เกิดใหม่เป็นทารกขั้นเทพ ตอนที่ 61 : พวกสกุลหลินมันเสียสติไปแล้ว!
ตอนที่ 61 : พวกสกุลหลินมันเสียสติไปแล้ว!
ด้วยคำเดียวของบรรพชนหลินเท่านั้น เสียงดนตรีก็บรรเลงขึ้นโดยไร้ที่มา ปักษาวิญญาณมากมายโบยบินกลางอากาศ และก้อนเมฆก็ราวกับกำลังแสดงความยินดีแก่ทารกตัวน้อย งานเลี้ยงฉลองได้เริ่มขึ้นแล้ว
สมาชิกตระกูลหลินต่างรื่นเริงกับงานอันเป็นมงคลนี้ หลังจากทุกคนนั่งลงแล้ว พวกเขาก็กินดื่มราวกับจะไม่มีวันพรุ่งให้เห็นอีก!
เหล่าอาวุโสที่แข็งแกร่งและระดับบ่มเพาะสูงส่งต่างอยู่ในงานนี้ทั้งหมด เหลือเพียงคนเดียวที่ถูกให้ทำหน้าที่นำพาเหล่ารุ่นเยาว์หลบหนีอยู่ตรงค่ายกล
นอกจากนั้น มีคนแซ่หลินอีกเพียงเล็กน้อยที่เลือกจะอยู่ที่นี่ พวกเขาไม่ได้อายุมากนัก บางส่วนเพิ่งมีระดับการบ่มเพาะได้ไม่กี่สิบปีเท่านั้น
อันที่จริงแล้ว ในสงครามครั้งนี้ พวกเขาล้วนให้ทุกคนตัดสินใจเอาเองว่าผู้ใครจะอยู่ และผู้ใดจะจากไปตามต้องการ
หากพวกเขาต้องการจะหลบหนีเพื่อปกปักรักษาอนาคตของตระกูลซึ่งเป็นเหล่ารุ่นเยาว์ไว้ก็ไม่เป็นไร ส่วนคนที่เต็มใจจะอยู่เพื่อคอยถ่วงเวลาให้ผู้ที่หลบหนีก็มีเช่นกัน
ยิ่งกว่านั้น ค่ายกลหลบหนีในครานี้ที่บรรพบุรุษตระกูลหลินเตรียมไว้นับว่าสมบูรณ์เป็นอย่างยิ่ง มันกินทรัพยากรหินวิญญาณและสมบัติวิญญาณไปเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงมีความสามารถในการพาคนจำนวนมหาศาลหลบหนีออกไป
แต่ทว่า มีเพียงผู้หญิงบางส่วน เหล่าเด็กน้อยและรุ่นเยาว์ที่ฝึกบ่มเพาะไม่กี่ปีเท่านั้นที่ต้องการจะจากไปจริงๆ
ตอนนี้ เหล่าตัวตนระดับกลางไปจนถึงระดับล่างของสกุลหลิน ไม่มีผู้ใดเลือกจะหนีไปเลยแม้แต่น้อย
หลังจากส่งภรรยาและลูกน้อยของตน ชายแซ่หลินทั้งหมดหันหลังกลับมาและเดินไปเข้าร่วมงานเลี้ยง
ในงานฉลองที่ยิ่งใหญ่และสวยงาม พวกเขาล้วนดื่มกินอย่างเต็มที่ ในตอนนี้ ความต่างระหว่างวัยก็ไม่สำคัญอีกต่อไป ทุกคนสามารถดื่มสุราและส่งยิ้มให้กันได้
“ไปกันเถอะ!”
“ข้าอยู่เป็นคนตระกูลหลิน ก็ขอตายเป็นผีตระกูลหลินเช่นกัน!”
“สกุลหลินของข้าไม่มีพวกขี้ขลาด!”
หลินเฮ่าและพี่น้องของเขาสี่คนก็อยู่ที่นี่เช่นกัน ไม่มีใครเลือกจะหลบหนีแม้แต่คนเดียว
พวกเขาทั้งสี่ต่างดื่มสุราอย่างหนักหน่วงด้วยกัน ราวกับได้ย้อนไปสู่วัยเยว์ของตนอีกครั้ง
“ฮ่าๆๆ พี่เฮ่า มาแข่งกันเถิดว่าครานี้ใครจะสังหารได้มากที่สุด!”
“อย่างเจ้าเทียบข้าไม่ติดหรอกนะ!”
