333 - หนี้ที่ติดค้างตระกูลกู่
1643 - หนี้ที่ติดค้างตระกูลกู่
“สหายน้อยโปรดมาทางนี้” กู่ยี่เรียกสือฮ่าวออกจากพระราชวังโบราณ
ภายในพระราชวังฉีเมิ่งหงลืมตาขึ้น เขาไม่ได้ดื่มสุราแม้แต่น้อย
ดวงตาของเขาฉายแววเย็นเยือกและพูดอย่างเย็นชาว่า“ตระกูลกู่ เจ้าอยู่ในโลกของเราอย่าบอกนะว่าหัวใจของเจ้ายังอยู่กับ เมืองจักรพรรดิ์? หรือพวกเจ้าต้องการให้ตัวเองถูกกวาดล้างไป!”
เมื่อกู่ยี่พาสือฮ่าวออกมา กู่หงคนที่เคยเข้าสู่เตาหยินหยางพร้อมกับจักรพรรดิหนุ่มทั้งหกก็ตามออกมาด้วยเช่นกัน
“หงเอ๋อเจ้าไม่จำเป็นต้องติดตามเรา” กู่ยี่นำทางสือฮ่าวกลับไปที่หุบเขาหิน
“มีอะไรอยากจะบอกกับข้าไหม” ในตอนนี้แม้แต่สือฮ่าวก็เผยให้เห็นการแสดงออกที่แปลกประหลาด
สหายเฒ่าคนนี้ทำให้เขาพิการก่อน จากนั้นก็ใช้วิธีการมากมายเพื่อฟื้นฟูร่างกายของเขา พวกเขามีความปรารถนาอะไรกันแน่?
“ในอดีตสายเลือดของเราก็ถือกำเนิดในเก้าสวรรค์เช่นกัน ช่วงเวลานั้นงดงามอย่างยิ่ง ในตอนนั้นยังมีราชาอมตะอยู่พวกเขาต่อสู้กับจักรพรรดิผู้ไม่ดับสูญด้วยความกล้าหาญ
ความงดงามนี้จะไม่กลับมาอีกแล้ว!” ชายชรากล่าวพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่
สามารถจินตนาการได้ว่ายุครุ่งโรจน์นั้นเป็นแบบไหน ราชาอมตะที่ต่อสู้อย่างกล้าหาญเป็นภาพที่น่าตกตะลึงตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
“ ในความเป็นจริงสงครามยุคเซียนโบราณครั้งสุดท้ายถือได้ว่าเป็นการต่อสู้ครั้งเล็กๆเท่านั้น สงครามที่แท้จริงจะเกิดขึ้นในยุคนี้และอีกไม่นานเท่าไหร่มันก็จะมาถึงแล้ว
ความมืดจะปกคลุมโลกอันยิ่งใหญ่ เลือดจะสาดกระเซ็นไปทั่วทุกมุมโลก สวรรค์จะพังทลายลงมา ความขัดแย้งครั้งใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น
การที่ได้เกิดมาในยุคนี้ทำให้ข้าหวาดกลัวอย่างยิ่ง! วันนั้นจะมาถึงเมื่อไหร่จะเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” กู่ยี่ถอนหายใจใบหน้าที่เหี่ยวย่นของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความกลัว
"เจ้าพยายามจะพูดอะไร?" สือฮ่าวถาม
“ สิ่งที่ข้าอยากจะบอกก็คือการอยู่ในช่วงเวลาเหล่านี้ที่เรียกได้ว่าขมขื่นที่สุดในประวัติศาสตร์ไม่ใช่เรื่องง่าย ตระกูลของข้าต้องการที่จะฟื้นคืนความรุ่งเรืองในอดีตให้กลับคืนมาไม่เช่นนั้นเราก็จะถูกทำลายไปเช่นกัน
ถ้าเราไม่กลายเป็นราชาอมตะ เราจะเป็นมดตลอดไปไม่สามารถปกป้องเผ่าพันธุ์ได้
เมื่อต้องเผชิญกับยุคที่มืดมนและนองเลือด ตระกูลของเราจะไม่เหลือความหวังใดๆอีกเลย” กู่ยี่กล่าวพร้อมกับถอนหายใจ
“ความโกลาหลแบบไหน การยุติความขัดแย้งแบบไหน” สือฮ่าวถาม นี่คือความจริงที่เขาต้องการมากที่สุด
“เมื่อเจ้าเห็นโลกที่ยิ่งใหญ่เหี่ยวเฉา ได้ยินเพลงสงครามที่ทรงพลังที่สุด พร้อมกับการปรากฏตัวของจักรพรรดิผู้ไม่ดับสูญทั้งสามวันนั้นแหละที่เจ้าจะได้เห็น” กู่ยี่กล่าว เขาตัวสั่นด้วยความตื่นเต้นและรู้สึกถึงความเหวาดกลัวต่ออนาคต
เป็นเพราะเขาก็ไม่เข้าใจเรื่องนี้อย่างแท้จริง ทั้งหมดนี้เป็นคำพูดของบรรพบุรุษของเขาที่เล่าให้ฟัง
“มีประโยชน์อะไรในการบอกสิ่งเหล่านี้แก่ข้า” สือฮ่าวถาม
“ก็ตะกูลของเจ้าเป็นหนี้พวกเราตระกูลกู่อยู่ หนี้ที่ทำให้บรรพบุรุษของเราไม่สามารถเป็นราชาอมตะได้!” กู่ยี่กล่าวอย่างเย็นชา
รูปร่างของเขาเตี้ยแคระ แต่ตอนนี้หลังของเขากลับยืดตรงและพูดด้วยเสียงดังว่า“ในตอนนั้นตะกูลของข้าสร้างราชาอมตะคนหนึ่งขึ้นมาได้สำเร็จ แต่เขาถูกบรรพบุรุษของตระกูลสือพวกเจ้าทำร้ายจนระดับบ่มเพาะของเขาตกลงมา!”
