงขึ้นสักเท่าไหร่?
“เข้าใจแล้ว งั้นข้าจะอยู่ต่ออีกสัก 2-3 วันแล้วกัน ยังไงภายนอกก็คงไม่น่าเบื่อเท่ากับภายในนิกาย!”
ดวงตาของ หลิวอี้ ได้เปล่งประกาย จากนั้นนางก็ยิ้มออกมา นางเติบโตขึ้นมาในนิกายและถูกส่งลงจากภูเขาเพียงไม่กี่ครั้ง อีกทั้งยังอยู่ได้เพียงแค่ 2-3 วันเท่านั้น
ในขณะที่ทั้งสองคนยังคงสนทนากันต่อไป ก็มีแสงสีขาววูบวาบปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าอันไกลโพ้น
ไป๋เตียง ที่เห็นแสงสีขาว เขาได้ขยับร่างกายโดยทันที
ในจิตใจของเขาสำนึกกระบี่ได้ถูกปลุกขึ้นโดยตรง
“80 ลี้ ทางทิศตะวันออก-ตก ใกล้หมู่บ้านผูซ่า เมืองหลัวเชีย ไปกันเถอะ ศิษย์พี่ ข้าพบร่องรอยที่ชั่วร้ายแล้ว!”
“ไป!”
“ไป!”
เมื่อทั้งสองมาถึงเมืองหลัวเชีย พวกเขาก็บังเอิญเห็น หลิวซาน กำลังรับสมัครผู้บ่มเพาะพลังนับ 10 คน เพื่อเตรียมจะกลับไปที่หมู่บ้าน
คนเหล่านี้กำลังรายล้อม หลิวซาน ด้วยความตื่นเต้น
ทั้งสองคนที่มาถึง ไม่ได้รีบไปติดต่อ หลิวซาน แต่พวกเขาได้ไปที่ โรงเตี๊ยม เพื่อเก็บ ม้าเกล็ดมังกรก่อน ม้าตัวนี้สะดุดตาเกินไป โดยพวกเขาเองก็ยังไม่รู้สถานการณ์จริงของพวกปีศาจ
หลิวซานดูตื่นเต้นมาก เขาไม่คิดเลยว่า การเดินทางครั้งนี้จะราบรื่นขนาดนี้ เขาได้พาเหล่าผู้ฝึกยุทธ์กลับไปมากกว่า 10 คน และ คนเหล่านี้ สามารถบดขยี้หินได้อย่างง่ายดาย ซึ่ง หลิวซาน ไม่เคยเห็นคนที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้มาก่อน
หลิวซาน รู้สึกว่าคนเหล่านี้จะสามารถมองหาฆาตกรและล้างแค้นให้กับคนในหมู่บ้านได้
เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ทั้ง 13 คน ต่างก็มีความมั่นใจเช่นเดียวกัน พวกเขาได้ฝึกฝนทักษะบ่มเพาะพลังที่เกี่ยวกับโลหิต ในหมู่พวกเขา 10 คน ได้ฝึกฝนร่างกายของพวกเขาจนสมบูรณ์แบบ และ มี 3 คน ที่มีกลิ่นอายพลังปราณแท้จริง
ไป๋เตียง และ หลิวอี้ ได้ติดตามอยู่ข้างหลังของคนเหล่านี้ พวกเขาไม่ได้วางแผนที่จะปรากฏตัว เว้นแต่จะเห็น สัตว์อสูร ปีศาจ หรือ ผีร้าย ปรากฏตัว เพราะหากพวกมันเห็นพวกเขา เกรงว่าพวกมันอาจจะไหวตัวทันและหนีไปได้
จิตแห่งกระบี่ของพวกเขา สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการเคลื่อนไหวเพียงครั้วเดียวและไม่เปิดโอกาสให้กับศัตรู
ไม่นาน คนทั้งกลุ่มก็มาถึงหมู่บ้านผูซ่า คนเหล่านี้ ได้เชือดไก่และแกะ เพื่อเลี้ยงต้อนรับเหล่าผู้ฝึกยุทธ์เหล่านี้เป็นอย่างดี
พวก ไป๋เจียง ไม่ได้เข้าไปในหมู่บ้าน แต่พวกเขา กลับใช้เทคนิคลับในการเก็บซ่อนตัวตน และ หลบซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้นอกหมู่บ้าน สิ่งนี้ทำให้พวกเขามองเห็นทัศนียภาพโดยรอบของหมู่บ้านได้
หลังจากมื้อค่ำ เมื่อ งานเลี้ยงสิ้นสุดลง ในไม่ช้าทั้งหมู่บ้านก็ตกอยู่ในความเงียบงันอีกครั้ง ทุกครอบครัวต่างก็ปิดประตูบ้าน
เหล่าชายหนุ่มที่แข็งแรงหลายคน ได้จุดคบเพลิงขนาดใหญ่ขึ้นทีละดวง ทำให้ทั้งหมู่บ้านสว่างไสว
บรรดาผู้ฝึกยุทธ์ทั้ง 13 คน ต่างนั่งไขว่ห้างอยู่ในลานจัตุรัสเล็ก ๆ ใจกลางหมู่บ้าน ที่ล้อมรอบไปด้วยคบเพลิง
ชาวบ้านเหล่านี้ได้ตระเวนไปโดยรอบอย่างประหม่า โดยมีเหล่าผู้ฝึกยุทธ์คอยฟังเสียง และ การเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ
ไป๋เจียง ที่ยืนอยู่บนต้นไม้ ก็มองดูฉากนี้ ในมือขวาของเขาถือด้ามกระบี่ยู๋ตู๋เอาไว้ และ ในทะเลตันเถียนของเขา ครรภ์กระบี่ ก็คอยสนับสนุนพลังอยู่ตลอดเวลา ดูเหมือนว่าเขาพร้อมที่จะเคลื่อนไหวและเปิดใช้การโจมตีที่น่าสะพรึงกลัวได้ในทันที
ในเวลานี้ มีเพียง เหล่าชาวบ้านที่ไร้อาวุธ ผู้ฝึกยุทธ์ และ สัตว์ประหลาด ที่กำลังรอโอกาส
เมื่อเวลาผ่านไป บรรยากาศก็เริ่มกลายเป็นวิตกกังวลมากขึ้น
จิตใจของทุกคนได้ถูกปลุกให้ตื่นอยู่ตลอดเวลา
ไม่นาน หมอกสีดำแปลก ๆ ก็ปรากฏขึ้นบนพื้นและตรงไปยังกลุ่มเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ในลานจตุรัส
ในเวลานี้เอง ดวงตาของ ไป๋เจียง ก็เปล่งประกาย
มันมาแล้ว!