ในงานเลี้ยง คนแซ่หลินทั้งหลายต่างดื่มสุราอย่างมีความสุขและหัวเราะร้องเพลงกันออกมาดังลั่น
แม้กระทั่งคนตระกูลซวนและเป่ยเฉินที่เป็นแขกในครั้งนี้ก็รู้สึกสนุกไปกับพวกเขาเช่นกัน ล้วนแต่กินดื่มหัวเราะเล่นหัวกันเสียงดังโหวกเหวกโวยวายไปทั่ว
เมืองต้าหยานดูสงบสุขยิ่งนัก แสงสีมากมายทาทับไปทุกส่วนสะท้อนขึ้นไปถึงเมฆเบื้องบน
สีหน้าของเหล่าคนของตระกูลต่างๆ ที่มาเฝ้าจับตาต่างดูพิลึกทั้งสิ้น
“พวกมันเริ่มงานฉลองจริงๆ คนพวกนั้นมิได้ตระหนักถึงจ้าวหุบเหวที่กำลังมาเยือนเลยหรือ?” คนของสมาคมการค้าม่านพิรุณเยาะเย้ยออกมา
“ข้าก็บอกไม่ได้เช่นกันว่าพวกมันมั่นใจเกินไปหรือโง่งมเกินไปกันแน่” หัวหน้าตระกูลเฉินเจ้าของสมาคมการค้าม่านพิรุณเอ่ยออกมาอย่างจนคำพูด
“ข้ารู้สึกว่าพวกเขากำลังจัดงานฉลองเป็นครั้งสุดท้าย อย่างไรเสียครานี้ก็นับว่าเป็นช่วงสุดท้ายของชีวิตแล้ว!”
ฉากนี้ช่างทำเอาพูดคนหมดคำจะเอ่ยได้จริงๆ
บนท้องนภา พวกเขามองเห็นความมืดปกคลุมอยู่ หมอกชั่วร้ายและไอปิศาจกระจายไปทั่วทุกทิศ ทุกสิ่งในรัศมีห้าหมื่นลี้กลายเป็นแดนแห่งความตาย
ต้องรู้ก่อนว่าปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นจากกลิ่นอายไปหลุดลอดออกมาของจ้าวห้วงเหวเท่านั้น ถึงแม้นี่จะเป็นสมรภูมิแรกในรอบหลายแสนปี แต่ร่างจริงของเขาก็มิสามารถมาที่นี่ได้ ถึงกระนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นโดยรอบก็ยังน่าสะพรึงถึงขั้วหัวใจอยู่ดี
เหล่าคนที่มาสังเกตการณ์อยู่รอบนอกนั้น พวกเขาไม่กล้าจะเข้าใกล้เมืองต้าหยานนัก ต่างเฝ้ามองอยู่ในระยะไกลออกไปทั้งสิ้นพลางเหลือบมองท้องฟ้าดำมืดเบื้องบนด้วยสายตาหวั่นเกรง
ในตอนนี้ คนสกุลหลินในฐานะเป้าหมายอันดับแรกของจ้าวหุบเหว กำลังมีความสุขและเฉลิมฉลองอยู่จริง!
ผู้คนมากที่มารอชมการต่อสู้ต่างหมดคำจะเอ่ย บ้างก็มีสีหน้าเยาะเย้ย บ้างอดรู้สึกช่วยไม่ได้ บางส่วนก็ดูถูกสกุลหลินอย่างมาก อย่างไรเสีย พวกเขาต่างก็แน่ชัดในหัวใจว่าตระกูลหลินย่อมต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน
“นั่นคือทารกที่อายุครบเดือนผู้นั้นหรือ?”
ทันใดนั้นก็มีบางคนรับรู้ถึงการปรากฏตัวขึ้นของทารกในอ้อมแขนหญิงสาวคนหนึ่งที่เดินเข้ามาในงานเลี้ยง
ผู้ที่มาใหม่คือซวนยู่และหลินซวน
ชุดของนางในวันนี้มิได้งดงามนัก เป็นเพียงเสื้อคลุมยาวสีเหลืองและมวยผมขึ้น ถึงแม้นางจะมีอายุมากกว่าร้อยปีแต่รูปลักษณ์ยังดูคล้ายหญิงสาวผู้หนึ่งเท่านั้น
หลินซวนนอนนิ่งอยู่ในอ้อมแขนมารดา เขาพยายามอย่างหนักในการดูดซับปราณม่วงและสำเนียงแห่งเต๋าส่วนสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่
ร่างกายของเขาเปล่งแสงจางๆ ออกมา ทำให้เขาดูราวเป็นตุ๊กตากระเบื้องเคลือบตัวน้อยที่แสนน่ารักน่าชัง
เมื่อผ้อาวุโสแห่งตระกูลซวน ซวนชางหลินเห็นซวนยู่และหลินซวนเดินเข้ามา ดวงตาของเขาก็เปิดกว้างขึ้น ก่อนจะลุกขึ้นและมองไปยังหลินซวนตลอดเวลา ในแววตาของเขาเต็มไปด้วยความสุขในหัวใจ
“ซวนเอ๋อร์สมแล้วที่เป็นสายเลือดสกุลซวนของข้า! เขานับว่าเป็นเซียนตัวน้อยอย่างแท้จริง!”
“เพียงได้เห็นร่างกายและประกายวิญญาณของเขา ข้ามั่นใจยามยิ่งว่าเมื่อเขาเติบใหญ่ เขาจะต้องกลายเป็นยอดอัจฉริยะที่อยู่เหนือทุกคนในอาณาเขตเหนือครามแห่งนี้!”
