96 - เพื่อนร่วมงานที่น่ารังเกียจ
96 - เพื่อนร่วมงานที่น่ารังเกียจ
“คนหนุ่มเดี๋ยวนี้...”
ผอ.ฮ่าวส่ายหัว มีบางอย่างผิดปกติกับนักทฤษฎีสามัญสำนึกในตอนนี้ เขาคิดว่าสมองของเด็กหนุ่มคนนี้คงผิดปกติบางอย่างแน่นอน
ฉันต้องเช็คเขาให้ดี
กริ๊ง!
“เฮ้ แค่ชั้นร่ำรวยเข้าหน่อยก็รีบโทรมาเลยนะ”
มันเป็นชายตาเดียวที่โทรหาเขา
ในหัวใจของผอ.ฮ่าว ชายตาเดียวเป็นคนไม่ชื่นชอบเงิน ด้วยฐานะผอ. ของแผนกพิเศษ หากเขาอยากได้เงินเขาจะมีเท่าที่เขาต้องการ
ผอ.ฮ่าว รับโทรศัพท์และพูดด้วยรอยยิ้ม
“มีเรื่องอะไรหรอ”
“ผมมีเรื่องสำคัญจะพูดกับคุณ”
ชายตาเดียวที่อยู่อีกด้านของโทรศัพท์มีน้ำเสียงเคร่งขรึมไม่เหมือนปกติ
“ผมมีสมาชิกสี่คนที่นี่ซึ่งถูกตัดศีรษะด้วยสิ่งมีชีวิตชั่วร้ายที่ไม่รู้จัก ตอนนี้พบศพพวกเขาแล้ว บางส่วนถูกทุบหัว บางส่วนถูกเจาะหัวใจ และบางส่วนคอบิดเบี้ยว ตามรอยเท้าที่อยู่รอบๆ พวกเราค่อนข้างมั่นใจว่ามันเป็นสิ่งชั่วร้ายที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์”
“หรือว่าจะเป็นเจ้าตัวนั้น”
การแสดงออกของ ผอ.ฮ่าว กลายเป็นเคร่งขรึม
“มันไม่ปรากฏตัวมาเป็นเวลาสามสิบปีแล้ว ผมยังคงจำเรื่องนั้นได้ดี?”
ชายตาเดียวพูดอย่างเคร่งขรึม
"วันที่ 20 เมษายนของเมื่อ 30 ปีที่แล้ว"
คนทั่วไปไม่คุ้นเคยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันดังกล่าวมากนัก แต่สำหรับพวกเขา มันเป็นฝันร้ายที่ยากจะลืมเลือน ถ้าทำได้ พวกเขาไม่อยากจะจำเหตุการณ์ครั้งนั้นได้
แม้ว่าพวกเขาจะยังหนุ่มมาก แต่ก็ยังสัมผัสได้ถึงความกดดันจากมัน
ผอ.ฮ่าว กล่าวว่า "เป็นไปไม่ได้ ไอ้สารเลวนั่นตายไปแล้ว มันไม่มีทางที่จะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง คุณก็รู้ว่าผมเป็นผอ.ของโรงพยาบาลจิตเวชชิงซาน ตอนนี้คุณแค่หวั่นวิตกเท่านั้นไม่มีอะไรต้องกลัว"
"ผมหวังว่าผมจะคิดมากเกินไป" ชายตาเดียวกล่าว
หลังจากที่เขาพูดประโยคนี้ ทั้งสองก็เงียบเป็นเวลานาน
ผอ.ฮ่าวกล่าวว่า: "หรือจะลองดูอีกครั้งก็ได้"
“ผมไม่มั่นใจเรื่องนี้” ชายตาเดียวพูด
“ก็จริงอย่างที่คุณว่า ตอนนั้นกลุ่มพวกเราสูญเสียนักรบไปกว่าสิบคน หากมันยังมีชีวิตอยู่พวกเราคงไม่มีโอกาสสัมผัสแม้แต่เส้นขนของมันด้วยซ้ำ” ผอ.ฮ่าวพูดกึ่งติดตลก
“นั่นไม่ใช่ประเด็นหลัก ยังมีเรื่องบางอย่างที่ผมต้องคุยกับคุณ”
ชายตาเดียวเปิดประเด็นใหม่
ผอ.ฮ่าวกล่าวว่า “ต่อให้คุณเป็นผอของแผนกพิเศษผมก็ไม่มีทางมอบคนไข้ของผมให้กลายเป็นทหารเดนตายของคุณ คุณเลิกคิดเรื่องนี้ไปได้เลย”
ตุ๊ด!