สือฮ่าวพลันสั่นสะท้าน มันเป็นอย่างที่เขาการคำนวณไว้จริงๆ? นั่นหมายความว่าผู้อาวุโสคนนี้ไม่ได้มาด้วยความตั้งใจที่ดี แต่ต้องการทำอะไรบางอย่างกับร่างกายของเขา
“บรรพบุรุษตระกูลสือของข้าเต็มไปด้วยจิตวิญญาณที่ไม่ย่อท้อ เพื่อปกป้องชายแดนรกร้าง พวกเขาต่อสู้อย่างกล้าหาญใช้เลือดของตัวเองอาบดินแดนของศัตรู หากพวกเขาโจมตีตระกูลกู่ของพวกเจ้า การกระทำของเขาย่อมมีเหตุผลอย่างแน่นอน!” สือฮ่าวกล่าวด้วยความเชื่อมั่น
“ฮะ!” รอยยิ้มของกู่ยี่ดูเย็นชามากขึ้น เขาไม่ได้พูดอะไรแต่การจ้องมองของเขาดูน่ากลัวเล็กน้อย
กา!
หุบเขาหินแยกออกจากกัน มีบันไดหินที่ทอดลงไปใต้ดินซึ่งเป็นสถานที่ที่เตาหยินหยางได้รับการคุ้มครองนั่นเอง!
กู่ยี่นำสือฮ่าวลงมาใต้ดิน
“การใช้ร่างกายเป็นเมล็ดพันธุ์ความคิดนี้เริ่มมีการกล่าวขึ้นครั้งแรกเมื่อสงครามเซียนโบราณ ในขณะเดียวกันบรรพบุรุษตะกูลกู่คือผู้ที่คิดค้นมันขึ้นมา” กู่ยี่กล่าว
โลกใต้ดินนั้นมืดและแห้งแล้งพวกเขาเดินลงมาเป็นเวลานานแล้วแต่ก็ยังไม่ถึงที่หมายสักที
สือฮ่าวรู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อยเพราะไม่นานมานี้เขาได้ยินคำพูดของคนเหล่านั้นแล้ว เตาหยินหยางไม่ได้ปรากฏขึ้นเป็นเวลาหลายปีเพราะมันถูกใช้เพื่อช่วยเหลือชีวิตของบรรพบุรุษตระกูลกู่
เตาหยินหยางอยู่ในหุบเขาหินใต้ดิน…เป็นที่ที่บรรพบุรุษของเผ่าพันธุ์นี้อาศัยอยู่?
สุดทางเดินเป็นห้องหิน มันเรียบง่ายมากประตูหินหยาบขาดการออกแบบตกแต่งยิ่งไปกว่านั้นยังไม่มีการวาดอักขระเซียนหรือค่ายกลโบราณใดๆอยู่หน้าประตูนี้
“บรรพบุรุษที่ยิ่งใหญ่ในอดีตร่างกายเต๋าที่โดดเด่นของท่านแตกสลายทำให้รากฐานราชาอมตะของท่านไม่สมบูรณ์ วันนี้ข้าได้นำเมล็ดพันธุ์อันล้ำค่ามาให้ท่านแล้ว เขา ... คือผู้ที่ประสบความสำเร็จในการใช้ร่างกายเป็นเมล็ดพันธุ์เพียงคนเดียวในโลก!”