ได้ยินแบบนั้น เป่ยเฉินจ้านรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย และได้ยืนขึ้นเพื่อดูหน้าของหลินซวนเช่นกัน
อย่างไรเสีย หลังจากเป่ยเฉินจ้านเห็นทารกน้อย ในคราแรกเขาชะงักไป ก่อนจะรู้สึกว่าทารกผู้นี้ก็มิได้มีสิ่งใดแตกต่างไปจากปกติแม้แต่น้อย แม้กระดูกและกล้ามเนื้อของเขาจะดูพิเศษอยู่บ้าง แต่ก็ถือว่าเป็นความพิเศษในระดับสามัญเท่านั้น
ยิ่งกว่านั้น เขาเองก็มองว่าความสามารถในการบ่มเพาะของตนก็อยู่ในระดับเดียวกันกับมารดาของเด็กน้อยคนนี้ ทว่าเป่ยเฉินจ้านมิได้รับรู้ว่าที่จริงแล้วหลินซวนนั้นมีร่างแห่งเซียนเต๋าอยู่ และไม่รู้เช่นกันว่าหลินซวนคือเซียนน้อยแซ่หลินที่โด่งดังผู้นั้น
“เป็นอย่างไร? บุตรชายข้ายอดเยี่ยมกว่าเป่ยเฉินโม่ของเจ้าใช่หรือไม่?” หลินเฮ่าเดินเข้ามาถามด้วยรอยยิ้ม
“เขาเทียบกับโม่เอ๋อร์ของข้าไม่ได้หรอก แต่ข้าจะไม่เถียงกับเจ้าเรื่องนี้ แล้วเซียนน้อยของพวกเจ้าเล่า? เขาจากไปแล้วหรือ? เขาเป็นอนาคตของตระกูลหลินเชียวนะ!” เป่ยเฉินจ้านถามขึ้นอย่างสงสัยในการกระทำของพวกคนแซ่หลินยิ่งนัก เหตุใดจึงไม่ตามไปปกป้องเซียนน้อยคนนั้นกัน?
เขาและหลินเฮ่ารู้จักกันมาตั้งแต่วัยเยาว์ และเป็นสหายที่ดีต่อกันมาตลอด น้ำเสียงของเขาจึงเป็นกันเองยิ่ง
เมื่อหลินเฮ่าได้ยินเยี่ยงนั้น เขาเพียงหันกลับไปและหัวเราะอย่างหนักโดยที่ไม่ได้พูดสิ่งใดต่อ หลินเฮ่าเข้าใจว่าความอัจฉริยะของหลินซวนนั้นช่างล้ำลึกและถูกซ่อนไว้ภายในร่างเซียนแห่งเต๋าอย่างมิดชิด จึงสังเกตได้ยากยิ่ง
“ไม่ต้องกังวล เขาปลอดภัยอย่างแน่นอน”
เป่ยเฉินจ้านเพียงถอนหายใจและพยักหน้ารับ
“เข้าใจแล้ว อย่าลืมว่าพวกเจ้าควรซ่อนตัวเซียนรุ่นเยาว์ผู้นั้นให้ดี มีคนมากมายต้องการให้พวกเจ้าจบสิ้นลง”
“ข้ารู้”
กล่าวตามตรง นอกจากตระกูลซวนและหลิน ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเซียนน้อยที่ตามหาบัดนี้มาอยู่ตรงหน้าของพวกเขาแล้ว
เมื่อเห็นหลินซวนปรากฏตัวขึ้น กองกำลังด้านนอกที่เฝ้าคอยอยู่เพียงมองที่เขาคราหนึ่งแล้วละความสนใจไป
“เซียนน้อยแซ่หลินที่ก่อให้เกิดปรากฏการณ์มากมายผู้นั้นอยู่ที่ใดกัน?”
“ข้าคิดว่าเขาคงถูกส่งตัวออกจากเมืองต้าหยานไปแล้วและกำลังซ่อนตัวอยู่ที่ใดที่หนึ่ง รอคอยเวลาที่จะได้พาตระกูลหลินกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง”
“แต่ว่า ทารกคนนี้ย่อมต้องเป็นทารกที่อยู่ในครรภ์มาถึงร้อยปีคนนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย”
“ย่อมใช่แน่นอน กล่าวตามจริง เขาค่อนข้างน่าสงสารมิน้อย อยู่ในครรภ์มารดาถึงร้อยปี กลับต้องมาตายหลังเกิดมาได้เพียงเดือนเดียว”
แน่นอนว่าใครเลยจะไปคาดคิดว่าหลินซวนเป็นคนเดียวกับเซียนน้อยตระกูลหลินที่ตามหา
งานฉลองของสกุลหลินยังคงดำเนินต่อไป
ในตอนนี้ หลินซวนไปดูดซับปราณม่วงและเสียงแห่งเต๋าจนหมดสิ้นแล้ว จากนั้นเขาจึงลืมตาขึ้น
ในเวลาเดียวกัน บรรพชนหลิน ซวนชางหลินและเป่ยเฉินจ้านก็เงยหน้าขึ้น
วินาทีต่อมา เมฆดำมืดปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า และรอยแยกเบื้องบนก็เริ่มขยับขยายและบิดตัวไปมา
ไอปราณน่าหวาดหวั่นและคลุ้มคลั่งกระจายไปทั่วทันที