ชายตาเดียววางสายโดยตรง
“เด็กน้อยคนนั้นทำให้ฉันมีรายได้มากกว่า 100 ล้านต่อปี คิดจะมาเอาตัวเขาไปง่ายๆแบบนี้ได้อย่างไร”
ผอ.ฮ่าวส่ายหัว เขาเข้าใจอารมณ์ของชายตาเดียว พวกเขาเคยทำงานอยู่ในแผนกเดียวกันดังนั้นเขาจึงรู้ความคิดของฝ่ายตรงข้าม
พูดกันตามตรงหากไม่ใช่ว่ามีสิ่งมีชีวิตชั่วร้ายรูปร่างมนุษย์ปรากฏขึ้น บางทีเขาอาจจะยอมปล่อยให้เย่ฟ่านเข้าร่วมแผนกพิเศษก็ได้
เขานึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นเมื่อ 30 ปีก่อน หากมันยังไม่ตายจริงๆนี่จะเป็นหายนะของโลกยังไม่ต้องสงสัย
สิ่งนั้นน่ากลัวและมันไม่ง่ายเลยที่จะตายในตอนนั้นกว่าที่พวกเขาจะจัดการมันได้ก็ต้องใช้ความพยายามอย่างหนักจนถึงขั้นให้ยอดฝีมือระดับประเทศลงมาด้วยตัวเอง
ในทางเดิน
การแสดงออกของเฉินเซียงเย็นลงเล็กน้อย ในฐานะนักทฤษฎีสามัญสำนึกสำหรับผู้ป่วยทางจิต เขามีความภาคภูมิใจที่ไม่เหมือนใคร
ท้ายที่สุดเขาได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้สำเร็จการศึกษาทฤษฎีสามัญสำนึกกลุ่มแรกในประเทศจีน นั่นแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเป็นผู้ที่แตกต่างจากคนอื่น
หลังจากคุยกับผอ.อยู่พักหนึ่ง เขารู้สึกว่าผอ.ไม่สนใจอาชีพของเขา ถ้าไม่ใช่เพราะผอ.เป็นเพื่อนกับอาจารย์ของเขา เขาจะสอนบทเรียนดีๆให้กับผอ.ฮ่าวอย่างแน่นอน
เงินเดือนห้าพันเป็นการดูถูกเขา และเงินเดือนหนึ่งหมื่นก็เพียงพอที่จะตอบสนองความคาดหวังของเขาเล็กน้อยเท่านั้น
หลี่อั้งอยากรู้เกี่ยวกับเพื่อนร่วมงานคนใหม่ที่อยู่ข้างๆเขามาก เขาจึงถามออกไปเบาๆว่า
"ผมได้ยินคนพูดว่าวิชาเอกของคุณเป็นนักทฤษฎีสามัญสำนึก ผมจบการศึกษาจากวิทยาลัยวิชาชีพด้วย แต่ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน"
เฉินเซียงพูดอย่างไร้อารมณ์ว่า
“คุณจบการศึกษาจากวิทยาลัยไหน?”
หลี่อั้งชอบพบปะกับเพื่อนร่วมงานใหม่ที่สุด ไม่ใช่เพราะเขาชอบหาเพื่อน แต่เพราะเพื่อนร่วมงานใหม่ทุกคนล้วนมีหญิงสาวที่เป็นเพื่อนจากที่เรียนเก่าทั้งนั้น
ตอนนี้เขากลายเป็นคนโสดแล้วเขาจึงต้องการค้นหาสาวรู้ใจคนใหม่ ซึ่งการอาศัยวิธีติดต่อจากเพื่อนร่วมงานก็เป็นหนึ่งในวิธียอดนิยมของคนจีน
“ผมจบจากวิทยาลัยการแพทย์ฉางซ่ง” หลี่อั้งกล่าว
“โอ้ ผมเคยได้ยินชื่อวิทยาลัยแห่งนี้ เป็นวิทยาลัยที่ธรรมดามาก เมื่อตอนที่ผมอยู่มัธยม นักเรียนบางคนในชั้นเรียนที่เรียนไม่เก่งจะไปฉางซง ผมได้ยินมาว่ามันรกร้างและบรรยากาศการสอนแย่มาก คนจบจากที่นั่นก็หางานยาก
คุณสามารถสมัครงานที่ชิงซานได้ หมายความว่าคุณมีความสามารถไม่น้อย ถ้าไม่อย่างนั้นคุณก็ต้องมีเส้นสายบางอย่าง?”