กู่ยี่คุกเข่าลงพร้อมกับตะโกนเสียงดัง หน้าผากของเขากระแทกกับพื้นครั้งแล้วครั้งเล่า
ใบหน้าของสือฮ่าวเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง ขณะที่เขายืนอยู่ที่นี่เขาตรวจสอบสภาพแวดล้อมอย่างชัดเจน แต่ไม่มีรัศมีพลังที่ไร้ขอบเขตที่พุ่งออกมา
ประตูหินนั้นถูกสร้างขึ้นหยาบๆมันขาดพลังศักดิ์สิทธิ์หรือกฎเต๋าทำให้สถานที่แห่งนี้ดูธรรมดามาก
แต่ทันใดนั้นประตูหินก็สั่นสะเทือนก่อนจะถูกผลักเปิดออกด้วยพลังไร้รูปแบบเผยให้เห็นฉากภายใน ซึ่งมีชายชราคนหนึ่งนั่งอยู่บนเตียงด้วยความสงบ
นี่คือบรรพบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของตะกูลกู่?!
เขาเป็นชายชราที่มีรูปร่างสูงใหญ่ แม้ว่าเขาจะกำลังนั่งอยู่แต่ก็สามารถมองเห็นได้ชัดเจนว่าเขารูปร่างใหญ่โตแค่ไหน เส้นผมของเขาเป็นสีขาวโพลนไปทั้งศีรษะ
เวลาที่ผ่านไปอย่างยาวนานได้ทิ้งร่องรอยมากมายไว้บนใบหน้าของเขา ผิวของเขาไม่เป็นประกายอีกต่อไป เพียงแต่ดวงตาของเขานั้นลึกล้ำอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ชายชราผู้นี้ต้องเป็นคนที่หล่อเหลาเป็นอย่างมากเมื่อครั้งที่เขายังหนุ่ม
นี่คือบรรพบุรุษตระกูลกู่? ผู้ที่สามารถต่อสู้กับอันหลันได้อย่างสูสี รวมไปถึงการต่อสู้กับมังกรที่แท้จริงโดยไม่ปรากฏผลแพ้ชนะ?
เมื่อไม่นานมานี้ในตอนที่สือฮ่าวยังอยู่ที่เมืองจักรพรรดิ์ เขามีโอกาสได้เห็นโลหิตเพียงหยดเดียวของจักรพรรดิผู้ไม่ดับสูญที่สามารถทำลายสวรรค์กวาดล้างกองทัพอันยิ่งใหญ่ได้อย่างง่ายดาย!
ตอนนี้สิ่งมีชีวิตที่สามารถเทียบได้กับคนพวกนั้นอยู่ต่อหน้าต่อตาเขานี่เอง แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ได้รู้สึกถึงความกดดันใดๆ เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจอย่างยิ่ง
ชายชราผู้นั้นกำลังมองมาที่สือฮ่าวอย่างจริงจัง ดวงตาของเขาสงบนิ่งไม่มีความผันผวนแม้แต่น้อย
ตามปกติแล้วภายใต้การจ้องมองของสิ่งมีชีวิตระดับผู้อมตะขึ้นไป จะทำให้ร่างกายของคนธรรมดาดับสูญไปอย่างรวดเร็วด้วยพลังความกดดันมากมายมหาศาล
อย่างไรก็ตามผู้อาวุโสคนนี้มีลักษณะเหมือนชายชราทั่วไปที่มีความอยากรู้อยากเห็นเท่านั้น
ครู่ต่อมาเขาก็พยักหน้าพร้อมกับชี้มาที่สือฮ่าว
ร่างกายของสือฮ่าวเริ่มตึงเครียด แม้ว่าเขาจะไม่เห็นเจตนาร้ายใดๆจากชายชราคนนี้ แต่การที่ต้องเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งในระดับราชาอมตะใครจะสามารถสงบนิ่งได้?
นิ้วนั้นชี้ไปที่ช่องว่างระหว่างคิ้วของสือฮ่าวซึ่งเป็นจุดที่วิญญาณดั้งเดิมอยู่
ในช่วงเวลานั้นกระดูกหน้าผากของสือฮ่าวก็เริ่มเปล่งประกายสดใสพร้อมกับปลดปล่อยแสงสีทองออกมา ทันใดนั้นสัญลักษณ์เลือดคนบาปก็ปรากฏขึ้นบนหน้าผากของเขา!
ในฝั่งของเมืองจักรพรรดิ์เชื่อกันว่านี่เป็นรอยประทับโลหิตของคนบาปซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความอัปยศ
อย่างไรก็ตามในช่วงเวลานี้เมื่อชายชราบรรพบุรุษของตระกูลกู่ได้เห็นสัญลักษณ์นี้เขาก็ทอดถอนใจออกมาด้วยความเศร้าโศก
“กลับเป็นลูกหลานของตระกูลสือ!”