ขณะพูดเฉินเซียงมองดูสภาพแวดล้อมโดยรอบและรู้สึกว่าแม้ว่าที่นี่จะเป็นโรงพยาบาลจิตเวชที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเอี๋ยนไห่ แต่เมื่อเทียบกับเมืองใหญ่อื่นๆ มันก็ยังมีช่องว่างขนาดใหญ่อยู่
ด้วยเหตุผลบางอย่างสำหรับหลี่อั้ง เขารู้สึกว่าคำพูดของเฉินเซียงค่อนข้างรุนแรงและไร้มารยาทอย่างถึงที่สุด
“ฮ่าฮ่า ก็คงเป็นแบบที่คุณว่า” หลี่อั้งอดทน เพื่อที่จะได้รู้จักกับเทพธิดาองค์ใหม่ เขาสามารถทนต่อบางสิ่งที่ไม่จำเป็นได้
เฉินเซียงกล่าวว่า "ดูเหมือนว่าวิทยาลัยของคุณจะมีความสามารถเพียงเล็กน้อย"
จากนั้นเขาก็มองไปที่ป้ายชื่อของหลี่อั้ง
“พยาบาล? ผมคิดว่าเป็นหมอ แต่จริงๆก็ถูกต้องแล้ว แม้ว่าโรงพยาบาลจิตเวชจะไม่ใช่โรงพยาบาลจริงๆ แต่ข้อกำหนดสำหรับแพทย์ก็ยังค่อนข้างสูง ด้วยความสามารถของวิทยาลัยการแพทย์ฉางซ่งคงเป็นเรื่องยากที่หมอจะทำงานในโรงพยาบาลได้”
ไม่มีคำหยาบในสิ่งที่เขาพูด แต่หลี่อั้งรู้สึกขัดหูอย่างรุนแรงและใบหน้าของเขาก็แดงก่ำด้วยความโกรธ
ผู้ชายคนนี้กำลังหาเรื่องเขาหรือ?
เขาสื่อสารกับอีกฝ่ายเพื่อให้ความสัมพันธ์ใกล้ชิดมากขึ้น และเขาตั้งใจจะบอกว่าคนไข้จิตเวชสองคนที่คุณจะติดต่อด้วยคือสิ่งมีชีวิตที่อันตรายที่สุดในชิงซานเพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามป้องกันตัวเองให้ดี
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่ที่นี่มานาน แต่ก็สามารถบอกเคล็ดลับในการอยู่ร่วมกันกับผู้ป่วยได้
แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้เขาจึงเลือกที่จะไม่พูดอะไรและรอดูสิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปเท่านั้น
หลี่อั้งไม่ต้องการพูดเรื่องไร้สาระกับเฉินเซียงอีก คนๆนี้มีพฤติกรรมที่น่ารังเกียจมากเกินไป
“รอที่นี่ก่อน ผมจะให้เรียบคนไข้ทั้งสอง”
หลี่อั้งส่งเฉินเซียงไปที่ห้องเรียนการสอนและหันหลังกลับ ตอนนี้แม้แต่เฉินเซียงก็ยังรู้ว่าเขาอารมณ์ไม่ดี และแน่นอนว่าเฉินเซียงไม่สนใจเรื่องนี้อยู่แล้ว
หลี่อั้งชอบพูดถึงความล้มเหลวของวิทยาลัยตัวเองให้คนอื่นได้ฟังอยู่เสมอ แต่มันไม่ได้หมายความว่าเขาชอบที่คนอื่นพูดถึงวิทยาลัยของเขาแบบนั้น
"เดี๋ยวก่อน" เฉินเซียงตบไหล่หลี่อั้งและกล่าวว่า
"ผมเป็นคนตรงไปตรงมาและพูดตรงๆ บางครั้งคำพูดของผมอาจทำให้คนอื่นรู้สึกไม่ดี"
หลี่อั้งต้องการให้อภัยอีกฝ่าย แต่เมื่อเขากำลังจะบอกเรื่องของผู้ป่วยจิตเวชทั้ง 2 เขาก็มองเห็นรอยยิ้มดูถูกของเฉินเซียง
"แต่สิ่งที่ผมพูดก็เป็นความจริง วิทยาลัยการแพทย์ฉางซ่งไม่ดีเลย ผมไม่รู้ว่ามันเป็นวิทยาลัยได้ยังไงด้วยซ้ำ"
หลี่อั้งเลือกที่จะไม่พูดอะไรแล้วเดินจากไป เฉินเซียงส่ายหัว เขารู้โดยธรรมชาติว่าการพูดคำเหล่านี้จะทำให้ฝ่ายตรงข้ามขุ่นเคือง
แต่ทำไมเขาต้องสนใจเรื่องนี้ นั่นเป็นปัญหาของอีกฝ่าย เขาเพียงต้องแสดงให้ฝ่ายตรงข้ามเห็นว่าตัวเขานั้นมีความเหนือกว่า
วุฒิการศึกษา ความรู้ ฯลฯ ในโลกนี้มันยากที่จะหาคนมาเทียบกับเขาได้จริงๆ